xs
xsm
sm
md
lg

ด้วยรักและอาลัย...“สุภาพบุรุษดับเบิ้ลเบส” โอ๊ต-วิทวัส ขอทวีวัฒนา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


…ว่ากันว่า หลังการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงเมื่อบรมครู นาม
อาจารย์น้อย-อานนทร์ ศิริสมบัติวัฒนา ผู้ก่อตั้งวง The Arnon Jazz Band ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตราว 10 ปีก่อน
ณ ตอนนี้ นับเป็นอีกครั้งที่วงการแจ๊ซเมืองไทยต้องร่ำไห้...
เนื่องด้วยการจากไปอย่างไม่มีวันกลับของชายหนุ่มวัยเพียง 27 ปี คนหนึ่ง กลางดึกของคืนที่ 16 มีนาคม ที่ผ่านมา

เขาคือ โอ๊ต-วิทวัส ขอทวีวัฒนา มือดับเบิ้ลเบสอนาคตไกลที่คนทั้งวงการต่างน้อมคารวะต่อความสามารถ พรสวรรค์ และ“จิตวิญญาณนักดนตรี” ที่เปี่ยมล้น...

                 ...............
     “ จริงๆ แล้ว มันนึกว่าเบสเป็นกีตาร์ เห็นแปลกดี เอ๊ะ! กีตาร์อะไรมี 4 สาย กว่าจะรู้ว่าไม่ใช่กีตาร์ ก็หลวมตัวไปแล้ว เลิกเล่นไม่ได้แล้ว”


     เย็นย่ำวันหนึ่ง ราวเดือนมิถุนายน 2548 กลางวงเสวนาเล็กๆ รอบม้าหินอ่อน ใต้ร่มไม้ครึ้ม...“โอ๊ต” เพียงแต้มยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก ไม่โต้แย้งใดๆ ต่อถ้อยคำหยอกเอินเปี่ยมอารมณ์ขันของเพื่อนๆ ที่อธิบายแทนเจ้าตัว เมื่อเราเอ่ยถามว่า
“ทำไมถึงเล่นเบส?”


     ดับสูญไม่ดับแสง

     ณ วันนี้ เมื่อนึกย้อนกลับไปก็จำได้ไม่ชัดเสียแล้วว่าสุดท้าย หลังเสียงหัวเราะทับถมอย่างรักใคร่ โอ๊ตได้ตอบคำถามนั้นหรือไม่? ตอบว่าอย่างไร? แต่ก็นั่นล่ะ ไยต้องกังขาในเมื่อท่วงทำนองสอดประสานอย่างพลิ้วไหวไหลลื่นและงดงามที่ล่องเรื่อยออกมาจากเรียวนิ้วของโอ๊ต นั่นต่างหาก คือสารัตถะที่แท้

ทุกจังหวะอันแม่นยำยามเคลื่อนจับ ทุกห้วงขณะยามกรีดนิ้ววาดลวดลายจรดลงบนสายทั้ง 4 ของ “ดับเบิ้ลเบส” ชัดเจนเพียงพอแล้วว่าคำตอบนั้นคงเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจาก...

เครื่องดนตรี 4 สายตัวนี้...เปรียบเสมือนชีวิตและลมหายใจของโอ๊ต

     ถ้อยความนับจากนี้ที่เหล่าฅนดนตรีถ่ายทอดแก่เรา น่าจะช่วยให้เห็นภาพได้ชัดขึ้นต่อคำถามที่ว่า เพราะเหตุใด? การจากไปของคนหนุ่มคนหนึ่งจึงสร้างความสูญเสียต่อ’แจ๊ซไทยมากมายนัก ทั้งเพื่อร่วมรำลึกถึงการทำงานดนตรีอย่างมุ่งมั่นทุ่มเทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาของโอ๊ต

     เหนืออื่นใดเพื่อย้ำเตือนว่า ภายหลังการจรัสแสงอย่างเจิดจ้าบนผืนดิน ก่อนเคลื่อนกายไปปรากฏบนผืนฟ้า...มีคุณูปการใดบ้างที่โอ๊ตทิ้งไว้แก่วงการ...

