นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1.
เปลวไฟคบเพลิงไหวไปตามแรงลมพัดชายเขา ยอดหญ้าลู่ตามเข้าจังหวะหวีดหวิว ชั่ววูบเดียวก็สงบนิ่งปล่อยให้ดวงดาวเท่านั้นที่กระพริบอยู่บนฟากฟ้าไกลโพ้น
“ท่านนักดาบ”
โนบุโนะอิเคะ หยุดยืนรอพร้อมกับชูคบไฟส่องทางให้มูซาชิที่เดินตามมาข้างหลัง
“สงสารท่านเหลือเกิน เวียนถามบ้านโน้นบ้านนี้มาจนหมดหมู่บ้านแล้ว ก็ไม่ผู้ใดรู้เห็น ระหว่างทางจากตรงนี้ไปที่บึงโนบุโนะอิเคะ มีบ้านชาวไร่ล่าสัตว์อยู่ที่เนินเขาหลังป่าอีกหลังเดียว ถ้าถามแล้วไม่รู้อีกคนก็เป็นอันว่าหมดหนทาง”
“ข้าซึ้งในน้ำใจท่านยิ่งนักที่ช่วยพามาค้นหา แต่เมื่อเดินไต่ถามมาถถึงสิบหลังคาเรือนแล้วไม่ได้เรื่องเช่นนี้ ทำให้แน่ใจว่าข้าคงตามมาผิดทาง”
“คงจะอย่างนั้น ไอ้พวกโจรใจทรามฉุดคร่าผู้หญิง ล้วนแต่ชั่วช้ามากเล่ห์กลมันมีทางของมัน ไม่หนีไปทางที่เราคิดจะติดตามหรอก”
ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว
กนโนะซุเกะกับมูซาชิซอกแซกเดินหากันแทบทั่วเชิงเขาโคมะ-งะ-ทาเกะ หมู่บ้านโนบุ หมู่บ้านฮิงูจิ รวมทั้งป่าและเนินเขารอบ ๆ
โอซือโฉมงามติดตาติดใจผู้คนที่พบเห็น ส่วนเจ้าโจทาโรแสนซนออกอย่างนั้น ถ้าผ่านมาทางนี้อย่างน้อยก็ย่อมมีคนเห็นบ้าง แต่ทุกคนที่ไปถามต่างส่ายหน้า
มูซาชิใจหายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน วิตกกังวลไม่รู้ว่าคนหนึ่งอันเป็นที่รักและอีกคนที่ห่วงใยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทั้งยังเกรงใจกนโนะซุเกะที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ต้องมาเป็นธุระเที่ยวเดินหาจนดึกดื่นทั้งที่พรุ่งนี้ก็จะต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานหนักที่ไร่นา
“ข้าต้องขอโทษที่ทำให้ท่านต้องพลอยลำบากไปด้วย แต่ก็ต้องรบกวนให้ช่วยถามอีกสักบ้าน ถ้าไม่ได้เรื่องก็คงต้องเลิกล้มความตั้งใจและกลับกันเสียที”
“ข้าไม่เป็นไรนะ ชินเสียแล้วค่ำมืดดึกดื่นยังไงก็เดินไปได้ทั่ว ว่าแต่แม่หญิงกับเด็กชายที่ท่านตามหาเป็นใครรึ บริวารหรือว่าพี่น้อง”
มูซาชิอ้ำอึ้งจะบอกว่าแม่หญิงคือคนรักและเด็กชายคือลูกศิษย์ก็พูดได้ไม่เต็มปาก
“คือ เป็นญาติกันน่ะท่าน”
กนโนะซุเกะเงียบไป ไม่รู้ว่านึกเศร้าขึ้นมาที่ตนไม่มีญาติมิตรให้คิดถึง และเดินดุ่มนำหน้าไปตามทางแคบ ๆ ที่ตัดผ่านดงไม้และเนินเตี้ย ๆ
ส่วนมูซาชิก็เงียบไป ความวิตกกังวลอัดอั้นอยู่เต็มอกก็จริง จะว่าโชคชะตาเล่นตลกให้คลาดกันไปพลาดกันมากับหญิงอันเป็นที่รักก็จริง แต่ครั้งนี้ต้องขอบใจโชตชะตาซึ่งแม้จะเล่นตลกให้พลัดกับโอซือ แต่ก็ช่วยชักพาให้ได้มาพบกับกนโนะซุเกะและมีโอกาสได้เห็นชั้นเชิงของกลยุทธไม้พลองอันสง่างามของนักสู้ผู้นี้
