xs
xsm
sm
md
lg

หัวใจศิลป์ จิตต์สิงห์ สมบุญ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โดยไม่ได้กะเกณฑ์เอาไว้ แต่ จิตต์สิงห์ สมบุญ Head of design ของเสื้อผ้าแบรนด์ Playhound ในเครือบริษัท Greyhound ก็พาชีวิตโลดแล่น อยู่ในวิชาชีพแฟชั่นดีไซเนอร์มาเกือบยี่สิบปี

"คงเป็นเพราะผมชอบเสื้อผ้า ชอบแต่งตัว ชอบรองเท้า หมวก นาฬิกา แว่นตา (ซึ่งตอนนี้บ้าเป็นพิเศษ) และยังชอบอะไรอีกหลายๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ของแต่งบ้าน อาชีพนี้มันจึงผูกเราไว้ได้เพราะว่ามันเปิดโอกาสให้เราได้ทำในสิ่งที่เราชอบ เหมือนใครเขามาชวนให้ผมไปทำเฟอร์นิเจอร์ผมก็ไป หรือถ้ามีให้ใครสักคนมาให้ผมออกแบบแว่น ออกแบบรถ ออกแบบบ้าน ผมก็ไป

ผมอยู่กับเกร์ยฮาวด์ได้นานเพราะธุรกิจมันยังดำเนินไปอยู่ แล้วก็เราต่างฝ่ายต่างเอื้อกันอยู่ ผมเอาศิลปะไปเอื้อในงานแฟชั่น แล้วผมก็เอาแฟชั่นมาเอื้อใน งานศิลปะ และเมื่อมองย้อนกลับไปสมัยก่อน ผมก็นำแฟชั่นไปใช้ในงานศิลปะเหมือนกัน เพียงแต่ตอนนั้นมันอาจจะยังงงๆ ยังมะงุมมะงาหรากับตัวเอง ไม่รู้จะพัฒนาหรือดัดแปลงให้มันออกมาเป็นงานศิลปะที่ดีได้อย่างไร"

เขาหมายถึงงานศิลปะในช่วงแรกเริ่ม ส่วนความเป็นผู้นิยมในแฟชั่นของเขาฉายแววมาตั้งแต่เป็นนักเรียนโรงเรียนเทพศิรินทร์ ตีคู่มาพร้อมกับความรักในศิลปะ ที่นำพาชีวิตเขาสู่รั้วโรงเรียนช่างศิลป์, คณะจิตรกรรมฯ มหาวิทยาลัยศิลปากร และชีวิตการงานที่หนีไม่พ้นว่าต้องใช้ทั้งประสบการณ์เกี่ยวกับแฟชั่นและความรู้ในเรื่องศิลปะ ออกแบบเสื้อผ้าเพื่อดึงเงินในกระเป๋าบรรดาสาวกเกร์ยฮาวด์

"ผมว่าเด็กที่โตมา สนใจแฟชั่นกันทุกคนแหละ ไม่งั้นเสื้อผ้าแฟชั่นขายไม่ได้หรอก ผมเริ่มสนใจแฟชั่น เพราะว่าเราออกไปเที่ยวไง เฮ้ย...กูไม่มีอะไรแต่งเลย ที่บ้านยากจนไม่มีอะไรให้แต่ง(หัวเราะ) ตั้งแต่เรียนเทพศิรินทร์ จำได้ว่ามีเพื่อนอยู่คนนึงเป็นจิ๊กโก๋ ใส่คอนเวิร์สสีแดง ตอนนั้นผมจะไปซื้อใบสมัคร เขาโหนรถเมล์มา ผมยาว ใส่กางเกงขาบาน เสื้อตัวใหญ่ โห... แจ๋วว่ะ ดูจิ๊กโก๋ สะใจดี แล้วก็จะดูรุ่นพี่เป็นไอดอล อย่างเนี้ยนะที่มันเรียกว่าเท่ ใส่เรย์แบนด์นะ ผมแสกกลาง สุดยอด แต่พอโตแล้วทุกคนอาจจะแยกไปเป็นหมอมั่ง เป็นนักฟุตบอลมั่ง ส่วนผมก็ไปเรียนศิลปะ

ความสนใจในการแต่งตัว มันยังฝังอยู่ มันได้มาระบายออกที่ศิลปากรเหมือนกัน เพราะที่ผมยาว แต่งตัวเน่าได้ ลากแตะได้ ผมก็ทำอย่างนั้นอยู่พักหนึ่ง แต่พอวันนึงเกิดการตั้งคำถามว่า เฮ้ย.. ทำไมศิลปากรต้องใส่รองเท้าแตะด้วย ทำไมต้องไว้ผมยาวเน่าๆด้วย ทำตัวเป็นพวกนิยมแฟชั่นมั่งไม่ได้เหรอ ฉะนั้นกลุ่มผมก็จะเป็น กลุ่มที่ค่อนข้างสนใจกับการแต่งตัวเป็นพิเศษ นอกเหนือไปจากทำงานศิลปะแล้ว เรียนแล้ว และก็เที่ยวแล้ว (หัวเราะ)"