“โอ๊ตเป็นมือเบสซึ่งเป็นที่ต้องการตัวมากที่สุดคนหนึ่ง ในวงการแจ๊ซเมืองไทย”
โอ๋-เจษฎา สุขทรามร หรือ โอ๋ ดูบาดู บอกเล่าถึงคุณสมบัติ และความสามารถของโอ๊ตทั้งอธิบายเพิ่มเติมถึงประเภทของวงดนตรีแจ๊ซ ที่เหมาะกับหนุ่มรุ่นน้อง

โอ๋ขยายความว่าการเล่นแจ๊ซจะมีไสตล์หลัก ๆ อยู่ 2 แบบ คือสำหรับวงที่เล่นน้อยชิ้นมีนักดนตรีประมาณ2-5 คน และวงบิ๊กแบนด์ที่มีนักดนตรีตั้งแต่ 8-30 คน ซึ่งมือเบสที่เหมาะจะเล่นวงเล็ก ต้องเป็นมือเบสที่มีลูกเล่นแพรวพราว หวือหวา สร้างสรรค์อะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ได้ตลอดเวลา เพื่อให้ผู้ฟังไม่เบื่อ ขณะที่มือเบสของวงบิ๊กแบนด์ต้องเล่นอย่างมีระเบียบ แบบแผน ต้องเล่นตามโน้ต เนื่องจากเป็นวงใหญ่ หากมีการดีไซน์โน้ต หรือใส่ลูกเล่นอะไรเยอะเกินไปก็จะทำให้เพลงเพี้ยน ไม่ไพเราะ
ซึ่งตลอดระยะเวลา 10 ปีมานี้ การเล่นดับเบิ้ลเบสในวงบิ๊กแบนด์มีโอ๊ตเพียงคนเดียวที่ทำได้ดี

“หากเป็นการเล่นแจ๊ซที่เป็นวงใหญ่ และมีดับเบิ้ลเบสในวง ไม่ว่าที่ไหน วงไหน เมื่อไหร่ก็ตาม ตำแหน่งนั้นต้องเป็นโอ๊ตคนเดียวเท่านั้น เขาเป็นคนเดียวที่ทำสิ่งนี้ได้ ดังนั้น เมื่อเขาไม่อยู่ ทุกๆ วงที่เล่นแบบนี้ก็ลำบากกันหมด น่าเสียดายมากที่โอ๊ตไม่อยู่แล้ว”

หากถามว่า ดับเบิ้ลเบสมีความสำคัญแค่ไหน คำตอบของนักดนตรีรุ่นเก๋าคนนี้ คือ

“ในวงดนตรีแจ๊ซ เบสเป็นเครื่องดนตรีที่สำคัญที่สุด สำคัญกว่าคนร้องนำ สำคัญกว่าคนโซโล่ เหมือนเป็นหัวใจของวงดนตรีนั้นๆ เลย เพราะฉะนั้นจึงพูดได้ ว่า ณ ตอนนี้ เมื่อโอ๊ตไม่อยู่ วงดนตรีที่เป็นบิ๊กแบนด์ทุกๆ วง ที่มีโอ๊ตเป็นคนเล่นก็เปรียบได้กับคนที่มีแต่ร่างกายเท่านั้น หัวใจไม่มีแล้ว”


ถึงแม้แต่ละวงอาจมีนักเรียบเรียงเสียงประสานที่เก่งกาจ มีคนอิมโพรไวส์ มีนักทรัมเป็ต นักเปียโน นักกีตาร์ นักแซ็กโซโฟน ที่อิมโพรไวส์เก่ง เล่นดนตรีเพราะ แต่ถ้าวงบิ๊กแบนด์ไม่มีมือเบส หรือมีมือเบสที่ไม่มีประสบการณ์มากพอ ไม่คุ้นเคยกับวงใหญ่ ไม่คุ้นเคยกับการอ่านโน้ต วงๆ นั้นก็ไม่สามารถเป็นวงบิ๊กแบนด์ที่ดีได้