ตราบที่การพลัดพรากครั้งนี้จะไม่ทำให้โอซือถึงแก่ชีวิต ก็ต้องถือเสียว่าเป็นอุบัติภัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การพลาดโอกาสที่จะได้เห็นกลยุทธ์ไม้พลองของกนโนะซุเกะ คือโชคร้ายอย่างที่สุดในชีวิตนักสู้ของตน
มูซาชิคิดตั้งแต่ออกเดินมาด้วยกันแล้วว่าจะหาโอกาสพูดคุยถึงเถือกเถาเหล่ากอและกลยุทธ์ไม้พลองให้ลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้จังหวะเสียที
“บ้านหลังนี้แหละ ท่านคอยอยู่ตรงนี้ก่อน ”
กนโนะซุเกะชี้ไปที่เรือนหลังใหญ่หลังคามุงฟางอัดแน่นแล้วเดินบุกพงหญ้าคาเข้าไปเคาะประตู
2
ไม่นาน กนโนะซุเกะก็กลับมารายงานด้วยทีท่าว่าคว้าน้ำเหลว แต่มูซาชิฟังแล้วกลับหูผึ่งและใจหายวาบ
เจ้าหนุ่มนักพลองร่างกำยำเหมือนหมูป่าเล่าว่า
เรือนนี้มีนายพรานอาศัยอยู่กับนางเมียสองคน เมื่อตอนเย็นนางเมียเข้าไปจ่ายตลาดและระหว่างทางกลับบ้านได้พบกับเหตุการณ์ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคนที่ตนถามถึง แต่อาจเป็นเบาะแสบ้างจึงรับฟังมาถ่ายทอดให้ฟังอีกต่อหนึ่ง
พลบค่ำ ดวงดาวเริ่มกระพริบพราว ผู้คนสัญจรไปมาซาลงมากแล้วนาน ๆ จึงจะเดินสวนมาสักคน ทางเปลี่ยว เงียบสงัดมีแต่เสียงลมพัดผ่านทิวไม้ ขณะที่กำลังเร่งฝีเท้ามุ่งหน้ากลับเรือนอยู่นั้นเอง ก็มีหนุ่มน้อยนายหนึ่งหน้าตามือไม้เปื้อนโคลนมอมแมม คาดดาบไม้เล่มยาวเกินตัว วิ่งร้องไห้โฮ ๆ พลางพร่ำพรรณนาไม่ได้ศัพท์ผ่านไปเหมือนไม่รู้ทิศทาง ข้าจึงเรียกเอาไว้และไต่ถาม
แต่ไม่ได้ความอันใดได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นถามซ้ำซากอยู่อย่างเดียวว่า ที่ทำการของพนักงานเจ้าหน้าที่อยู่ทางไหน ข้าปลอบจนสงบนิ่งแล้วจึงถามว่า เจ้าจะไปหาพนักงานเจ้าหน้าที่ทำไม เกิดอะไรขึ้นรึ หนุ่มน้อยบอกว่าคนที่เดินทางมาด้วยกันถูกโจรป่าคร่าตัวไปจึงจะไปแจ้งทางการบ้านเมืองให้ช่วยไปชิงตัวคืนมา ข้าจึงตอบไปว่าเจ้ายังเป็นเด็กอ่อนโลก ไม่รู้หรอกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่มีหน้าที่รับรองบรรดาขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เวลาเดินทางผ่านมาจะต้องระดมผู้คนกวาดขี้ม้าขี้วัวจนาสะอาดตลอดทางถนน ไม่มีใครเหลียวมาแลหรือเงี่ยหูฟังความทุกข์ร้อนของผู้น้อยกระจอกงอกง่อยอย่างพวกเราหรอก อยู่กันได้ยังไงก็อยู่กันไป และอีกอย่างเรื่องอย่างสาวถูกชายกลัดมันฉุดไปกระทำชำเราข้างทางมันก็เกิดขึ้นได้ทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่ใช่เรื่องแปลก
