ขึ้นชื่อว่าขายไม่ว่าหน้าไหนหากโดนหญิงใดหยามน้ำหน้าถึงขั้นนี้ ถ้าไม่ฆ่าทิ้งเสียอย่างดีก็ตัดขาด
แต่มาตาฮาจิไม่ใช่ชายใจเด็ดปานนั้น จึงได้แต่สะท้านสะเทือน แผลใจที่ช้ำชอกอยู่แล้วก็ยิ่งเจ็บปวดรวดร้าวเป็นทวีคูณ กว่าจะเค้นเสียงแหบแห้งเอ่ยคำออกมาได้ก็เหลือแสน
“โอซือ เจ้าเกลียดข้าถึงเพียงนี้เลยรึ”
เจ้าหนุ่มกำพร้ารักฝืนยิ้มทั้งที่ตัวสั่นไหวด้วยอารมณ์หลากหลายที่พลุ่งพล่านขึ้นมา
“แต่ก็ดี เกลียดก็บอกว่าเกลียดจะได้รู้กัน แต่โอซือ ข้าก็จะบอกเจ้าตรง ๆ เหมือนกัน คือไม่ว่าเจ้าจะรักหรือเกลียดข้าปานใดก็ตาม ข้าก็จะทำให้เจ้าเป็นผู้หญิงของข้าตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป”
โอซือตกตะลึง ตากลมโตเบิกโพลง
“ตัวสั่นทำไม เมื่อกี้ยังทำปากดีอยู่เลย หรือว่าคิดได้แล้วจึงละพยศและยอมรับชะตากรรมแต่โดยดี”
“ใช่ ข้าเป็นลูกกำพร้าเติบโตมาในวัดเกิดมาไม่เคยเห็นหน้าทั้งพ่อและแม่ ใช้ชีวิตอยู่ตลอดมาอย่างไม่เคยกลัวตายอยู่แล้ว”
“พูดบ้า ๆ”
มาตาฮาจิทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ สาวน้อย แกล้งเอียงหน้าเข้าไปจนชิดใบหน้านาง
โอซือหันหนีไปทางหนึ่ง
“ใครจะฆ่าเจ้าได้ลงคอ ฆ่าทำไม เก็บเอาไว้อย่างนี้ สะใจกว่า”
ทันทีที่สิ้นคำขู่ มาตาฮาจิก็ตะปบมือข้างหนึ่งลงจับไหล่บอบบางของโอซือ อีกมือหนึ่งยึดข้อมือข้างซ้ายเอาไว้ด้วยกำลังแรง และยังไม่ทันที่โอซือจะหายตื่นตระหนก เจ้าหนุ่มพ่ายรักก็แยกเขี้ยวขย้ำกัดต้นแขนจนแทบจมเขี้ยวถ้าไม่มีผ้ากิโมโนขวางเอาไว้
โอซือกรีดร้องเสียงแหลมด้วยความตกใจและเจ็บปวด และดิ้นสุดแรงจนล้มลงไปสะบัดเนื้อสะบัดตัวเร่า ๆ อยู่กับพื้น แต่แทนที่จะหลุดพ้นออกมาคมเขี้ยวของชายใจร้ายยิ่งฝังลึกลงไปอีก จนเลือดนางไหลรินผ่านใต้แขนเสื้อกิโมโนลงมาจนถึงปลายนิ้วมือที่ถูกมัดเอาไว้แล้วหยดลงพื้น
โทสะโมหะครอบงำจิตใจมาตาฮาจิให้มืดดำจนไม่ได้นึกเวทนา ซ้ำร้ายกลับงาบงับแรงขึ้นอีกเหมือนจรเข้กำลังขบกัดเหยื่ออย่างมันเขี้ยว
จนกระทั่งเห็นใบหน้าของโอซือขาวซีดราวอาบแสงจันทร์ มาตาฮาจิจึงรู้สึกตัวหน้าตาตื่น รีบคลายเขี้ยว ปลดผ้าที่ผูกปากนางออก ใจวาบหวิวขณะตรวจดูลิ้นด้วยความกลัวว่านางจะกัดลิ้นตัวเองตายไปจริง ๆ
ลิ้นปกติดี แต่เหงื่อบาง ๆ ที่ซึมขึ้นมาบนหน้าผากนวลผ่องของนางราวไอละอองจับพื้นผิวกระจกเงานั่นสิ แสดงให้เห็นได้ชัดว่านางอันเป็นที่รักจะต้องตกใจและหวาดกลัวเพียงใด ที่ถูกตนคุกคามอย่างป่าเถื่อนราวสัตว์ป่า
มาตาฮาจิสำนึกผิด รำพันพลาง เขย่าตัวโอซือที่ยังเกาะกุมอยู่ในอ้อมแขนด้วยความห่วงกังวล
“โอซือ โอซือ ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ โธ่ ๆ”
โอซือดิ้นสุดแรงทันทีที่ฟื้นคืนสติ สะบัดตัวหลุดลงไปกลิ้งอยู่กับพื้นศาลเจ้าอีกครั้ง