ในสายตาโอ๋ เขามองว่าคนเล่นดับเบิ้ลเบสในเมืองไทยมีเยอะ แต่โอ๊ตเป็นคนเดียวที่เล่นแจ๊ซและเล่นวงบิ๊กแบนด์ สำคัญกว่านั้นคือเล่นได้ดี เล่นไม่ผิด อ่านโน้ตคล่อง มีความรับผิดชอบสูง เป็นที่รักของทุกคน


     อนันต์ ลือประดิษฐ์ คอลัมนิสต์และนักวิจารณ์ดนตรีที่ได้รับการยอมรับ เอ่ยถึงประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อย เกี่ยวกับความสามารถของโอ๊ตและความสำคัญของเบส อันนับเป็นหัวใจสำคัญของวง

“หน้าที่ของเบสในวงดนตรีคือการให้เสียงที่เป็นรากฐานของคอร์ดนั้นๆ เบสต้องทำหน้าที่ทั้งรักษาจังหวะแล้วก็ช่วยโอบอุ้มวงไว้ เบสจึงมีความสำคัญมาก ถ้าเล่นผิดเพลงจะฟังเพี้ยนทันที ไม่กระชับ ไม่เป็นเพลงเลย ส่วนดับเบิ้ลเบสจะต่างจากเบสไฟฟ้าตรงที่มันไม่มีตำแหน่งระบุคอร์ด หรือโน๊ต คือถ้าเราเล่นกีตาร์หรือเบสไฟฟ้า มันจะมีเฟร็ตที่จะบอกว่าตรงไหนโน้ตอะไร แต่ดับเบิ้ลเบสเป็นเครื่องดนตรีกลุ่มเดียวกับไวโอลิน เพราะฉะนั้นประสาทสัมผัสในการฟังของคุณต้องดีมาก แล้วยิ่งเป็นย่านความถี่ต่ำ หูคุณก็ยิ่งต้องดีขึ้นไปอีก คนทั่วไปจะรับเสียงสูงได้เร็ว ฟังทำนองได้เร็ว แต่ฟังย่านความถี่ต่ำได้ไม่ดีนัก แต่โอ๊ตทำหน้าที่ตรงนี้ได้ดี”

อนันต์มองว่าโอ๊ตเป็นนักดนตรีที่เข้าถึงเสน่ห์ของดนตรี อย่างที่โอ๊ตเคยบอกกับเขาว่า หลงเสน่ห์แจ๊ซ เพราะรู้สึกว่าแจ๊ซคือดนตรีที่สามารถเติมตัวเองเข้าไปได้อย่างเต็มที่ สามารถที่จะใส่อะไรเข้าไปก็ได้ เหมือนกับการสร้างบ้านที่มีโครงมาให้แล้ว จากนั้นจะทาสีบ้านแบบไหน หรือใส่เฟอร์นิเจอร์อะไรเข้าไป มันก็เป็นหน้าที่ของคุณ

โอ๊ตจริงจังมาก ทั้งที่บัณฑิตจบวิศวะไฟฟ้าจุฬาฯ ด้วยคะแนนเกียรตินิยมอย่างเขา สามารถไปประกอบอาชีพเป็นวิศวกรได้ แต่เขากลับเลือกเดินบนทางสายนี้ เลือกที่จะพิสูจน์ให้ใครต่อใครได้เห็นว่า วงการดนตรีไม่ใช่อาชีพเต้นกินรำกิน คือมันเหมือนกับว่า โอ๊ตเป็นความหวังที่ช่วยยกระดับให้เห็นว่า ในทุกๆ วงการก็ต้องการคนเก่งมาช่วยกันทำให้ดีขึ้น

ขณะที่ ลูกหว้า-พิจิกา จิตตะปุตตะ หรือ ลูกหว้า ดูบาดู เล่าถึงคุณลักษณะสำคัญของโอ๊ตที่เล่นดนตรีด้วย “หัวใจ”