แล้วข้าก็แนะนำเจ้าหนุ่มน้อยไปว่า ข้าเห็นใจเจ้านักแต่อย่าไปหวังพึ่งพาพนักงานเจ้าหน้าที่พวกนั้นเลย จงสงบจิตสงบใจเดินมุ่งหน้าไปทางเอโดะผ่านหมู่บ้านพักแรมยาบุฮาระไปจนถึงนาไร แล้วไปถามหาท่านไดโซแห่งนาไรเจ้าของร้านขายส่งยาสมุนไพรร้อยแปดที่สี่แยกกลางเมือง เจ้าจะได้พบท่านทันทีเพราะคนรู้จักกันทั้งเมือง พบแล้วก็เล่าความทุกข์ร้อนให้ท่านฟัง ข้าได้ยินมาว่าท่านไดโซผู้นี้ใจดีมีความยุติธรรมเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ใครยิ่งอ่อนแอท่านก็ยิ่งช่วย ต่างกันสุดขั้วกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
กนโนะซุเกะเล่าให้ฟังตามคำพูดของนางเมียนายพรานทุกถ้อยคำ
“นางเมียบอกว่าพอได้ยินดังนั้นเจ้าหนุ่มน้อยก็หยุดสะอึกสะอื้น และออกวิ่งตัวปลิวไปแวบเดียวก็ไม่เห็นหัว ข้ามาตรองดูและคิดว่าเจ้าหนุ่มน้อยคนนั้นน่าจะเป็นญาติของท่านที่เราตามหากันอยู่”
“ใช่แน่นอน”
มูซาชิวาดภาพโจทาโรได้ชัดเจน
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ตามมาผิดทางจริงอย่างที่คิด”
“ใช่ ตรงนี้คือเชิงเขาโคมะ-งะ-ทาเกะ ถ้าจะไปนาไรท่านต้องเลี้ยวไปทางโน้น”
“ข้าหลงทางมาทำให้ท่านต้องลำบากไปด้วยแท้ ๆ เห็นจะต้องรีบตามไปให้ทันกันที่ร้านของท่านไดโซที่นาไร ท่านมีบุญคุญแก่ข้ามากที่ช่วยแก้ปัญหาให้ ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรดี”
“เรื่องนั้นไม่ต้องพูดถึง และนี่ก็ดึกมากแล้ว เดินย้อนกลับไปก็ต้องผ่านบ้านข้าอยู่ดี ท่านน่าจะพักนอนเสียที่บ้านข้า พรุ่งนี้กินเข้าเช้าด้วยกันเสียก่อนค่อยไป”
“ข้าขอรับคำเชิญด้วยความยินดี”
“ยินดีเช่นกัน เราจะไปทางลัดคือข้ามบึงโนบุโนะอิเคะไปฟากโน้นที่ ซึ่งร่นระยะทางกลับถึงเรือนได้ครึ่งหนึ่ง ข้าขอยืมเรือของนายพรานเอาไว้แล้ว เราไปกันเถอะ”
ทั้งสองเดินลงเนินไปนิดเดียวก็ถึงบึงที่ไม่กว้างใหญ่นัก ล้อมรอบด้วยดงต้นหลิวที่ดูแปลกสำหรับภูมิประเทศแถบนี้ ผิวน้ำในบึงสะท้อนภาพทิวเขาโคมะ-งะ-ทาเกะ และดวงดาวพราวฟ้า
กนโนะซุเกะยื่นคบเพลิงให้มูซาชิถือเอาไว้ ส่วนตนทำหน้าที่ถ่อเรือแล่นเรียบไปบนผิวน้ำผ่านกลางบึงไปยังอีกฟากหนึ่ง
เปลวไฟจากคบสะท้อนลงบนผิวน้ำที่มืดดำทำให้ดูแดงจ้าขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
โอซือที่อย฿ห่างออกไปไม่ไกลนัก เห็นแสงจากเปลวไฟจากเรือลำน้อยที่เคลื่อนไปบนผิวน้ำในบึงลำนั้น
ใกล้กันแค่นี้แต่ต่างคนต่างไม่รู้
ดวงชะตาของมูซาชิกับโอซือจะต้องพรากกันเช่นนี้ตลอดไป หรือว่าสวรรค์จะแกล้งเป็นครั้งคราว
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1.
