xs
xsm
sm
md
lg

ศิลปะบนถนนประชาธิปไตย ความหมายเบื้องหลังภาพวาดศิลปิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ท่ามกลางสายฝนที่ตกกระหน่ำทั่วกรุงเทพฯ ในเวลานี้ ถนนทุกสายเหมือนจะหลั่งไหลมุ่งหน้ามายังราชดำเนินเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน คนทุกชนชีพตั้งแต่แม่ค้าพ่อค้า นักเรียนนักศึกษา ข้าราชการ นักธุรกิจ และคนทำงานออฟฟิศทั่วเมืองหลวง พร้อมใจกันมาชุมนุมเพื่อร่วมแสดงออกถึงพลังประชาชน พลังบริสุทธิ์...ที่ไม่ต้องอาศัยท่อน้ำเลี้ยงหรือการจ้างวานใดๆ

หนึ่งในจำนวนนั้น คือ ศิลปินหรือกลุ่มคนทำงานศิลปะที่ร่วมประกาศเจตนารมณ์ชัดเจน ว่าพวกเขาขอเป็นส่วนหนึ่งที่มีส่วนร่วมในการต่อสู้เรียกร้องเพื่อประเทศชาติในครั้งนี้ด้วย ภาพวาดบนผืนผ้าใบจำนวน 108 ภาพ ถูกเขียนขึ้นสดๆ ณ ริมถนนราชดำเนิน ถ่ายทอดและบันทึกหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยให้ปรากฏในรูปผลงานศิลปะ ที่แม้ไม่สูงค่าในราคาค่างวด...แต่สูงยิ่งในด้านความรู้สึกและจิตใจของผู้ที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน

-1-

ชายหนุ่มผมยาว แต่งตัวไม่พิถีพิถัน บ้างหนวดเครารกรุงรัง อาจดูไม่น่าพิสมัยเท่าใดนักในสายตาของบางคน แต่ลึกลงไปข้างในสิ่งที่ห่อหุ้มภายนอกเหล่านั้น คือหัวจิตหัวใจของคนที่รักศิลปะและแผ่นดินไทยไม่แพ้คนที่ใส่สูทผูกเน็กไท และอ้างว่าทำเพื่อประเทศชาติและประชาชนในสภา ทั้งไม่น่าสงสัยในเจตนาเคลือบแฝงเท่าด้วยซ้ำ

เครือข่ายศิลปินเพื่อชีวิตและสิ่งแวดล้อม ออกมาประกาศจุดยืนทางการเมืองของพวกเขาอีกครั้ง โดยการนำของศิลปินนักเคลื่อนไหว “วสันต์ สิทธิเขตต์” ในนามสหพันธ์ศิลปินเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งเคยออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องในประเด็นสังคมและการเมืองหลายครั้ง

“พี่น้องคิดง่ายๆ เลย เราจะปล่อยให้บ้านเมืองตกอยู่กับพวกฝูงโจรพวกนี้ต่อไปอีกหรือเปล่า ถ้าไม่อยากก็ออกมา สองตีนสองมือกับหัวใจเราหยุดมันได้” วสันต์กล่าวจูงใจพร้อมแถลงถึงเหตุผลที่เข้าร่วมชุมนุมในครั้งนี้

“จริงๆ แล้วศิลปินก็มีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนคัดค้านนโยบายรัฐบาล เราไม่เห็นด้วยกับความอยุติธรรมตั้งแต่ปี 49 เราก็ร่วมขบวนมาตลอด ตั้งแต่ที่ธรรมศาสตร์มาเราก็ประสานงานมีทั้งดนตรี ศิลปะ และการแสดงหลากหลาย ที่เราทำกิจกรรมต่างๆ มาต้องการกระตุ้นให้ประชาชนตื่นตัว สิ่งที่เราเห็นร่วมกันในนามประชาชนก็อยากให้มีการเปลี่ยนแปลง ทำไมไม่เชื่อมั่นในพลังประชาชนล่ะ ทุกคนก็ไม่อยากให้นักการเมืองจัญไรมาปกครองประเทศใช่ไหม”