“โอ๊ตเป็นคนเล่นดับเบิ้ลเบสได้แน่น เวลาเล่นเป็นวงเราจะวางใจในการเล่นของเขาได้เลย ไม่มีอะไรต้องกังวล เขาเป็นคนเล่นดนตรีด้วยหัวใจ ‘บายฮาร์ต’ น่ะค่ะ เวลาฟังจะสัมผัสได้เลยว่าเขาใส่ความรู้สึกลงไป เขาเล่นด้วยความสุขและสนุกกับมัน เขาเป็นคนใช้ความรู้สึกนำทาง เมื่อชัดเจนแล้วว่าใจรักดนตรี ชอบแจ๊ซ เขาก็มุ่งมาทางนี้เลย ทั้งๆ ที่มีทางเลือกอื่นอย่างการเป็นวิศวกรที่มีอนาคตแน่นอนกว่า”

“สำหรับหว้า ถ้าจะให้หาคำจำกัดความถึงเอกลักษณ์ในการเล่นดับเบิ้ลเบสของโอ๊ตก็คือเวลาที่เราร้องเพลงกับเขา...เรารู้สึกสบาย คือเขาเป็นหลักให้เราได้ เหมือนกับว่าพร้อมจะไปด้วยกัน ประคับประคองกัน รู้ทางกัน”


     ในความสูญเสีย

การสูญเสียโอ๊ตสร้างความสูญเสียให้วงการแจ๊ซแน่นอน เพราะมือเบสหายากอยู่แล้ว มือเบสที่เข้าใจแจ๊ซดีก็หายากยิ่งกว่า คนส่วนใหญ๋มักจะเล่นกีตาร์ เปียโน แต่จริงๆ แล้วเบสเป็นเครื่องดนตรีที่ให้จังหวะซึ่งสำคัญมาก

อย่างไรก็ดี อนันต์ มองว่า ยังมีสิ่งที่โอ๊ตทิ้งไว้ให้แก่คนรุ่นหลัง ซึ่งมีคุณค่าไม่น้อย นั่นคือความเป็น ‘นักดนตรี’ ที่น่าเอาเยี่ยงอย่าง

"โอ๊ตเป็นนักดนตรีในอุดมคติของสังคมไทยเลยก็ว่าได้ เพราะขยัน มีวินัย ขวนขวายหาความรู้ ที่สำคัญคือเปิดกว้างสำหรับทุกแนวดนตรี โดยอนันต์เชื่อว่าเขาได้รับการปลูกฝังสิ่งดีๆ เหล่านี้จากพี่ๆ ที่ซียูแบนด์ โดยเฉพาะ อาจารย์ปิติ เกยูรพันธุ์ และได้รับจาก อาจารย์เด่น อยู่ประเสริฐ ที่มหาวิทยาลัยรังสิต ด้วย”

“ผมเห็นด้วยกับที่ อาจารย์ศิลป์ พีระศรี เคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตสั้น ศิลปะยืนยาว ผลงานของโอ๊ต ก็น่าจะมีบางส่วนที่เป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นต่อไป คือไม่ว่าคนส่วนใหญ่จะรับรู้หรือไม่ แต่อย่างน้อยๆ ก็จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เห็นค่าในสิ่งที่โอ๊ตทำ”

ขณะที่ โอ๋-เจษฎา สะท้อนถึงวงการแจ๊ซเมืองไทย หลังการจากไปของโอ๊ตได้น่าสนใจยิ่ง

“สำหรับผม ผมเจอความสูญเสียอย่างนี้มา 2 ครั้งแล้ว ครั้งแรกคือการเสียชีวิตของอาจารย์น้อย-อานนท์ ศิริสมบัติวัฒนา เมื่อราว 10 ปีก่อน”

โอ๋ พาเราย้อนกลับไปขณะนั้น ที่วงการแจ๊ซตกอยู่ในความโศกเศร้า
เนื่องจากอ.น้อยเป็นคนเก่ง มีความสามารถ มักแนะนำคนอื่นๆ เพื่อให้เขาพัฒนาตนเองไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ เหตุการณ์นั้นทำให้คนทั้งวงการช็อกมาก เพราะไม่รู้ว่านับจากนี้จะเรียนรู้จากใคร

