นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1.
ในพริบตาที่ถูกชายร่างกำยำรุกด้วยชั้นเชิงไม้พลองว่องไวราวจักรผัน มูซาชิไหวตัวได้อย่างเดียวคือถอยฉากออกมาตั้งรับพร้อมคำรามกังวานอยู่ในลำคอราวราชสีห์ข่มขวัญศัตรูเอาไว้ก่อน
“อย่ามาบังอาจ ถ้าไม่อยากเสียใจภายหลัง”
ฝ่ายรุกด้วยเชิงไม้พลองท่วงท่าประหลาดล้ำคำรามตอบ
“หนอยแน่ะ มีดีมาจากไหน ไม่รู้รึว่าใครเป็นใคร”
แล้วควงไม้พลองรุกประชิดเข้าไปอีก มูซาชิถอยฉากออกไปราวห้าเก้าสิบก้าวเจ้าก็โผน
มือของมูซาชิแตะด้ามดาบแล้วแต่ก็ไม่ได้จังหวะที่จะชักถึงสองครั้งเพราะเล็งเห็นอันตราย คือหากช้ากว่าไม้พลองไหล่คงโดนหนักแน่ เจ้าหนุ่มกะความเร็วของไม้พลองที่ฟาดตัดอากาศเควี้ยวคว้าวฟันลงมาแล้วคิดว่าไม่สมควรเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
มูซาชิยังไม่ชักดาบ ย่างเยื้องด้วยพลังขาที่เหยียดหยัดกับพื้นดินย่างมั่นคง ตาดำคมวาวจับจ้องประเมินฝีมือการต่อสู้ของอีกฝ่ายไม่ให้คลาดสายตาไปได้ พร้อมกับควบคุมจิตใจให้สงบเพราะหากลุกรนผิดจังหวะไปแม้อึดใจเดียวเป็นจบ
เจ้าหนุ่มบ้านนอกคนนี้คือใครกันแน่
ลวดลายไม้พลองทั้งเชิงรับเชิงรุกบ่งบอกว่ามือดีมีวิชา กล้ามเนื้อทุกมัดระริกไปทั้งตัวไม่ว่าจะที่แขนขาหรือ อกเอว ศีรษะและลำคอเชิดตรง ดวงตาก็เป็นประกายสุกใสเฉียบคม มูซาชิก็พบนักรบมามากแต่น้อยคนนักจะมีคุณลักษณะแทบจะครบถ้วนตามตำราวิทยายุทธ ซึ่งแม้แต่ความเป็นนักดาบของตนก็ยังมีรัศมีไม่เทียมเท่าเจ้าหนุ่มบ้านนอกที่คลุกดินโคลนมอมแมมมาทั้งตัวคนนี้
สาธยายยืดยาวราวกับว่ามูซาชิกับคู่อริจับจ้องดูเชิงกันอยู่นาน แต่จริง ๆ แล้วเจ้าหนุ่มที่เลือดกำลังร้อนทั้งสองเคลื่อนไหวทุกวินาที
ไม้พลองยาวของกนโนะซุเกะเจ้าหมูป่าสำแดงอิทธิฤทธิ์แหวกอากาศเควี้ยวคว้าวไม่หยุดแม้พริบตาเดียว ระคนเสียงร้องเรียกพลังระคนคำก่นด่าหยาบคายในจังหวะเปลี่ยนท่ารุก ถีบตัวด้วยส้นเท้ากระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้บ้าง ขยับไม้พลองให้เข้ามุมฟาดฟันที่เหมาะเจาะ
แม่ไม้เพลงพลองของกนโนะซุเกะไม่ได้มีแค่ฟาดลงไปท่าเดียว แต่มีทั้งฟันตวัดตัดขึ้นเหมือนง้าว ควงและพุ่งแทงเหมือนหอก เดี๋ยวก็ใช้มือเดียว เดี๋ยวก็ใช้สองมือ รวดเร็วราวจักรผัน ลานตาไปหมดมองตามไม่ทัน