วสันต์มองว่าการต่อสู้ของภาคประชาชนในครั้งนี้เริ่มต้นอย่างฉุกละหุก ไม่ได้ก่อตัวเป็นรูปเป็นขั้นตอนอย่างคราวที่แล้ว เขาและเครือข่ายศิลปินเพื่อชีวิตจึงเข้ามาประกาศมติร่วมกัน

“ศิลปินเองก็น่าจะมาทำกิจกรรมร่วมหรือว่ามีส่วนร่วมในการวิพากษ์วิจารณ์หรือเปิดโปงรัฐบาลนี้ ศิลปินเข้ามาร่วมเยอะมาก ผมเองก็ทำหน้าที่ประสานไป และอยากให้คนรุ่นใหม่คนหนุ่มสาวมาร่วมกันช่วยชาติก่อนที่โลกจะสลาย ถ้าไม่ตายด้วยอุบัติเหตุหรือว่าการต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิอันชอบธรรมในการเกิดเป็นมนุษย์ หรือว่าโดนตำรวจตีตาย ก็โอเค...มันก็สวยงามกว่าตายเพราะพายุนากิส ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ตาย เพราะว่าปีหน้าเราอาจจะตายไปหมดทั้งประเทศ เหลือแค่ครึ่งประเทศก็ได้ แต่ว่าตอนนี้เราทนไม่ได้ ว่าสังคมไทยต้องตกไปอยู่ในอุ้งมือทุนสามานย์ ผมเองคือถ้าตายก็ดีเหมือนกัน ถ้าไม่ตายก็สู้ต่อไปจนกว่าสังคมไทยมันจะดีขึ้น มันอาจจะไม่ดีขึ้นเลยก็ได้ ผมอาจจะตายไปก่อนหลายร้อยชาติก็ได้ ผมไม่ยอมรับอำนาจทุน ผมไม่เชื่อเรื่องระบอบทุนนิยมซึ่งเป็นระบบที่จะมอมเมาให้ประชาชนตกเป็นทาส”

ทั้งนี้เขาเชื่อว่าพลังอำนาจของศิลปะ น่าจะช่วยกล่อมเกลาจิตใจคนที่ยังถูกความไม่รู้ครอบงำได้บ้าง

“ถามว่าทำไมคนถึงมามีส่วนร่วมมาก ทำไมคนถึงมากันในวันนี้ เพราะคนเชื่อว่า 30-40 ปีที่เขาเห็นประวัติศาสตร์การเมืองไทยนี่ มันเลวร้ายบัดซบสุดๆ ในสมัยทักษิณ คมช.มาก็ยิ่งชั่วไปใหญ่ เพราะว่าทำให้เกิดประเทศไทยจนตรอก ทุกวันนี้มันจนตรอกมาก คนต้องฆ่ากัน เราก็ไม่อยากให้ประชาชนต้องมาฆ่ากันแบบเคนย่าเลย ประชาชนด้านหนึ่งที่มีสติปัญญาเรียนรู้ว่าสังคมมันเกิดอะไรขึ้น แต่ว่าอีกด้านหนึ่งน่ะเป็นประชานิยมที่เขาหลงใหลทักษิณคลั่งไม่มีเหตุผลอีกต่อไปแล้ว มันต้องฆ่ากันแบบเคนย่า ซึ่งผมไม่อยากเห็นแบบนั้น เพราะฉะนั้น สิ่งที่เป็นทางออกเราก็พยายามที่จะนำเสนอ ศิลปะทำอะไรได้บ้าง เราวิพากษ์วิจารณ์แล้วเปิดโปงมัน ให้มันได้ละอายได้รู้ตัวว่ามันทำผิด มันควรจะสำนึกผิด”

ภาพเขียนที่สะท้อนความอยุติธรรม กดขี่ คอรัปชั่นของรัฐบาลนอมินีชุดนี้ ถูกสื่อสารออกไปสู่สาธารณะชน ผ่านฝีแปรงและเส้นสีของปลายพู่กันที่สะบัดบนผืนผ้าใบที่กางเรียงรายอยู่บนแนวฟุตบาทหน้าตึกยูเอ็น ซึ่งอุปกรณ์ทุกอย่างล้วนแล้วแต่ได้รับบริจาคมาทั้งสิ้น