เปลวไฟคบเพลิงไหวไปตามแรงลมพัดชายเขา ยอดหญ้าลู่ตามเข้าจังหวะหวีดหวิว ชั่ววูบเดียวก็สงบนิ่งปล่อยให้ดวงดาวเท่านั้นที่กระพริบอยู่บนฟากฟ้าไกลโพ้น
“ท่านนักดาบ”
โนบุโนะอิเคะ หยุดยืนรอพร้อมกับชูคบไฟส่องทางให้มูซาชิที่เดินตามมาข้างหลัง
“สงสารท่านเหลือเกิน เวียนถามบ้านโน้นบ้านนี้มาจนหมดหมู่บ้านแล้ว ก็ไม่ผู้ใดรู้เห็น ระหว่างทางจากตรงนี้ไปที่บึงโนบุโนะอิเคะ มีบ้านชาวไร่ล่าสัตว์อยู่ที่เนินเขาหลังป่าอีกหลังเดียว ถ้าถามแล้วไม่รู้อีกคนก็เป็นอันว่าหมดหนทาง”
“ข้าซึ้งในน้ำใจท่านยิ่งนักที่ช่วยพามาค้นหา แต่เมื่อเดินไต่ถามมาถถึงสิบหลังคาเรือนแล้วไม่ได้เรื่องเช่นนี้ ทำให้แน่ใจว่าข้าคงตามมาผิดทาง”
“คงจะอย่างนั้น ไอ้พวกโจรใจทรามฉุดคร่าผู้หญิง ล้วนแต่ชั่วช้ามากเล่ห์กลมันมีทางของมัน ไม่หนีไปทางที่เราคิดจะติดตามหรอก”
ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว
กนโนะซุเกะกับมูซาชิซอกแซกเดินหากันแทบทั่วเชิงเขาโคมะ-งะ-ทาเกะ หมู่บ้านโนบุ หมู่บ้านฮิงูจิ รวมทั้งป่าและเนินเขารอบ ๆ
โอซือโฉมงามติดตาติดใจผู้คนที่พบเห็น ส่วนเจ้าโจทาโรแสนซนออกอย่างนั้น ถ้าผ่านมาทางนี้อย่างน้อยก็ย่อมมีคนเห็นบ้าง แต่ทุกคนที่ไปถามต่างส่ายหน้า
มูซาชิใจหายอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน วิตกกังวลไม่รู้ว่าคนหนึ่งอันเป็นที่รักและอีกคนที่ห่วงใยจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ทั้งยังเกรงใจกนโนะซุเกะที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วย ต้องมาเป็นธุระเที่ยวเดินหาจนดึกดื่นทั้งที่พรุ่งนี้ก็จะต้องตื่นแต่เช้าไปทำงานหนักที่ไร่นา
“ข้าต้องขอโทษที่ทำให้ท่านต้องพลอยลำบากไปด้วย แต่ก็ต้องรบกวนให้ช่วยถามอีกสักบ้าน ถ้าไม่ได้เรื่องก็คงต้องเลิกล้มความตั้งใจและกลับกันเสียที”
“ข้าไม่เป็นไรนะ ชินเสียแล้วค่ำมืดดึกดื่นยังไงก็เดินไปได้ทั่ว ว่าแต่แม่หญิงกับเด็กชายที่ท่านตามหาเป็นใครรึ บริวารหรือว่าพี่น้อง”
มูซาชิอ้ำอึ้งจะบอกว่าแม่หญิงคือคนรักและเด็กชายคือลูกศิษย์ก็พูดได้ไม่เต็มปาก
“คือ เป็นญาติกันน่ะท่าน”
กนโนะซุเกะเงียบไป ไม่รู้ว่านึกเศร้าขึ้นมาที่ตนไม่มีญาติมิตรให้คิดถึง และเดินดุ่มนำหน้าไปตามทางแคบ ๆ ที่ตัดผ่านดงไม้และเนินเตี้ย ๆ
ส่วนมูซาชิก็เงียบไป ความวิตกกังวลอัดอั้นอยู่เต็มอกก็จริง จะว่าโชคชะตาเล่นตลกให้คลาดกันไปพลาดกันมากับหญิงอันเป็นที่รักก็จริง แต่ครั้งนี้ต้องขอบใจโชตชะตาซึ่งแม้จะเล่นตลกให้พลัดกับโอซือ แต่ก็ช่วยชักพาให้ได้มาพบกับกนโนะซุเกะและมีโอกาสได้เห็นชั้นเชิงของกลยุทธไม้พลองอันสง่างามของนักสู้ผู้นี้