ไม้พลองไม่มีด้ามไม่มีปลายมีดเหมือนดาบ จะจับด้านไหนฟันแทงด้านไหนก็ได้ จะจับให้ยาวให้สั้นเหมือนพ่อค้าลูกกวาดยืดแท่งน้ำตาลเคี่ยวก็ได้ และเมื่ออยู่ในมือนักพลองที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นเลิศเช่นกนโนะซุเกะ ไม้พลองจึงผาดโผนโดยอิสระ
“กน ระวังหน่อย ศัตรูของเจ้าไม่ธรรมดา”
แม่เฒ่าชะโงกหน้าต่างร้องตะโกนเตือนลูกชาย นางเฝ้าจับจ้องหน่วยก้านของมูซาชิและประเมินฝีมือเจ้าหนุ่มร่างใหญ่หน้าตาคมคาย คู่ต่อสู้ของลูกชายมาตั้งแต่ต้น
“ไม่ต้องกลัวแม่ เชื่อมือข้า”
ยิ่งรู้ว่าแม่เฝ้าดูให้กำลังใจกนโนะซุเกะก็ยิ่งคึก ในจังหวะที่เจ้าหนุ่มแค่ได้ยินเสียงแม่ ไม่ได้เผลอตัว หรือแม้แต่กระพริบตานั้นเอง ร่างกำยำของมูซาชิก็โถมเข้าใส่พร้อมกับคำรามเรียกพลัง คว้าข้อมือคู่ต่อสู้เหวี่ยงร่างหมูป่าลงไปกับพื้นดินเสียงดังสนั่นราวหินถล่ม กนโนะซุเกะนอนหงายเท้าชี้ฟ้าสิ้นท่าอยู่ตรงนั้น
มูซาชิถลาตามไป แต่ก็ต้องชะงักและหันขวับไปทางตัวเรือน
“ช้าก่อน เจ้านักดาบพเนจร”
เสียงแหลมสูงของแม่เฒ่าที่ก้องกังวานผ่านลูกกรงหน้าต่างออกมา ไม่ใช่น้ำเสียงของแม่ที่ตื่นตระหนกเมื่อเห็นลูกชายตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต แต่มีพลังอย่างประหลาดทำให้มูซาชิถึงกับตั้งท่ารับมือโดยไม่รู้ตัว
2
ผมสีดอกเลาของแม่เฒ่าคล้ายกับจะตั้งชันไปทั้งหัว ก็ไม่แปลกอะไรสำหรับแม่ที่เห็นลูกชายกำลังถูกคุกคามคร่าชีวิต และยิ่งเป็นนางผู้เชื่อมือกนโนะซุเกะลูกชายว่าไม่เป็นรองใครเช่นนี้ ย่อมไม่คาดฝันว่าลูกชายจะถูกเหวี่ยงลงไปสิ้นสภาพอยู่บนพื้นดินหน้าเรือนของตนเอง และแน่ใจว่าเจ้านักดาบพเนจรที่ถลาตามไป จะต้องชักดาบออกมาเผด็จศึก จึงได้แผดเสียงร้องห้ามเอาไว้
แต่เจ้านักดาบพเนจรไม่ได้ทำท่าอย่างที่นางคิดแม้จะเอื้อมมือไปที่ด้ามดาบ
“รอก็ได้”
มูซาชิหันกลับไปทางหน้าต่างและร้องตอบ ทั้งที่นั่งคร่อมอยู่บนอกและเหยียบข้อมือขวากนโนะซุเกะไว้มั่น แล้วก็ต้องอุทานออกมา เมื่อไม่เห็นหน้าแม่เฒ่าอยู่ตรงนั้น
“เอ๊ะ”
กนโนะซุเกะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เจ้าหมูป่าสะบัดตัวดิ้นรนให้หลุดจากกรงเล็บของมูซาชิไม่หยุด ถีบขาทั้งคู่ที่ไม่ถูกยึดตรึงพยายามยันกับพื้นดินเพื่อเด้งตัวขึ้นมาสู้ต่อแต่ก็ไม่สำเร็จ