เพราะการงานที่ต้องหาเลี้ยงชีพ มีผลทำให้ช่วงเวลาหนึ่งจิตต์สิงห์ห่างหายไปจากการทำงานศิลปะนานพอสมควร จะมีก็แต่งานทำภาพประกอบให้แก่แมกกาซีนเล่มต่างๆ และงานฟรีแลนซ์ที่ต้องดึงทักษะในการวาดภาพออกมาใช้ จนเมื่อไม่กี่ปีมานี้เองที่เราได้มีโอกาสได้ชมงานศิลปะเขาทั้งในโอกาสแสดงเดี่ยว ร่วมแจมกับเพื่อนฝูง และในบทบาทของการเป็นคิวเรเตอร์ให้กับศิลปินรุ่นใหม่

"ช่วงเวลานั้น จะมีก็แต่เอาผลงานเก่าที่เคยได้รับรางวัลมาแสดง ทำผลงานใหม่ไม่มีเลย จนมาถึงช่วงฟองสบู่แตก เป็นช่วงชีวิตที่ศิลปะกลับเข้ามาอีกที ผมไม่ได้กะไว้ เหตุการณ์มันทำให้ผมเป็น คือในใจของทุกคนที่เรียนศิลปะ แล้วต้องทำงานประจำ ทุกคนพูดเสมอว่า อยากออกมาเขียนรูป แต่ที่ผมยังนั่งทำงานออฟฟิศอยู่ก็เพราะว่าขลาดที่จะใช้ชีวิตศิลปิน เพราะว่าเราไม่ได้มีครอบครัวที่สนับสนุนเงิน โดยที่ตัวเองเรียนจบมาแล้ว เป็นศิลปินโดยไม่ต้องทำงานแล้วก็ได้ มันมีคนที่เป็นศิลปินได้ด้วยวิธีนี้เยอะไง มันเหมือนเขามีอะไรซัปพอร์ตอยู่แล้ว ถึงตกเก้าอี้ก็ไม่เจ็บมาก ยังลุกขึ้นมาใหม่ได้ แต่ผมไม่มีฐานะทางบ้าน ก็เลยรู้สึกเป็นคนขลาดต่อการใช้ชีวิตศิลปิน ก็เลยต้องมีอาชีพยึดไว้"

ในช่วงภาวะฟองสบู่แตก หลายอาชีพต้องหาฐานที่มั่นให้ชีวิตใหม่ จิตต์สิงห์ยอมรับว่าตัวเขาเองก็ได้รับผลกระทบ แม้จะไม่ต้องบอกลาอาชีพแฟชั่นดีไซเนอร์ แต่ก็ถึงคราวงัดของเก่าออกมาขาย และทำงานหลายๆอย่างควบคู่กันไป

"ตอนนั้นในหลวงพระองค์ท่านทรงมีพระราชดำรัสอะไรสักอย่าง ทำให้ผมเริ่มคิดว่า ธุรกิจของตัวเองสิเป็นสิ่งที่จะอยู่ได้ แต่ผมไม่เคยคิดจะออกไปเปิดร้านเสื้อของตัวเองเลยนะ ทุกคนถามเสมอ แต่เป็นฝีมือในการวาดรูป ฝีมือมีอยู่ในมือ ใครเอาไปก็ไม่ได้ นอกจากความเสื่อมสมรรถภาพของร่างกายเท่านั้น ที่จะทำให้ฝีมือเราด้อยลงไปได้ เรามีตรงนี้อยู่นี่หว่า เราไม่ได้ใช้มันอย่างเต็มที่ เราใช้ฝีมือด้านหนึ่งสำหรับทำเสื้อ แต่เราก็ยังใช้ฝีมืออีกด้านหนึ่งทำงานศิลปะได้อีก"

ขั้นแรกเขานึกถึงการพัฒนางานภาพประกอบของตัวเองให้เป็นมากกว่าแค่งานภาพประกอบ เขาหยิบจับทดลองใช้วัสดุและเทคนิคที่หลากหลาย เพื่อสร้างมูลค่าและสร้างความแปลกใหม่ให้แก่ชิ้นงาน จนกระทั่งได้มีโอกาสแสดงผลงานในรูปแบบนิทรรศการต่อเนื่องมาเรื่อยๆ ทั้งที่ถูกเชื้อเชิญ และยินดีนำเสนอด้วยเอง ซึ่งถือเป็นการก้าวเท้าคืนสู่สังเวียนศิลป์ โดยที่มีคู่ชกเป็นความสนใจใคร่อยากเสี่ยงสร้างสิ่งแปลกใหม่มาท้าทายสายตาคนดู

แฟชั่นและเรื่องส่วนตัวยังเป็นหัวข้อที่เขาสนใจนำเสนอผ่านงานสร้างสรรค์ อาจจะใช้สื่อที่แตกต่างกันไป แต่หลายๆชิ้นก็สะท้อนให้เราเห็นถึงสัจธรรมที่คนเราจะต้องเลื่อนไหลไปตามสังคม และพยายามอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างมีความสุข