“ตอนนี้ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พวกเราเสียใจกับการสูญเสียโอ๊ต ซึ่งเรื่องความเสียใจ หลายๆ คนคงพูดถึงแล้ว ผมเองก็ไม่ต่างกันเพราะคนดีๆ คนหนึ่งที่เรารู้จักได้จากเราไป แต่ในอีกมุมหนึ่ง สำหรับผมแล้ว ผมพบว่าการจากไปของโอ๊ตชี้ให้เราเห็นได้เลยว่า วงการแจ๊ซเมืองไทยยังโตไม่พอ ยังแข็งแกร่งไม่พอ เพราะว่าไม่มีใครสามารถแทนที่โอ๊ตได้

“ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไม่รักโอ๊ต แต่การที่วงการช็อค ชะงักงันไปมันสะท้อนว่า เราต้องเร่งสร้างคนเก่งเพิ่มให้มากๆ เพราะเราไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่น่าเสียใจอย่างนี้จะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ การที่เราช็อคเพราะเพื่อนที่น่ารักคนหนึ่งจากเราไป นั่นก็เจ็บปวดมากพอแล้ว แต่นี่เรายังต้องช็อคกับคำถามที่ว่าเราจะมีเพลงบิ๊กแบนด์ฟังไหม? จะมีดับเบิ้ลเบสในวงบิ๊กแบนด์ที่เล่นได้อย่างโอ๊ตอีกไหม? แล้วต้องรอนานแค่ไหนจะมีคนอย่างโอ๊ตอีก? คือมันเจ็บปวดหนักขึ้นไปอีกตั้งไม่รู้กี่เท่า ดังนั้นเราต้องช่วยกันให้มากขึ้นกว่านี้ ต้องทำงานหนักกันมากขึ้น ตลอด10 ปีมานี้ ถ้าไม่มีใครเล่นดับเบิ้ลเบสในบิ๊กแบนด์สู้โอ๊ตได้เลย นั่นหมายความว่า บิ๊กแบนด์เมืองไทยลำบากแล้ว"

เด่น อยู่ประเสริฐ ก็มองไม่ต่างกันกับโอ๋ ทั้งคู่แสดงความเห็นว่า นับจากนี้ วงการแจ๊ซเมืองไทยต้องร่วมมือกันให้มากขึ้น ในการผลิตบุคลากรทางดนตรีที่มีคุณภาพ ขณะที่การจากไปของโอ๊ต ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างยิ่งทั้งด้านพรสวรรค์ระดับอัจฉริยะ และความสามารถที่เกิดจากการขยันหมั่นฝึกซ้อม ทุ่มเทอย่างจริงจัง

“โอ๊ตเป็นมือเบสที่มีความสามารถมาก ทั้งที่เขาเพิ่งเข้ามาเรียนดับเบิ้ลเบสที่วิทยาลัยดนตรีได้ไม่นาน โอ๊ตเป็นเด็กดี มีความรับผิดชอบ ผมเชื่อว่า ถ้าเขายังอยู่ อีกไม่ช้าเขาโกอินเตอร์แน่ จึงกลายเป็นเรื่องน่าเศร้า แล้วก็น่าเสียดาย”

เด่นยอมรับในพรสวรรค์ของโอ๊ตอย่างมาก โดยเฉพาะประสาทสัมผัสในการฟังโน้ต ซึ่งอยู่ในระดับอัจฉริยะก็ว่าได้ นักดนตรีที่มีพรสวรรค์เช่นนี้มีไม่มากนัก และโอ๊ตเป็นหนึ่งในนั้น

นอกจากนี้ ความมุ่งมั่นที่จะทำตามฝันของตนเอง ก็นับเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งที่โอ๊ตทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังได้มองเป็นแบบอย่าง