แม่เฒ่าหายไปจากหน้าต่างเรือนเพียงแวบเดียวเท่านั้นเอง เจ้าหนุ่มก็เห็นนางวิ่งจากประตูด้านครัวปราดเข้ามาตรงที่ลูกชายถูกศัตรูตรึงเอาไว้กับพื้นดิน
“กน ทำไมเป็นยังงี้ไปได้ล่ะ ข้ามาช่วยแล้ว เราต้องไม่แพ้”
มูซาชิอดฉงนไม่ได้เพราะนึกว่าที่นางร้องขอให้รอนั้นก็เพื่อจะมาขอชีวิตลูกชายตน และพอมาถึงก็ต้องคุกเข่าลงก้มศีรษะจนหน้าผากจรดพื้นของให้ตนไว้ชีวิตกนโนะซุเกะ แต่ไม่ใช่เลย...นางกลับให้กำลังใจลูกชายที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่ขึงอยู่ระหว่างหุบเหว ให้ลุกขึ้นสู้ด้วยกัน
แม่เฒ่าติดอาวุธมาพร้อม ที่เอวมีดาบสั้น และถือทวนด้ามยาวซ่อนไว้ข้างหลังแต่ก็ยังเห็นใบมีดคมกริบที่ถอดจากฝักเตรียมสู้สะท้อนแสงดวงดาววาววับ นางจ้องมองมาที่มูซาชิด้วยสายตาคมกริบราวกับจะบาดเฉือนพร้อมกับวาจา ให้ได้แผลประเดิมคมง้าว
“เจ้านักดาบพเนจรกระยาจกสกปรกโสโครก เก่งแต่เล่นทีเผลอ คิดว่าเราสองแม่ลูกเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่มีพิษสง เป็นชาวไร่ชาวนาไม่รู้ประสีประสางั้นรึ”
ว่าแล้วก็ผลักหลังเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ด้วยแรงเกินหญิงชรา มูซาชิไม่ถนัดกับการถูกโจมตีจากข้างหลังอยู่แล้ว ยิ่ง
ครั้งนี้ซึ่งต้องระวังถึงสองฝักสองฝ่าย ไม่อาจละมือจากเชลยหันไปรับมือได้ก็ยิ่งลำบาก ส่วนกนโนะซุเกะพอเห็นแม่พกอาวุธครบมือมาช่วยก็ยิ่งมีแรงมีกำลังใจฮึดสู้ ไถลตัวไปกับพื้นดินจนเสื้อแทบจะขาดและหลักแทบถลอก หมายจะหันไปในทิศทางที่แม่ตนจะได้เปรียบ
“อะไรกันแม่ เจ้าหมอนี่มันก็ทำได้แค่นี้แหละ ไม่ต้องเอะอะไป”
กนโนะซุเกะร้องบอก
“อย่าห่วง แล้วก็ไม่ต้องเข้ามา ข้าจัดการเอง คอยดูละกัน”
“ใจเย็น ๆ ไม่ต้องผลีผลาม”
แม่เฒ่าเตือนลูกชาย
“มันก็แค่นักดาบพเนจรไร้ฝีมือ ดีแต่จ้องเล่นงานทีเผลอ จริง ๆ แล้วลูกหลานนักรบอย่างเจ้าไม่ควรลดตัวลงไปต่อกรกับมันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ อย่าลืมว่าเราสืบเชื้อสายมาจากท่านคาคุเมียวผู้ยิ่งใหญ่ที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับผู้ครองแคว้นคิโซะ นักรบผู้มีชื่อเสียงระบือไปทั่วแว่นแคว้น”
“ข้าไม่มีวันลืม”