พู่กันจากชลบุรี ผ้าใบวาดรูปถูกส่งมาไกลถึงจากเกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ส่วนสีก็มีผู้ใจดีในกรุงเทพฯ บริจาคทั้งในรูปตัวเงินและถังสีอีกหลายกระป๋อง บางคนที่ไม่ถนัดในการวาดรูป ก็ใช้เทคนิคผลิตงานศิลปะชนิดอื่นๆ มากจากบ้าน

“ศิลปินมาหลายคนฮะที่นี่ เพื่อนผมหลายคนก็มาจากเชียงใหม่ ทุกคนก็รู้จักมีใจรักความเป็นธรรม แต่ว่าต่างคนก็บทบาทต่างกัน บางคนเขาอาจจะมองเห็นว่าวสันต์เป็นนักต่อสู้ นักเคลื่อนไหว เราคิดแล้วเราต้องการปฏิบัติ ผมคิดแบบนี้ ไม่ใช่พูดอย่างเดียว เขาอาจจะ เฮ้ย...เราพูด เขาช่วย แล้วเขาก็มีส่วนสนับสนุนการต่อสู้ หรือว่าจะเป็นกำลังใจโทรศัพท์มาว่าเป็นห่วงเราเรื่องความรุนแรง เพราะฟังจากข่าวรอบนอกคิดว่าเป็นอย่างนั้น แต่จริงๆ ไม่ครับ สิ่งเหล่านี้ก็ถือว่าเคียงข้างกันแล้วก็แลกเปลี่ยน แต่เราก็ไม่ไป push ใครว่า เฮ้ยมาๆ ไม่ใช่แบบเรา ทุกคนต้องมาด้วยใจ”

นอกจากศิลปินหรือกลุ่มคนทำงานศิลปะแล้ว คนทั่วไปที่มีใจรักและชื่นชอบในศิลปะและการเมืองก็สามารถมาเข้าร่วมได้ โดยงานศิลปะทั้งหมดที่สร้างสรรค์ขึ้นบนถนนราชดำเนินนี้ วสันต์ตั้งใจว่าจะนำไปจัดแสดงที่ทำเนียบรัฐบาลให้ผู้นำประเทศดูในลำดับต่อไป

-2-

ในแสงสลัวของโคมไฟริมถนนราชดำเนิน อดิสรณ์ สองใจแท้ บุปผาชนจากกลุ่มพันธมิตรฮิปปี้กู้ชาติแห่งประเทศไทยที่สร้างสีสันมาตั้งแต่ม๊อบไล่ทักษิณครั้งที่แล้ว กำลังนั่งแบ่งข้าวกล่องกับเพื่อนทานอย่างง่ายๆ ท่ามกลางกองสีและผ้าใบระเกะระกะบนขอบฟุตบาทใกล้ตึกยูเอ็น

เจตนารมณ์ของศิลปินที่เป็นนักร้องนักดนตรีทั่วโลกอย่าง บ๊อบ ดีแลนด์, บ๊อบ มาเลย์, จิม มอริสัน คือแรงบันดาลใจของพวกเขาในการออกมาต่อสู้เรียกร้องความยุติธรรมในสังคม

“มันก็อยู่ในรัฐธรรมนูญที่เราจะออกมาเคลื่อนไหวอย่างสงบและสันติ ถ้าสมมติใครอยู่ที่นี่ทั้งคืนแล้วจับฟีลดูจะรู้ว่าแตกต่างจากม๊อบของ นปก. ที่สนามหลวง”