เหมือนเช่นตัวเขาที่ยามนี้ ยังขอใช้ชีวิตด้วยการเป็นเสมือนเป็ดที่ดีต่อไป เรียนรู้ที่จะทำในทุกเรื่องที่สนใจ และรักษาท่อน้ำเลี้ยงชีวิตไม่ให้หยุดไหล

"การเป็นเป็ดอาจจะรู้สึกว่าเอาดีไม่ได้สักด้าน แต่ผมจะมองในด้านดีของมัน ผมว่ามันยังสามารถที่จะทำดีได้ทุกอย่าง ถ้ามันเป็นเป็ดที่ขยันและเอาใจใส่ ถ้ามันหัดบินได้มากกว่านี้ ก็ยังดีกว่านกที่บินเก่งแต่ไม่บิน หรือนกที่บินเก่ง แต่ปีกหักเป็นนกอย่างเดียวก็แย่นะ ไปไหนไม่ได้เลย เพราะบินไม่ได้ ว่ายน้ำไม่ได้ เป็ดว่ายน้ำได้ อย่างน้อยมันมีตัวตายตัวแทน

ที่ผมยกตัวอย่างอย่างนี้ เพราะผมคิดว่าสังคมปัจจุบันอาจจะต้องกลายเป็นเป็ดที่เก่งก็ได้นะ มากกว่าการเป็นนกยูงที่สวยอย่างเดียว หรือนกอะไรก็แล้วแต่ที่บินได้อย่างเดียว สรุปแล้วก็เป็นไข้หวัดนก ประโยชน์มันคืออะไร กินก็ไม่ได้ แต่เป็ดสิ กินก็ได้ ว่ายน้ำก็ได้ ประโยชน์เยอะ อาจจะอยู่ในสังคมที่เปลี่ยนไปอย่างนี้ตลอดไปก็ได้ เปรียบเทียบเข้ากับชีวิตจริงก็คือว่า อย่างน้อยเกรย์ฮาวด์ก็ยังเป็นท่อน้ำเลี้ยงที่ส่งผลให้ผมสามารถหาเงิน มาใช้ชีวิตและเลี้ยงครอบครัว ทำงานศิลปะได้โดยไม่ต้องคิดถึงพาณิชยศิลป์ได้"

ยังขลาดกลัวกับการใช้ชีวิตศิลปิน แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่าห้องหัวใจยังมีศิลปะไว้ให้หันหน้าเข้าหาในเวลาที่เบื่อหน่ายในโลกด้านอื่น

"ยังรู้สึกอยู่ แต่รู้สึกน้อยลง เพราะมันปลงมากขึ้น แต่ผมก็ยังรู้สึกอยู่ ไม่งั้นผมก็คงไม่ทำงานที่เกรย์ฮาวด์ ออกมาเป็นศิลปินแล้วสิ มันยังขลาดกลัวต่อการใช้ชีวิตศิลปินโดยไม่มีเงินประจำอยู่ เพราะว่าครอบครัวเราก็ยังอยู่นี่ ลูกผมก็ยังต้องโต ไม่ใช่ว่าผมไม่มีครอบครัวนี่ งานศิลปะของผมก็ยังขายไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย แล้วก็เป็นเรื่องของความชอบด้วยแหละ ผมว่าหลายอย่างที่ผมทำมันถ่ายทอดถึงกัน บางทีคุณอาจคิดว่า ทำแฟชั่นแล้วจะมีความสุข ใช่มันมีความสุข แต่งานก็คืองาน มันต้องเจอปัญหาที่มันบั่นทอนใจเรา

เมื่อไหร่ เราเบื่อ เราเซ็ง เรารำคาญอะไรต่อมิอะไรทั้งหลายแหล่ ถ้ายังมีงานอีกภาคให้เราทำ มันช่วยเยียวยาได้เหมือนกัน เห็นได้ชัด เวลาผมวาดรูป ผมมีความสุขฉิบหายเลย มันเหมือนผมได้ทำสมาธิ มันทำให้อีกวันหนึ่งที่ผมกลับมาทำงานที่เกรย์ฮาวด์ มันทำให้ทุกอย่างผ่อนคลาย มีทัศนคติที่ดีต่องาน ผมว่ามันเอื้อกันออก เผลอๆ คนในยุคนี้ไปดูสิ มีใครทำงานอย่างเดียวมั่ง ศิลปินเองยังเปิดโรงเรียน ยังเป็นอาจารย์เลย ...ใครไม่เป็นเป็ดบ้างครับพี่"

หนุ่มใหญ่วัย 46 ปี ปิดฉากสนทนา พร้อมกับซ่อนแววตาขันๆ ไว้ภายใต้กระจกบอชแอนด์ลอมของแว่นตายี่ห้อเรย์แบนด์
กำลังโหลดความคิดเห็น