กนโนะซุเกะตะโกนบอกยังไม่ทันขาดคำ เจ้าหมูป่าก็ผงกหัวขึ้นแยกเคี้ยวกัดต้นขาของมูซาชิที่เปลือยอยู่ตรงหน้าพอดี พร้อมกันนั้นก็ถือโอกาสที่มูซาชิตกใจและเจ็บแผลที่ถูกกัด ใช้มือทั้งคู่ที่เป็นอิสระอยู่ผลักเจ้าหนุ่มผู้พิชิตตนเต็มแรง ไม่ทิ้งช่องให้มูซาชิใช้กลยุทธ์ตอบโต้ได้สักอย่างเดียว พร้อมกันนั้นเงาของแม่เฒ่าถือง้าวคมวาววับก็ย่างก้าวเข้ามา เงื้อง่าตั้งท่าฟาดฟันกลางหลัง
“ช้าก่อน แม่เฒ่า”
มูซาชิตัดสินใจร้องออกมาห้ามออกมาทันใด เมื่อเห็นว่าข้อพิพาทรุนแรงถึงขั้นที่ไม่มีทางยุติลงได้จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
เจ้าหนุ่มเห็นว่าไม่ควรมีคนตาย ณ จุดที่ทุกอย่างยังเป็นเพียงข้อสงสัย ไม่รู้ชัดว่ากนโนะซุเกะลักพาตัวโอซือกับ โจทาโรมาจริงหรือไม่ ทางที่ดีควรสงบศึกและสงบอารมณ์เจรจากันให้รู้เรื่องก่อนจะดีกว่า คิดได้ดังนั้นจึงร้องบอกให้แม่เฒ่าเอาง้าวที่จ่อหลังตนอยู่ออกไปให้พ้น
คนอย่างแม่เฒ่าหรือจะทำตามแต่โดยดี นางมองลงไปหารือกับลูกชายที่ยังตกเป็นเบี้ยล่างของคู่อริอยู่ว่า จะให้ทำยังไง
3
สองแม่ลูกกับมูซาชิเดินเจรจาปรับความเข้าใจกันมา และขึ้นเรือนเมื่อท่อนไม้สนที่ใช้เป็นฟืนติดไฟลุกโชนอยู่ในเตาผิงทำความอบอุ่นไปทั่วห้อง และน่าจะลงเอยกันได้ด้วยดี
“เกือบได้เลือดกันแล้วไหมล่ะ ไอ้เราก็เข้าใจผิดเขาก็ยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่”
แม่เฒ่าถอนใจยาวด้วยความโล่งใจพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งพับขาที่ข้างเตาผิง และพอลูกชายจะนั่งตามนางก็ยึดเอาไว้และบอกว่า
“กนโนะซุเกะ ยืนอยู่ก็ดีแล้ว เจ้าพาพ่อหนุ่มนักดาบคนนั้นไปดูรอบ ๆ บ้านดีกว่าไหม จะได้เห็นกับตาว่าเราไม่ได้ซ่อนผู้หญิงกับเด็กที่เขาตามหาเอาไว้จริง ๆ “
“ดีเหมือนกัน ท่านซามูไรตามข้ามาดูให้ถ้วนทั่วทุกซอกทุกมุม ข้าไม่อยากให้ชาวบ้านมาซุบซิบกันว่าข้าเป็นพวกโจรลักพาคนไปเรียกค่าไถ่”
มูซาชิถอดรองเท้าฟางขึ้นเรือนมานั่งเรียบร้อยอยู่ข้างเตาผิงตามคำเชื้อเชิญเรียบร้อยแล้ว พอได้ยินสองแม่ลูกคุยกันก็ขอโทษ
“ไม่ต้องหรอก ข้ารู้แล้วว่าท่านบริสุทธิ์ และต้องขออภัยที่ตั้งข้อสงสัยท่านด้วยความเข้าใจผิด”
กนโนะซุเกะทำหน้ามุ่ย
“ข้าก็ต้องขอโทษ ที่หุนหันพลันแล่น ไม่ทันถามไถ่ให้ได้ความ ก็โกรธเกรี้ยวคว้าพลองกระโจนเข้าใส่ราวกับท่านเป็นหัวขโมย”