แม้จะเน้นการต่อสู้เรียกร้องแบบสงบสันติวิธี แต่วันแรกของการชุมนุมอดิสรณ์ก็ต้องตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ความรุนแรงที่ไม่น่าจะเกิด “วันที่ 25 ผมก็โดนเขาเอาขวดโซดาปาเข้ามาเหมือนกัน โดยที่มีรถตำรวจสองคันประกบข้างมาตรงแยกที่จะไปพระราม 8 แล้วตำรวจก็เอาระเบิดแก๊ซน้ำตาปามาก่อน พอปามาพวกผมก็เห็นแล้วว่าเฮ้ย..ควันอะไรวะ เกิดมาผมไม่เคยเห็นแก๊ซน้ำตา มันก็มีควันมา แล้วทีนี้พล.ต.จำลองวิ่งมาพอดีบอกว่าให้หมอบเพราะนั่นคือแก๊ซน้ำตา หมอบสักพักหนึ่ง พวกผมก็วิ่งไป พอรถตำรวจเลี้ยวออกไป ควันก็เริ่มจาง พอควันจางปุ๊บก็จะเห็นกลุ่มเสื้อแดง โยนก้อนหินมา โยนขวดโซดาที่เขย่าแล้วคือเกิดระเบิด เกิดอะไรบ้าง พวกผมก็คลานหลบไปหลบมา พล.ต.จำลองก็สั่งการอยู่บนเวที จะทำยังไงล่ะ...ผมก็เลยต้องปากลับ เหมือนกับว่าป้องกันตัว อันนี้ผมไม่ได้ถ่อยก่อน เราไม่ได้เป็นคนเริ่มก่อนอยู่แล้ว เพราะเราชุมนุมมาตั้งนานตั้งแต่ปี 48-49 ก็ไม่เห็นมีอะไร แล้วเขาชุมนุมขับไล่ป๋าเปรม ขับไล่คมช. พวกผมกลุ่มพันธมิตรก็ไม่ได้ไปวุ่นวาย คือมันเป็นรัฐบาลที่อันธพาลมาก มันเป็นรัฐบาลที่โจรน่ะ ” อดิสรณ์เล่าด้วยน้ำเสียงสุดเซ็งกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ปกติแล้วหากไม่มาร่วมชุมนุม อดิสรณ์จะทำธุรกิจเปิดร้านสกรีนเสื้อ แต่เมื่อมาใช้ชีวิตแทบจะกินนอนที่นี่ เขาจึงฝากลูกน้องให้ดูแลร้าน ขณะที่มาร่วมชุมนุมพร้อมกับเพื่อนๆ และแฟนสาว โดยที่อดิสรณ์ตั้งใจจะทำงานศิลปะในแบบที่เขาถนัด คือ งานภาพพิมพ์ที่เสียดสีนักการเมือง

ทางด้านศิลปินหญิงอย่างอภิรดี จูฑะศร หรือ “เอื้อง ยิปโซ” นามปากกาที่เธอใช้ในการเขียนบทกวี กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการวาดภาพของเธอที่มีชื่อว่า “สิบแสนมือสร้างทางของเรา” ที่หมายถึงชาวพันธมิตรจำนวนมากที่มาร่วมชุมนุมกันในครั้งนี้ แต่ทุกคนก็ร่วมมือร่วมใจกันสามัคคีจนเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่สามารถเปลี่ยนแปลงที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ โดยมีบทกวีและรอยประทับฝ่ามือเป็นกิมมิคที่ทำให้ภาพดูน่าสนใจยิ่งขึ้น

“ศิลปินหนึ่งคน หนึ่งภาพ หนึ่งแนวคิด โดยพี่วสันต์เป็นแกนนำว่าจะมีทั้งหมด 108 ภาพจาก 108 ศิลปิน จากทั่วประเทศรวมทุกรุ่น และหลากหลายวัย ซึ่งที่เห็นที่มาวาดกันมีตั้งแต่แบบสูงวัยมากอายุ 60-70 ยังมาวาดเลย เป็นคนเขียนป้ายโฆษณา เขาก็มาถามว่าขอผมวาดได้ไหม แล้วก็มีเด็กอายุ 15-16 มัธยมต้นมาวาดกับพี่สาว ไม่จำเป็นต้องเป็นศิลปินมืออาชีพ แต่ว่าขอให้มีใจรักทางด้านศิลปะ คอนเซปต์ของเราก็คือเรื่องการต่อสู้ของประชาชนของมวลชนพันธมิตร ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน ตั้งแต่เด็ก ผู้ใหญ่ไปจนถึงคนวัยทำงาน ก็หลากหลายอย่างเช่นบางคนก็อาจจะ aggressive หน่อย บางคนอาจจะมองเป็นเรื่องของเผด็จการ ก็แล้วแต่ เป็นเรื่องของมุมมอง”