ตราบที่การพลัดพรากครั้งนี้จะไม่ทำให้โอซือถึงแก่ชีวิต ก็ต้องถือเสียว่าเป็นอุบัติภัยที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่การพลาดโอกาสที่จะได้เห็นกลยุทธ์ไม้พลองของกนโนะซุเกะ คือโชคร้ายอย่างที่สุดในชีวิตนักสู้ของตน
มูซาชิคิดตั้งแต่ออกเดินมาด้วยกันแล้วว่าจะหาโอกาสพูดคุยถึงเถือกเถาเหล่ากอและกลยุทธ์ไม้พลองให้ลึกซึ้ง แต่ก็ไม่ได้จังหวะเสียที
“บ้านหลังนี้แหละ ท่านคอยอยู่ตรงนี้ก่อน ”
กนโนะซุเกะชี้ไปที่เรือนหลังใหญ่หลังคามุงฟางอัดแน่นแล้วเดินบุกพงหญ้าคาเข้าไปเคาะประตู
2
ไม่นาน กนโนะซุเกะก็กลับมารายงานด้วยทีท่าว่าคว้าน้ำเหลว แต่มูซาชิฟังแล้วกลับหูผึ่งและใจหายวาบ
เจ้าหนุ่มนักพลองร่างกำยำเหมือนหมูป่าเล่าว่า
เรือนนี้มีนายพรานอาศัยอยู่กับนางเมียสองคน เมื่อตอนเย็นนางเมียเข้าไปจ่ายตลาดและระหว่างทางกลับบ้านได้พบกับเหตุการณ์ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคนที่ตนถามถึง แต่อาจเป็นเบาะแสบ้างจึงรับฟังมาถ่ายทอดให้ฟังอีกต่อหนึ่ง
พลบค่ำ ดวงดาวเริ่มกระพริบพราว ผู้คนสัญจรไปมาซาลงมากแล้วนาน ๆ จึงจะเดินสวนมาสักคน ทางเปลี่ยว เงียบสงัดมีแต่เสียงลมพัดผ่านทิวไม้ ขณะที่กำลังเร่งฝีเท้ามุ่งหน้ากลับเรือนอยู่นั้นเอง ก็มีหนุ่มน้อยนายหนึ่งหน้าตามือไม้เปื้อนโคลนมอมแมม คาดดาบไม้เล่มยาวเกินตัว วิ่งร้องไห้โฮ ๆ พลางพร่ำพรรณนาไม่ได้ศัพท์ผ่านไปเหมือนไม่รู้ทิศทาง ข้าจึงเรียกเอาไว้และไต่ถาม
แต่ไม่ได้ความอันใดได้แต่ร้องไห้สะอึกสะอื้นถามซ้ำซากอยู่อย่างเดียวว่า ที่ทำการของพนักงานเจ้าหน้าที่อยู่ทางไหน ข้าปลอบจนสงบนิ่งแล้วจึงถามว่า เจ้าจะไปหาพนักงานเจ้าหน้าที่ทำไม เกิดอะไรขึ้นรึ หนุ่มน้อยบอกว่าคนที่เดินทางมาด้วยกันถูกโจรป่าคร่าตัวไปจึงจะไปแจ้งทางการบ้านเมืองให้ช่วยไปชิงตัวคืนมา ข้าจึงตอบไปว่าเจ้ายังเป็นเด็กอ่อนโลก ไม่รู้หรอกว่าพนักงานเจ้าหน้าที่มีหน้าที่รับรองบรรดาขุนนางบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เวลาเดินทางผ่านมาจะต้องระดมผู้คนกวาดขี้ม้าขี้วัวจนาสะอาดตลอดทางถนน ไม่มีใครเหลียวมาแลหรือเงี่ยหูฟังความทุกข์ร้อนของผู้น้อยกระจอกงอกง่อยอย่างพวกเราหรอก อยู่กันได้ยังไงก็อยู่กันไป และอีกอย่างเรื่องอย่างสาวถูกชายกลัดมันฉุดไปกระทำชำเราข้างทางมันก็เกิดขึ้นได้ทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น ไม่ใช่เรื่องแปลก