ว่าแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิลงตรงนั้น
มูซาชิยังมีเรื่องต้องถามอีกมาก อยากแรกก็คือทำไมแม่วัวลายจุดที่ตนเช่าให้โอซือซึ่งเพิ่งหายป่วยขี่ระหว่างทางจากภูเขาเอซัน และให้โจทาโรเป็นคนจูง จึงถูกผูกอยู่หลังบ้านนี้ และเมื่อถามก็ได้คำตอบว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็ย่อมสงสัยข้าเป็นธรรมดา เราเป็นชาวนามีนาผืนเล็ก ๆ อยู่แถวนี้ เมื่อเย็นวานระหว่างกลับจากทอดแหที่บึงโนบุโนะอิเคะ ข้าพบแม่วัวตัวหนึ่งจมปลักอยู่ในหนองน้ำลึก ยิ่งตะเกียกตะกายก็ยิ่งจมและร้องโอดโอยเป็นที่น่าเวทนา ข้าจึงไปช่วยฉุดดึงขึ้นมาและพบว่าเป็นแม่วัวสาวนมกำลังคัด จูงไปถามคนในละแวกบ้านก็ไม่มีใครเจ้าของ จึงคิดเอาเองว่าคงเป็นแม่วัวที่มีคนขโมยมาทิ้งเอาไว้ เลยคิดว่าจะเอาไว้ช่วยงานในนา เพราะวัวตัวหนึ่งทำงานเท่ากับไม่เอาไหนครึ่งคน แล้วแม่ยังจะได้นมวัวดื่มบำรุงร่างกายด้วย คิดว่าสวรรค์ประทานด้วยความเวทนาข้ากับแม่ยากจนแทบไม่มีกิน ก็เลยจูงกลับเรือน"
กนโนะซุเกะหัวเราะเขิน ๆ ก่อนบอกว่า
“เมื่อท่านเป็นเจ้าของตัวจริง ก็เอาคืนไปเถิด เมื่อไหร่ก็ได้ แต่คนที่ชื่โอซือกับโจทาโรนั่น ข้าไม่รู้เลยจริง ๆ
เท่าที่ฟังการพูดจา เจ้าหนุ่มร่างกำยำเหมือนหมูป่าคนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นหนุ่มที่เกิดและเติบโตในชนบทคนหนึ่ง จะรักเกลียดอะไรก็ตรงไปตรงมา และก็ไม่แปลกที่จะเข้าใจผิดและจู่โจมมูซาชิด้วยความโกรธเกรี้ยว
“อย่างนี้ ท่านต้องเป็นห่วงเพื่อนร่วมทางมากทีเดียวนะเจ้า”
แม่เฒ่าพูดกับลูกชาย แสดงความเอื้ออาทรตามประสาผู้ใหญ่
“รีบกินข้าวเย็น แล้วพาพ่อหนุ่มไปตามพาเพื่อนเดินทางทีเถิด ค่ำมืดดึกดื่นไม่รู้ว่าจะไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหน ถ้าหลงทางไปไม่ไกล อยู่แถว ๆ บึงโนบุโนะอิเคะก็ดีไป แต่ถ้าหลงเข้าไปในป่าทึบเชิงเขาโคมะ-งะ-ทาเกะ ละก็แย่เลย แถบนั้นเป็นแดนอันตรายสำหรับคนต่างถิ่น โจรผู้ร้ายชุกชุม สุ่มตัวอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้คอยปล้นสะดมไม่เลือก เงินทอง ทรัพย์สลิงคารไม่ต้องพูดถึง ม้าลาไปจนถึงผักผลไม้มันก็เอา”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1.
