ในบรรดารายชื่อของนักฟุตบอลรุ่นใหม่ที่ออกแนวซูเปอร์สตาร์ มีสื่อคอยติดตามความเคลื่อนไหวอยู่ตลอดชื่อของ “อนาวิน จูจีน” คงไม่มีใครปฏิเสธถ้าจะให้ติดอยู่ในลิสต์ดังกล่าว
เมื่อเขาเริ่มเป็นที่รู้จักของแฟนบอลชาวไทยในฐานะ 1 ใน 18 นักเตะชุดล่าฝันในโครงการ “เดอะ วินเนอร์” ที่คัดเลือกจากดาวรุ่งกว่า 2,000 คนทั่วประเทศ
ก่อนจะโด่งดังสุดขีดในโครงการ “เป๊ปซี่ เวิลด์ ชาลเลนจ์ 2006” ที่ทำให้เด็กหนุ่มจากโรงเรียนกีฬาจังหวัดอ่างทอง ผ่านด่านทดสอบร่วมกับ วิสูตร บุญเป็ง เป็นตัวแทนจากประเทศไทยไปเรียนรู้การฝึกทักษะจากสุดยอดนักฟุตบอลระดับโลก พร้อมทั้งร่วมแข่งขันกับเยาวชนอีก 10 ประเทศ
ด้วยทักษะลูกหนังอันยอดเยี่ยมในการทดสอบด่านต่างๆ ทำให้ตัวแทนจากประเทศไทยเข้าป้ายจบโครงการนี้ในอันดับ 2 ชนิดที่พ่ายคู่หนุ่มตี๋จากแดนมังกรไปอย่างฉิวเฉียด นอกจากนี้ พรสวรรค์ของดาวรุ่งจากแดนสยาม โดยเฉพาะในรายของ อนาวิน ที่แสดงให้เห็นผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ทำให้ “หนุ่มเอ็ม” ได้รับการคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมาสู่ทีมชาติไทยชุดใหญ่ในอนาคตอันใกล้นี้
ทว่าภายหลังกลับมาจากภารกิจตะลุยรอบโลก ผลงานของเจ้าเอ็มกลับไม่โดดเด่นอย่างที่คาดไว้ โดยเฉพาะในระดับสโมสรที่ไม่สามารถยึดตำแหน่งตัวจริงของ ธ.กรุงไทย ได้ ก่อนที่ทีมจะจบฤดูกาลด้วยอันดับที่ 9 ในศึกไทยลีกปี 2006 จนกระทั่งฤดูกาลที่ผ่านมาทีม “วายุภักษ์” สร้างผลงานสนั่นลีกสูงสุดของประเทศ เมื่อสามารถบินสูงขึ้นไปถึงตำแหน่งรองแชมป์
กระนั้น แม้ อนาวิน จะได้สัมผัสเกมถึง 27 จาก 30 นัด และทำไปได้ 2 ประตู แต่ที่น่าแปลกก็คือทั้งหมดเป็นการลงสนามในฐานะตัวสำรอง ซึ่งนั่นได้กลายเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เจ้าตัวหลุดออกจากทีมชุดซีเกมส์ ครั้งที่ 24 ณ เมืองโคราช เมื่อปลายปีที่ผ่านมา ทั้งที่มีชื่อเสียงมากกว่านักเตะคนอื่นด้วยซ้ำ
กราฟชีวิตที่ดูจะขึ้นๆลงๆ ของ “หนุ่มเอ็ม” ที่เพิ่งฉลองวันเกิดครบ 21 ปีเต็มไปเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทำให้ทีมข่าวกีฬาผู้จัดการรายวันได้เข้าไปนั่งพูดคุยและเปิดใจนักเตะหนุ่มกับสาเหตุที่ชวดเป็น 1 ใน 23 ผู้เล่นชุดคว้าแชมป์ซีเกมส์สมัยที่ 8 ติดต่อกัน
“ในตอนนั้น “โค้ชทอง” อ.ทองสุข สัมปะหังสิต เรียกนักเตะมาทั้งหมด 35 คน ก่อนที่ผมจะเป็น 1 ใน 5 คนแรกที่โดนตัดออกจากทีม ก็ต้องยอมรับเพราะว่าด้วยประสบการณ์ยังน้อย รวมทั้งผลงานในระดับสโมสรยังเป็นเพียงตัวสำรองด้วยซ้ำ หากติดก็อาจจะค้านสายตาคนอื่นๆ ได้”