“เจ็บ ข้าเจ็บเหลือเกิน โจทาโร โจทาโรช่วยข้าด้วย”
โอซือร้องครวญคราง และร้องหาเจ้าหนุ่มน้อยเสียงดังก้องไปในแนวป่า
“เจ็บมากใช่ไหม”
มาตาฮาจิหน้าซีดขาวไปอีกคน ถอนใจหนักหน่วงจนไหล่สะเทือน แต่ก็ยังปากดีทำวางอำนาจข่มขู่ต่อไป
“โอซือ เมื่อเจ็บแล้วเจ้าก็ต้องจำเอาไว้ให้ดี แม้เลือดจะหยุดไหลแต่รอยฟันของข้าจะเหลือเป็นแผลเป็นอยู่บนต้นแขนนิ่ม ๆ ของเจ้าตลอดไปกี่ปี ๆ ก็ไม่มีวันจางหาย คนฉลาดอย่างเจ้าคงจะรู้ว่าใครเห็นเขาจะคิดว่ายังไง เจ้ามูซาชิรู้เข้าจะคิดว่ายังไง
แม้ว่าเจ้าจะต้องตกเป็นของข้าแน่ ๆ อยู่แล้วก็ตาม แต่ข้าก็ต้องการฝากรอยแผลเป็นนี้ไว้เป็นตราประทับแสดงกรรมสิทธ์ในตัวเจ้า เจ้าอยากหนีก็หนีไปตามใจเจ้า แต่ไม่ต้องห่วงเลยว่าข้าจะโพนทะนาไปทั่วทุกหัวระแหงว่า ใครก็ตามที่บังอาจแตะต้องหญิงที่มีรอยฟันของข้าประทับอยู่ ข้าถือว่าใครคนนั้นเป็นศัตรูอาฆาต”
โอซือไม่ต่อปากต่อคำด้วย ได้ยินแต่เสียงร้องไห้ระงมอยู่ในความมืดมิด บนพื้นศาลเจ้าที่ฝุ่นละอองจับหนาเขลอะ
“หยุดร้องได้แล้ว เจ้าจะคร่ำครวญพีรี้พิไรให้มันได้อะไรขึ้นมาฮึ โอซือ เดี๋ยวข้ารำคาญหนักเข้าคงได้เจ็บตัวอีกแน่ หิวน้ำไหมล่ะจะไปเอามาให้”
ว่าแล้วก็ฉวยจอกดินเผาจากแท่นบูชา แต่พอจะออกไปนอกศาลเจ้ามาตาฮาจิก็เห็นใครคนหนึ่งยืนจ้องมองเข้ามาจากนอกรั้วระแนง
2
ใคร...
มาตาฮาจิตกใจ ไม่ทันจะส่งเสียงถามแค่ขยับตัวเงานั้นก็ลนลานวิ่งหนีไปจากตรงนั้นทันที
เจ้าหนุ่มกระโจนลงไปเปิดประตูรั้วระแนง พุ่งตัววิ่งไล่ตามไปสุดฝีเท้า และในจังหวะที่กวดทันก็โถมตัวเข้าใส่จนล้มไปด้วยกันแล้วพลิกตัวตรึงร่างชายแปลกหน้าคว่ำลงกับพื้น ก่นด่าหยาบคายและขู่ถามได้ความว่าเป็นชาวนาแถวนั้นที่บังเอิญจูงม้าบันทุกกระสอบข้าวสารมุ่งหน้าไปยังร้านขายส่งที่ชิโอจิริ
“ข้าไม่ได้จะมาทำร้ายท่าน พอดีเดินผ่านมาและได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้องดังมาจากทางนี้ ก็เลยเข้ามาดูเท่านั้นเอง”
ชาวนาหนุ่มลนลานรีบชี้แจงอ้าปากพะงาบ ๆ เหมือนหม้อต้มน้ำที่กำลังเดือด
มาตาฮาจิปกติเป็นคนชอบข่มคนที่ด้อยกว่าอยู่แล้ว เห็นเจ้าหนุ่มกลัวจนตัวสั่นเช่นนั้นก็ยิ่งวางท่าหยิ่งผยองไม่ผิดอะไรกับพวกพนักงานเจ้าหน้าที่
“เท่านั้นเองรึ แน่ใจนะ”
“จริงขอรับ เท่านั้นจริง ๆ “
“อย่างนั้นก็แล้วไป ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า แต่ต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยน”
“อะไรรึ”
“เจ้าต้องเอากระสอบข้าวลงจากหลังม้าให้หมด เอาผู้หญิงในศาลเจ้านั่นมามัดไว้แทนแล้วพาข้ากับนางไปจนถึงที่ที่ข้าต้องการ”