“โอ๊ตเรียนจบวิศวะด้วยคะแนนเกียรตินิยมอันดับสอง แต่เขาก็เลือกที่จะมาทำงานด้านดนตรีจนมีเงินเก็บเป็นล้านกว่าบาท แล้วเอามาผ่อนบ้านให้พ่อแม่ น่าภูมิใจมากครับ โอ๊ตเป็นคนมุ่งมั่น ไม่รู้จะหาใครมุ่งมั่นได้ขนาดนี้ เรียนดนตรี เขาก็สอบได้ 4.00 ทั้งยังมีพรสวรรค์ที่มีมาแต่กำเนิด เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว เขาไม่ต้องมาเรียนปริญญาตรีดับเบิ้ลเบสก็ได้ แต่เขาอยากเรียนรู้ อยากศึกษาทฤษฏีให้มากที่สุด”


     ในความทรงจำอันเป็นนิรันดร

“โอ๊ตเป็นคนที่มุ่งมั่นกับดนตรีมาก ใจเขาก็อยากเข้าคุรุศาสตร์ดนตรี แต่เขาเรียนเก่งแล้วก็ยอมทำตามใจพ่อแม่ที่อยากให้เรียนวิศวะ เขาก็เรียนให้ แต่พอเอ็นท์ติดวิศวะจุฬาฯเขาก็ไปเข้าชมรม CU Band เลย เขาสานฝันตัวเองไปด้วยขณะเดียวกันก็ไม่ทิ้งความฝันของพ่อ ด้วยการตั้งใจเรียนวิศวะอย่างเต็มที่

"กระทั่งเรียนจบโอ๊ตก็มาขออนุญาตพ่อ ว่าเขาไม่อยากเรียนวิศวะแล้ว อยากเล่นดนตรี เขาก็ไปเรียนเบสกับอาจารย์ท่านหนึ่งที่มหาวิทยาลัยรังสิต
จากนั้นก็ได้คุณปิติ เกยูรพันธุ์ พาไปเล่นกับวงลายไทย แล้วก็ไปเล่นแบคอัพให้กับวงพีซเมกเกอร์

“แต่เมื่อค้นพบตัวเองว่าชอบเล่นแนวไหน โอ๊ตก็มาปรึกษาพ่อว่าจะออกจากวง พ่อก็บอกเขาว่าต้องคุยกันให้ดี ประกอบกับวิทยาลัยดนตรี มหาวิทยาลัยรังสิต ประกาศให้สมัครขอทุน เขาก็เลยไปออดิชั่น พอได้ทุนเรียนก็ได้ทำอย่างที่เขาชอบ คือได้เรียนดับเบิ้ลเบส ได้เรียนแจ๊ซ เรียนเพลงคลาสสิค ซึ่งโอ๊ตกระตือรือร้นมาก สั่งหนังสือมาจากเมืองนอกหลายเล่ม”

รศ.สมบัติ ขอทวีวัฒนา อาจารย์ประจำภาควิชาพัฒนาผลิตภัณฑ์ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พ่อของโอ๊ตเล่าเพิ่มเติมว่า โอ๊ตเป็นคนที่แม่นจังหวะมาก ซึ่งเหมาะกับการเล่นเบสอย่างยิ่ง เพราะเป็นเครื่องดนตรีที่ละเอียดอ่อน ซึ่งโอ๊ตเขาก็เป็นคนแบบนั้น นอกจากนี้เขายังใฝ่ฝันอยากเป็นมือดับเบิ้ลเบสระดับโลก อยากไปเล่นเมืองนอก
    "เขาก็ฝันไว้เยอะครับ ก็ถึงกับฝันว่าอยากจะเปิดเบส อคาเดมี ในเมืองไทย คอยให้คำแนะนำรุ่นน้องที่สนใจอยากศึกษาการเล่นเบสอย่างจริงจัง"


                  …..............

     เรื่องราวของโอ๊ตยังคงพรั่งพรูจากความทรงจำอย่างต่อเนื่อง แม้ในบรรยากาศแห่งความอาลัยยังไม่เลือนจาง กระนั้นแววตาของผู้ให้กำเนิด “สุภาพบุรุษดับเบิ้ลเบส” ก็ยังคงมีประกายแห่งความสุขในทุกถ้อยคำที่ได้บอกเล่าถึงเรื่องราวของลูก