จากเด็กหนุ่มที่เคยเป็นดาวรุ่งพุ่งแรงที่สุดคนหนึ่งของเมืองไทย จนกระทั่งหลุดจากทีมชาติไทยชุดซีเกมส์ ครั้งที่ 24 ถึงวันนี้ อนาวิน รู้ดีว่าด้วยวัยเพียง 20 ต้นๆ ถนนสายลูกหนังของเขายังอีกยาวไกล และเจ้าตัวยังมองไปข้างหน้า โดยมีเป้าหมายอยู่ที่เวียงจันทน์เกมส์ ในปี 2009 ก่อนจะกล่าวด้วยความมุ่งมั่นว่า
“ถึงแม้วันนี้จะเหมือนกับการเริ่มต้นนับหนึ่งสร้างชื่อเสียงกันใหม่ แต่ก็ต้องไต่ขึ้นไปให้ได้ซึ่งเป้าหมายของผมอยู่ที่การติดทีมชุดซีเกมส์ ที่ประเทศลาวให้ได้ก่อน ถึงจะมีโอกาสติดทีมชาติชุดใหญ่ที่นักฟุตบอลทุกคนใฝ่ฝัน”
แน่นอนบทเรียนสำคัญจากโคราชเกมส์ ทำให้ อนาวิน เรียนรู้ว่าการจะติดทีมชาติ ต้องมีตำแหน่งตัวจริงในระดับสโมสรเป็นเครื่องรับประกัน แต่คงไม่ใช่งานง่ายเมื่อผ่านพ้นเกมลีกไปแล้ว 4 นัด สถานการณ์ของมิดฟิลด์สารพัดประโยชน์รายนี้ยังออกสตาร์ที่ม้านั่งสำรองตามเดิม
“ปีนี้คงยังไม่ได้เป็นตัวจริงเหมือนเดิม แต่อย่างน้อยผมก็เป็นนักเตะคนที่ 12 คือจะถูกเปลี่ยนตัวลงไปพลิกเกมตลอดจนกลายเป็นซูเปอร์ซับของทีมไปแล้ว ซึ่งมันก็ดีในระดับหนึ่งแต่ถ้าอยากไปโชว์ฝีเท้าที่ลาวจริงๆ ก็ต้องแย่งตำแหน่งตัวจริงมาให้ได้ภายใน 2 ฤดูกาลที่เหลือนี้ แม้จะไม่ใช่งานง่ายแต่ผมก็จะพยายาม”
สิ่งหนึ่งที่น่าจะทำให้เด็กหนุ่มวัย 21 ปี มีโอกาสพิสูจน์ตัวเองมากขึ้น เมื่อ “โค้ชแต๊ก” อรรถพล บุษปาคม กุนซือ ธ.กรุงไทย มองเห็นความสามารถของลูกทีมรายนี้ ก่อนจะเปิดเผยกับทีมข่าวกีฬาผู้จัดการรายวันว่า “เอ็มเป็นผู้เล่นที่มีวินัยค่อนข้างดีในเรื่องการฝึกซ้อม นับเป็นดาวรุ่งของทีมที่รอวันขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ที่โรยราไป และในฤดูกาลนี้น่าจะได้มีโอกาสลงสนามมากขึ้น แต่อนาคตก็อยู่ที่ว่าเขาจะสั่งสมประสบการณ์ และแสดงศักยภาพดีพอที่จะขึ้นมาทดแทนรุ่นพี่ได้หรือเปล่า”
นับจากวันนี้ หนุ่มเอ็ม เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 ปีในการพิสูจน์ตัวเอง เพื่อทำเป้าหมายที่วางไว้ในการติดทีมชาติไทยชุดลุยเวียงจันทน์เกมส์ ซึ่งถึงแม้จะไม่ใช่งานง่ายแต่เชื่อเหลือเกินว่าหากเจ้าตัวมีความมุ่งมั่นและตั้งใจจริง โอกาสที่จะได้ไปเป็น 1 ในนักเตะชุดป้องกันแชมป์ซีเกมส์ สมัยที่ 9 คงอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม เหมือนกับที่เจ้าตัวเคยต่อสู้จนเอาชนะยาเสพติด และได้มาเป็นนักฟุตบอลที่ตัวเองฝันไว้อย่างเช่นทุกวันนี้นั่นเอง