ในพริบตาที่ถูกชายร่างกำยำรุกด้วยชั้นเชิงไม้พลองว่องไวราวจักรผัน มูซาชิไหวตัวได้อย่างเดียวคือถอยฉากออกมาตั้งรับพร้อมคำรามกังวานอยู่ในลำคอราวราชสีห์ข่มขวัญศัตรูเอาไว้ก่อน
“อย่ามาบังอาจ ถ้าไม่อยากเสียใจภายหลัง”
ฝ่ายรุกด้วยเชิงไม้พลองท่วงท่าประหลาดล้ำคำรามตอบ
“หนอยแน่ะ มีดีมาจากไหน ไม่รู้รึว่าใครเป็นใคร”
แล้วควงไม้พลองรุกประชิดเข้าไปอีก มูซาชิถอยฉากออกไปราวห้าเก้าสิบก้าวเจ้าก็โผน
มือของมูซาชิแตะด้ามดาบแล้วแต่ก็ไม่ได้จังหวะที่จะชักถึงสองครั้งเพราะเล็งเห็นอันตราย คือหากช้ากว่าไม้พลองไหล่คงโดนหนักแน่ เจ้าหนุ่มกะความเร็วของไม้พลองที่ฟาดตัดอากาศเควี้ยวคว้าวฟันลงมาแล้วคิดว่าไม่สมควรเสี่ยงเป็นอย่างยิ่ง
มูซาชิยังไม่ชักดาบ ย่างเยื้องด้วยพลังขาที่เหยียดหยัดกับพื้นดินย่างมั่นคง ตาดำคมวาวจับจ้องประเมินฝีมือการต่อสู้ของอีกฝ่ายไม่ให้คลาดสายตาไปได้ พร้อมกับควบคุมจิตใจให้สงบเพราะหากลุกรนผิดจังหวะไปแม้อึดใจเดียวเป็นจบ
เจ้าหนุ่มบ้านนอกคนนี้คือใครกันแน่
ลวดลายไม้พลองทั้งเชิงรับเชิงรุกบ่งบอกว่ามือดีมีวิชา กล้ามเนื้อทุกมัดระริกไปทั้งตัวไม่ว่าจะที่แขนขาหรือ อกเอว ศีรษะและลำคอเชิดตรง ดวงตาก็เป็นประกายสุกใสเฉียบคม มูซาชิก็พบนักรบมามากแต่น้อยคนนักจะมีคุณลักษณะแทบจะครบถ้วนตามตำราวิทยายุทธ ซึ่งแม้แต่ความเป็นนักดาบของตนก็ยังมีรัศมีไม่เทียมเท่าเจ้าหนุ่มบ้านนอกที่คลุกดินโคลนมอมแมมมาทั้งตัวคนนี้
สาธยายยืดยาวราวกับว่ามูซาชิกับคู่อริจับจ้องดูเชิงกันอยู่นาน แต่จริง ๆ แล้วเจ้าหนุ่มที่เลือดกำลังร้อนทั้งสองเคลื่อนไหวทุกวินาที
ไม้พลองยาวของกนโนะซุเกะเจ้าหมูป่าสำแดงอิทธิฤทธิ์แหวกอากาศเควี้ยวคว้าวไม่หยุดแม้พริบตาเดียว ระคนเสียงร้องเรียกพลังระคนคำก่นด่าหยาบคายในจังหวะเปลี่ยนท่ารุก ถีบตัวด้วยส้นเท้ากระโจนเข้าใส่คู่ต่อสู้บ้าง ขยับไม้พลองให้เข้ามุมฟาดฟันที่เหมาะเจาะ
แม่ไม้เพลงพลองของกนโนะซุเกะไม่ได้มีแค่ฟาดลงไปท่าเดียว แต่มีทั้งฟันตวัดตัดขึ้นเหมือนง้าว ควงและพุ่งแทงเหมือนหอก เดี๋ยวก็ใช้มือเดียว เดี๋ยวก็ใช้สองมือ รวดเร็วราวจักรผัน ลานตาไปหมดมองตามไม่ทัน
ไม้พลองไม่มีด้ามไม่มีปลายมีดเหมือนดาบ จะจับด้านไหนฟันแทงด้านไหนก็ได้ จะจับให้ยาวให้สั้นเหมือนพ่อค้าลูกกวาดยืดแท่งน้ำตาลเคี่ยวก็ได้ และเมื่ออยู่ในมือนักพลองที่ผ่านการฝึกฝนมาเป็นเลิศเช่นกนโนะซุเกะ ไม้พลองจึงผาดโผนโดยอิสระ