     ภายในห้องนอนของโอ๊ตที่ดูเรียบง่ายสะอาดตา บนชั้นมีสมุดโน้ตและหนังสือเพลงอัดแน่นเต็มไปหมด ตรงข้ามกันมีซีดีเพลงวางเรียงรายนับไม่ถ้วน ไวท์บอร์ดยังคงมีหมายงานที่โอ๊ตเขียนด้วยปากกาเมจิกปรากฏอยู่รางๆ

     ขณะยืนรำลึกถึงโอ๊ตและพยายามจดจำบรรยากาศแสนผ่อนคลายของมุมดนตรีที่โอ๊ตโปรดปราน สายตาก็เหลือบไปเห็นแก้วกาแฟวางไว้บนเปียโน แต่ยังไม่ทันเอ่ยถาม คุณพ่อผู้จับสังเกตได้ก็ช่วยคลายความสงสัย


   ...ในแก้วใบนั้นมีกระดาษใบเล็กๆ บรรจุอยู่เกือบเต็ม แต่ละใบจะเขียนคอร์ดเอาไว้ เมื่อโอ๊ตมานั่งที่เปียโนหรืออิเล็กโทน เขามักจะเล่นเกมกับตัวเองด้วยการหลับตา เอื้อมมือหยิบกระดาษใบเล็กในแก้ว พลันที่ลืมตาขึ้นมาเห็น ไม่ว่ามีคอร์ดอะไรปรากฏอยู่ ประสาทสัมผัสต้องพร้อม นิ้วต้องวาดไปบนคอร์ดได้ทันที...แล้วเปียโน ไม่ก็อิเล็กโทนจะส่งเสียงคอร์ดนั้นๆ ลั่นบ้านอยู่พักใหญ่ ก่อนเจ้าของไอเดียจะหลับตาแล้วเริ่มล้วงมือลงไปในแก้วอีกครั้ง...

...The GREAT GIG BOOK (1996 Edition) 768 songs (with lyrics-and good chord changes for professional musicians,
    Jazz Theory by Mark Levine Author of “The Jazz Piano Book” และ THE REAL BOOK (SIXTH EDITION) คือโน้ตเพลงสามเล่มหนา ที่แม้หาซื้อไม่ได้ แต่โอ๊ตก็ซีร็อกซ์ข้อมูลทั้งหมดเย็บเป็นเล่ม ติดตัวไว้ตลอด นับเป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ทางดนตรีที่ติดรถของโอ๊ตไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ

                    ...............

ละอองสีแดงคล้ำราวหยาดฝนที่แผ่ขยายแล้วฝังแน่นอยู่บนปกสมุดโน๊ต คงไม่มีวันลบเลือน แต่น่าแปลก ที่ความโศกเศร้าคล้ายจะจางหาย

    ‘โอ๊ตได้อยู่กับสิ่งที่รัก ตราบวินาทีสุดท้าย’...คือความรู้สึกเดียวที่วาบขึ้นมา ณ ห้วงขณะนั้น

 
     รอยยิ้มสงบเย็นในแววตาของชายผู้ล่วงเข้าวัยกลางคน ที่ยื่นหนังสือเหล่านั้นให้เราอย่างเบามือ...ก็ไม่ต่างกัน

                 ****************


เรื่อง-รพีพรรณ สายัณห์ตระกูล

หมายเหตุ
“ผู้จัดการปริทรรศน์” ขอขอบพระคุณในความอารีจากคุณพ่อคุณแม่ของโอ๊ต มา ณ ที่นี้

ผลงานที่ผ่านมาของโอ๊ต
-สมาชิกวง CU Band
-วง JRP Little Big Band
-วงบางกอกซิมโฟนีออเครสตร้า (BSO)
-วงลายไทย (วง Big Band Jazz เลื่องชื่อของเมืองไทย)
-เล่นประจำที่ Brown Sugar Pub, Rebob Pub, Saxophone Pub,Francis Yip
-เล่น Back Up ให้กับ Peacemaker,Sleepless Society, Greenline Project, รัดเกล้า อามระดิษ,Doobadoo
-เล่นให้ละครเพลง Cabaret, Kiss of Spider Woman, Hank, Annie
ฯลฯ







กำลังโหลดความคิดเห็น