โดยอภิรดีหวังใจว่า การเขียนบทกวีต่อสู้ทางการเมืองครั้งนี้ของเธอจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่น่าจะเป็นชัยชนะของประชาชน

-3-

เตวิช พงศ์วัฒนาวิจิตร หนุ่มเดรดร็อกอีกคนที่กำลังขะมักเขม้นง่วนอยู่กับสีและพู่กันตรงหน้า เปิดใจว่า ธีมของรูปเขียนของเขาคือ “ข้าวยากหมากแพง” ซึ่งงานเขียนรูปสะท้อนการเมืองและสังคมแบบนี้ เป็นงานที่เตวิชถนัดอยู่แล้ว จึงมักจะเห็นเขาตามงานเคลื่อนไหวทางสังคมของกลุ่มศิลปินอยู่เสมอ

“ยุคปัจจุบันข้าวยากหมากแพง น้ำมันแพง ก็เปรียบเหมือนคนเรามือขาด แขนขาขาดอยู่แล้ว จนทุกวันนี้คนไทยแทบไม่ต่างจากโครงกระดูกอยู่แล้ว” เตวิชอธิบายให้ฟังถึงแนวคิดในภาพเขียนของเขา ซึ่งการวาดริมถนนสดๆ แบบนี้ต่างจากการวาดแล้วจินตนาการในสตูดิโอ

“การเขียนรูปในที่สาธารณะอย่างนี้เราต้องใช้ความสด มีเหตุปัจจัยหลายอย่างเช่นมีฝนตกบ้าง อากาศร้อน ก็ต้องคิดตามสถานการณ์ด้วยว่าจะสื่อถึงอะไรให้คนสนใจที่สุด ซึ่งก็มีผู้ร่วมชุมนุมให้ความสนใจมาก มาช่วยบอกว่าน่าจะเขียนอย่างโน้นอย่างนี้ แล้วก็มาถ่ายรูปกัน ผมก็อยากให้มากันเยอะๆ จะได้เป็นสงครามครั้งสุดท้าย จะได้จบไม่ยืดเยื้อ” เตวิชกล่าว

ประสาท นิรันดรประเสริฐ จิตรกรและนักเคลื่อนไหวทางด้านสังคม เล่าให้ฟังว่า เขามาร่วมชุมนุมตั้งแต่ครั้งแรกๆ ตอนเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรที่ธรรมศาสตร์ โดยวาดรูปใส่แผ่นกระดาษกับเพื่อนๆ ศิลปิน โดยประสาทมองว่าการออกมาชุมนุมครั้งนี้ไม่แตกต่างจากครั้งก่อนๆ

“มันคล้ายกันเพราะเป็นกลุ่มที่ติดตามการเคลื่อนไหวของพันธมิตรมาโดยตลอด ตั้งแต่เมืองไทยรายสัปดาห์แล้วก็เป็นกลุ่มเดิมๆ แต่ว่าความเคลื่อนไหวนี่มันเหนียวแน่นมากยิ่งขึ้น เพราะว่าเราได้รับข้อมูลข่าวสารมากขึ้น ผมว่ามันดีขึ้น”

ผลจากข้อมูลที่แพร่หลายมากขึ้น ทำให้เขาไม่ต้องอธิบายให้คนอื่นที่ไม่เข้าใจฟังมากเท่ากับช่วงแรกๆ “ผมว่าคนก็รอว่าเมื่อไหร่เราจะเคลื่อนไหว เมื่อไหร่เราจะออกมา เพราะเรารู้ว่าปัญหามันไม่ได้ถูกแก้ตั้งแต่ตอนมีปฏิวัติที่ผ่านมา”