“กน ระวังหน่อย ศัตรูของเจ้าไม่ธรรมดา”
แม่เฒ่าชะโงกหน้าต่างร้องตะโกนเตือนลูกชาย นางเฝ้าจับจ้องหน่วยก้านของมูซาชิและประเมินฝีมือเจ้าหนุ่มร่างใหญ่หน้าตาคมคาย คู่ต่อสู้ของลูกชายมาตั้งแต่ต้น
“ไม่ต้องกลัวแม่ เชื่อมือข้า”
ยิ่งรู้ว่าแม่เฝ้าดูให้กำลังใจกนโนะซุเกะก็ยิ่งคึก ในจังหวะที่เจ้าหนุ่มแค่ได้ยินเสียงแม่ ไม่ได้เผลอตัว หรือแม้แต่กระพริบตานั้นเอง ร่างกำยำของมูซาชิก็โถมเข้าใส่พร้อมกับคำรามเรียกพลัง คว้าข้อมือคู่ต่อสู้เหวี่ยงร่างหมูป่าลงไปกับพื้นดินเสียงดังสนั่นราวหินถล่ม กนโนะซุเกะนอนหงายเท้าชี้ฟ้าสิ้นท่าอยู่ตรงนั้น
มูซาชิถลาตามไป แต่ก็ต้องชะงักและหันขวับไปทางตัวเรือน
“ช้าก่อน เจ้านักดาบพเนจร”
เสียงแหลมสูงของแม่เฒ่าที่ก้องกังวานผ่านลูกกรงหน้าต่างออกมา ไม่ใช่น้ำเสียงของแม่ที่ตื่นตระหนกเมื่อเห็นลูกชายตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต แต่มีพลังอย่างประหลาดทำให้มูซาชิถึงกับตั้งท่ารับมือโดยไม่รู้ตัว
2
ผมสีดอกเลาของแม่เฒ่าคล้ายกับจะตั้งชันไปทั้งหัว ก็ไม่แปลกอะไรสำหรับแม่ที่เห็นลูกชายกำลังถูกคุกคามคร่าชีวิต และยิ่งเป็นนางผู้เชื่อมือกนโนะซุเกะลูกชายว่าไม่เป็นรองใครเช่นนี้ ย่อมไม่คาดฝันว่าลูกชายจะถูกเหวี่ยงลงไปสิ้นสภาพอยู่บนพื้นดินหน้าเรือนของตนเอง และแน่ใจว่าเจ้านักดาบพเนจรที่ถลาตามไป จะต้องชักดาบออกมาเผด็จศึก จึงได้แผดเสียงร้องห้ามเอาไว้
แต่เจ้านักดาบพเนจรไม่ได้ทำท่าอย่างที่นางคิดแม้จะเอื้อมมือไปที่ด้ามดาบ
“รอก็ได้”
มูซาชิหันกลับไปทางหน้าต่างและร้องตอบ ทั้งที่นั่งคร่อมอยู่บนอกและเหยียบข้อมือขวากนโนะซุเกะไว้มั่น แล้วก็ต้องอุทานออกมา เมื่อไม่เห็นหน้าแม่เฒ่าอยู่ตรงนั้น
“เอ๊ะ”
กนโนะซุเกะไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เจ้าหมูป่าสะบัดตัวดิ้นรนให้หลุดจากกรงเล็บของมูซาชิไม่หยุด ถีบขาทั้งคู่ที่ไม่ถูกยึดตรึงพยายามยันกับพื้นดินเพื่อเด้งตัวขึ้นมาสู้ต่อแต่ก็ไม่สำเร็จ
แม่เฒ่าหายไปจากหน้าต่างเรือนเพียงแวบเดียวเท่านั้นเอง เจ้าหนุ่มก็เห็นนางวิ่งจากประตูด้านครัวปราดเข้ามาตรงที่ลูกชายถูกศัตรูตรึงเอาไว้กับพื้นดิน
“กน ทำไมเป็นยังงี้ไปได้ล่ะ ข้ามาช่วยแล้ว เราต้องไม่แพ้”