ยามข่มขู่คุกคามคนให้ฝืนใจทำตามคำสั่งด้วยความรักตัวกลัวตายเช่นนี้ ใครก็ตามย่อมไม่ลืมที่จะแสดงอำนาจด้วยอาวุธสังหาร ไม่เว้นแม้ชายขี้ขลาดอย่างมาตาฮาจิ ที่เอื้อมมือไปแตะด้ามดาบตั้งท่าข่มขวัญ
หนุ่มชาวนาไม่รอช้า รีบขนกระสอบข้าวลงจนหมดแล้วกระโจนขึ้นไปบนศาลเจ้าลากตัวโอซือลงมาผูกไว้กับหลังม้า มาตาฮาจิมองตามด้วยความพอใจ เก็บกิ่งไผ่ขนาดเหมาะมือขึ้นมาหวังใช้แทนแซ่เร่งฝีเท้าคนจูงม้าผู้ตกเป็นเชลย
“เจ้าตั้งใจฟังให้ดี แล้วอย่าขืนขัดคำสั่ง”
“ขอรับ”
“เจ้าต้องไม่ใช้ทางหลวงเด็ดขาด”
“ท่านจะให้ข้าพาไปไหนรึ”
“ข้าจะไปเอโดะ แต่เจ้าต้องใช้เส้นทางที่คนเดินผ่านไปมาน้อยสุด”
“เส้นทางอย่างที่ท่านว่ามีเสียที่ไหนล่ะขอรับ”
“ไม่มีได้ไง เจ้าก็หาทางดั้นด้นไปด้านหลังสิจะยากอะไร ขออย่างเดียวอย่าออกไปที่ทางหลวงนาคาเซ็นโดเป็นพอ เจ้าต้องหาทางเดินจากอินะไปออกที่โคชูให้ได้ เข้าใจไหม”
“แต่ท่านขอรับ ต้องเดินจากอุบางามิข้ามสันเขากมเบ ทางลำบากมากเลยนะ”
“ข้ามไปทางนั้นแหละไม่ต้องมาเรื่องมากกับข้า ขืนทำอิดออดเชื่องช้า เจ็บตัวแน่”
ว่าแล้วก็ฟาดกิ่งไผ่ในมือเควี้ยวคว้าวสำทับคำขู่
“ออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลย ข้ามีข้าวให้กินไม่ต้องห่วง”
“ก็ได้ แต่ข้าไปด้วยถึงอินะเท่านั้นนะ พอถึงแล้วปล่อยข้าไปได้ไหม”
ชาวนาหนุ่มวิงวอนเกือบจะร้องไห้ แต่มาตาฮาจิส่ายหน้า
“ไม่ได้ เจ้าต้องไปจนถึงจุดหมายปลายทางของข้า ระหว่างทางหากทำตุกติกข้าฟันขาดสองท่อน ไม่เชื่อก็ลองดู เจ้าน่าจะขอบใจข้าที่ไม่ฆ่าเจ้าทิ้งแต่เอามาด้วยเช่นนี้ให้เกะกะ ทั้งที่จริง ๆ แล้วข้าต้องการแต่ม้า”
ทางเดินระหว่างโขดหินบนภูเขาที่มืดมิดสูงชันขึ้นไปเรื่อย ๆ กว่าจะถึงสันเขาอุบางามิทั้งคนและม้าก็เหนื่อยกันแทบขาดใจ ล่างลงไปคือทะเลหมอกแสงอรุณรุ่งเรื่อเรืองขึ้นรำไร
โอซือฟุบนิ่งอยู่บนหลังม้าไม่พูดไม่จาแม้แต่คำเดียว แต่พอเห็นแสงอรุณรุ่งรำไรอยู่ในทะเลหมอกก็ใจชื้นขึ้น จนมีใจที่จะเอื้อนเอ่ยออกมาเบา ๆ
“มาตาฮาจิ ปล่อยเจ้าหนุ่มชาวนาไปเถิด คืนม้าไปด้วย ข้าไม่หนีไปไหนหรอก สงสารที่เจ้าหนุ่มต้องมาลำบากกับเรื่องที่ตนไม่เกี่ยวข้องด้วย”
มาตาฮาจิไม่ยอมฟัง ปักใจคิดระแวงอยู่ว่าจะเป็นอุบายของนางเพื่อหาทางหนี ฝ่ายโอซือก็ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ ต้องอ้อนวอนแล้ววอนอีกสามครั้งและสี่ครั้ง สุดท้ายเจ้าหนุ่มก็ต้องยอมแก้ปมเชือกและฉุดกระชากนางลงจากหลังม้าอย่างไม่ออมแรง พร้อมกับสั่งเสียงเกรี้ยวกราดวางอำนาจ
“ก็ได้ แต่เจ้าต้องตามข้ามาดี ๆ ไม่งั้นเจ็บตัวอีกแน่”
“ก็ต้องตามไปอยู่แล้วละ ข้าคงจะหนีเจ้าไปไหนไม่ได้จนกว่ารอยเขี้ยวงูพิษของเจ้าจะจางหายไป”
โอซือกัดฟันพลางกุมแผลที่ต้นแขนที่เจ็บแปลบขึ้นมาเอาไว้แน่น