ครั้งนี้ แกลลอรี่ศิลปะชั่วคราวริมถนนราชดำเนินได้แสดงผลงานศิลปะของเขาไปถึง 3 รูปแล้ว “มันเป็นกิจกรรมที่เราเป็นคนเขียนรูปอยากแสดงออก เพราะเราเชื่อว่า รูปภาพบางทีมันก็สื่อสารในแง่ที่ว่าบางสิ่งที่เราอยากจะพูดเราพูดไม่เป็น คนเขียนรูปพูดไม่เป็น ก็เลยอยากจะเขียนรูปเพื่อแสดงออกถึงความรู้สึก”

ประสาทบอกว่า ครั้งนี้มีเพื่อนศิลปินที่มาร่วมเป็นเครือข่ายกว่า 20 คนจากทั่วประเทศ และกำลังจะมาสมทบเพิ่มเติมภายหลัง ทั้งจากภูเก็ต เชียงใหม่ และสมุยอีกกว่า 30 คน ฯลฯ “เราพยายามติดต่อให้ทั่ว แต่ว่าบางทีความพร้อมของแต่ละคนมันก็ไม่เหมือนกัน บางคนเขาก็อาจติดธุระหรืออยู่ต่างจังหวัด แล้วศิลปินส่วนใหญ่ก็เป็นพวกที่ค่อนข้างเก็บตัวไม่ค่อยออกมา แต่คราวนี้ออกมาเยอะ บางคนหลงมาก็มี เป็นเพื่อนกันหลงมา มาเขียนรูปแล้วก็ไป ตั้งใจมาร่วมแล้วมาเจอกัน แล้วเขาก็รู้ว่าผมต้องอยู่ ก็แวะมาดูก็เห็นเขียน ก็เอา...เขียนเลย คนละรูป”

ต่อการที่มีคนมองว่า เป็นศิลปินอยู่ดีๆ แล้วมายุ่งกับการเมืองทำไม ประสาทบอกว่า “ศิลปินอยู่ในสังคมครับ ไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่ได้ไปขึ้นสวรรค์ชั้น 7 ที่ไหน เพราะว่าศิลปินก็ต้องกินข้าวเหมือนกัน เราอยู่ในสังคม เราเห็นความทุกข์ยากของสังคม เราจะนิ่งดูดายได้ยังไง คนไม่ใช่ศิลปินเอง เขาเป็นพ่อค้าแม่ขายเขายังรู้สึก แล้วเราเป็นคนทำงานศิลปะแล้วทำไมเราจะไม่รู้สึก เรารู้สึกมาก เราต้องออกมา ไม่อย่างนั้นศิลปะต้องอยู่คนเดียว ศิลปะต้องรับใช้สังคม ต้องตอบสนองสิ่งที่สังคมยังขาดอยู่”

“ผมว่ารูปเขียนมันผ่อนคลายได้ ในแง่ที่ว่าเราอึดอัดกับปัญหาสังคมแล้วเราเขียนหรือระบายออกไป บางทีก็มีมุข แล้วคนที่มาดูเห็นแล้วบางรูปเขาก็ขำ เขาก็รู้สึกพอใจ มันเหมือนกับเราคลายความอัดอั้นออกไปมากกว่าที่จะพูด ส่วนคนที่มีอำนาจเขาก็คงไม่เห็นค่า เขาก็คงตายไปแบบนั้นแหละ แต่ผมอยากจะเชิญเพื่อนที่เป็นจิตรกรที่เป็นศิลปิน หรือใครก็แล้วแต่ที่มีความสามารถที่จะสื่อสารในการเขียนรูปได้ ขอเชิญมาร่วมกัน โดยเฉพาะเราอยากได้นักศึกษามาก เพราะนักศึกษาคือพลังบริสุทธิ์ เราอยากได้มาร่วมกัน” ศิลปินนักเคลื่อนไหวทางสังคมทิ้งท้าย









วสันต์ สิทธิเขตต์



กำลังโหลดความคิดเห็น