แล้วข้าก็แนะนำเจ้าหนุ่มน้อยไปว่า ข้าเห็นใจเจ้านักแต่อย่าไปหวังพึ่งพาพนักงานเจ้าหน้าที่พวกนั้นเลย จงสงบจิตสงบใจเดินมุ่งหน้าไปทางเอโดะผ่านหมู่บ้านพักแรมยาบุฮาระไปจนถึงนาไร แล้วไปถามหาท่านไดโซแห่งนาไรเจ้าของร้านขายส่งยาสมุนไพรร้อยแปดที่สี่แยกกลางเมือง เจ้าจะได้พบท่านทันทีเพราะคนรู้จักกันทั้งเมือง พบแล้วก็เล่าความทุกข์ร้อนให้ท่านฟัง ข้าได้ยินมาว่าท่านไดโซผู้นี้ใจดีมีความยุติธรรมเป็นที่พึ่งของชาวบ้าน ใครยิ่งอ่อนแอท่านก็ยิ่งช่วย ต่างกันสุดขั้วกับเจ้าหน้าที่บ้านเมือง
กนโนะซุเกะเล่าให้ฟังตามคำพูดของนางเมียนายพรานทุกถ้อยคำ
“นางเมียบอกว่าพอได้ยินดังนั้นเจ้าหนุ่มน้อยก็หยุดสะอึกสะอื้น และออกวิ่งตัวปลิวไปแวบเดียวก็ไม่เห็นหัว ข้ามาตรองดูและคิดว่าเจ้าหนุ่มน้อยคนนั้นน่าจะเป็นญาติของท่านที่เราตามหากันอยู่”
“ใช่แน่นอน”
มูซาชิวาดภาพโจทาโรได้ชัดเจน
“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ตามมาผิดทางจริงอย่างที่คิด”
“ใช่ ตรงนี้คือเชิงเขาโคมะ-งะ-ทาเกะ ถ้าจะไปนาไรท่านต้องเลี้ยวไปทางโน้น”
“ข้าหลงทางมาทำให้ท่านต้องลำบากไปด้วยแท้ ๆ เห็นจะต้องรีบตามไปให้ทันกันที่ร้านของท่านไดโซที่นาไร ท่านมีบุญคุญแก่ข้ามากที่ช่วยแก้ปัญหาให้ ไม่รู้จะตอบแทนอย่างไรดี”
“เรื่องนั้นไม่ต้องพูดถึง และนี่ก็ดึกมากแล้ว เดินย้อนกลับไปก็ต้องผ่านบ้านข้าอยู่ดี ท่านน่าจะพักนอนเสียที่บ้านข้า พรุ่งนี้กินเข้าเช้าด้วยกันเสียก่อนค่อยไป”
“ข้าขอรับคำเชิญด้วยความยินดี”
“ยินดีเช่นกัน เราจะไปทางลัดคือข้ามบึงโนบุโนะอิเคะไปฟากโน้นที่ ซึ่งร่นระยะทางกลับถึงเรือนได้ครึ่งหนึ่ง ข้าขอยืมเรือของนายพรานเอาไว้แล้ว เราไปกันเถอะ”
ทั้งสองเดินลงเนินไปนิดเดียวก็ถึงบึงที่ไม่กว้างใหญ่นัก ล้อมรอบด้วยดงต้นหลิวที่ดูแปลกสำหรับภูมิประเทศแถบนี้ ผิวน้ำในบึงสะท้อนภาพทิวเขาโคมะ-งะ-ทาเกะ และดวงดาวพราวฟ้า
กนโนะซุเกะยื่นคบเพลิงให้มูซาชิถือเอาไว้ ส่วนตนทำหน้าที่ถ่อเรือแล่นเรียบไปบนผิวน้ำผ่านกลางบึงไปยังอีกฟากหนึ่ง
เปลวไฟจากคบสะท้อนลงบนผิวน้ำที่มืดดำทำให้ดูแดงจ้าขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
โอซือที่อย฿ห่างออกไปไม่ไกลนัก เห็นแสงจากเปลวไฟจากเรือลำน้อยที่เคลื่อนไปบนผิวน้ำในบึงลำนั้น
ใกล้กันแค่นี้แต่ต่างคนต่างไม่รู้
ดวงชะตาของมูซาชิกับโอซือจะต้องพรากกันเช่นนี้ตลอดไป หรือว่าสวรรค์จะแกล้งเป็นครั้งคราว