มูซาชิอดฉงนไม่ได้เพราะนึกว่าที่นางร้องขอให้รอนั้นก็เพื่อจะมาขอชีวิตลูกชายตน และพอมาถึงก็ต้องคุกเข่าลงก้มศีรษะจนหน้าผากจรดพื้นของให้ตนไว้ชีวิตกนโนะซุเกะ แต่ไม่ใช่เลย...นางกลับให้กำลังใจลูกชายที่ชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่ขึงอยู่ระหว่างหุบเหว ให้ลุกขึ้นสู้ด้วยกัน
แม่เฒ่าติดอาวุธมาพร้อม ที่เอวมีดาบสั้น และถือทวนด้ามยาวซ่อนไว้ข้างหลังแต่ก็ยังเห็นใบมีดคมกริบที่ถอดจากฝักเตรียมสู้สะท้อนแสงดวงดาววาววับ นางจ้องมองมาที่มูซาชิด้วยสายตาคมกริบราวกับจะบาดเฉือนพร้อมกับวาจา ให้ได้แผลประเดิมคมง้าว
“เจ้านักดาบพเนจรกระยาจกสกปรกโสโครก เก่งแต่เล่นทีเผลอ คิดว่าเราสองแม่ลูกเป็นชาวบ้านธรรมดาไม่มีพิษสง เป็นชาวไร่ชาวนาไม่รู้ประสีประสางั้นรึ”
ว่าแล้วก็ผลักหลังเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ด้วยแรงเกินหญิงชรา มูซาชิไม่ถนัดกับการถูกโจมตีจากข้างหลังอยู่แล้ว ยิ่ง
ครั้งนี้ซึ่งต้องระวังถึงสองฝักสองฝ่าย ไม่อาจละมือจากเชลยหันไปรับมือได้ก็ยิ่งลำบาก ส่วนกนโนะซุเกะพอเห็นแม่พกอาวุธครบมือมาช่วยก็ยิ่งมีแรงมีกำลังใจฮึดสู้ ไถลตัวไปกับพื้นดินจนเสื้อแทบจะขาดและหลักแทบถลอก หมายจะหันไปในทิศทางที่แม่ตนจะได้เปรียบ
“อะไรกันแม่ เจ้าหมอนี่มันก็ทำได้แค่นี้แหละ ไม่ต้องเอะอะไป”
กนโนะซุเกะร้องบอก
“อย่าห่วง แล้วก็ไม่ต้องเข้ามา ข้าจัดการเอง คอยดูละกัน”
“ใจเย็น ๆ ไม่ต้องผลีผลาม”
แม่เฒ่าเตือนลูกชาย
“มันก็แค่นักดาบพเนจรไร้ฝีมือ ดีแต่จ้องเล่นงานทีเผลอ จริง ๆ แล้วลูกหลานนักรบอย่างเจ้าไม่ควรลดตัวลงไปต่อกรกับมันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ อย่าลืมว่าเราสืบเชื้อสายมาจากท่านคาคุเมียวผู้ยิ่งใหญ่ที่สู้รบเคียงบ่าเคียงไหล่มากับผู้ครองแคว้นคิโซะ นักรบผู้มีชื่อเสียงระบือไปทั่วแว่นแคว้น”
“ข้าไม่มีวันลืม”
กนโนะซุเกะตะโกนบอกยังไม่ทันขาดคำ เจ้าหมูป่าก็ผงกหัวขึ้นแยกเคี้ยวกัดต้นขาของมูซาชิที่เปลือยอยู่ตรงหน้าพอดี พร้อมกันนั้นก็ถือโอกาสที่มูซาชิตกใจและเจ็บแผลที่ถูกกัด ใช้มือทั้งคู่ที่เป็นอิสระอยู่ผลักเจ้าหนุ่มผู้พิชิตตนเต็มแรง ไม่ทิ้งช่องให้มูซาชิใช้กลยุทธ์ตอบโต้ได้สักอย่างเดียว พร้อมกันนั้นเงาของแม่เฒ่าถือง้าวคมวาววับก็ย่างก้าวเข้ามา เงื้อง่าตั้งท่าฟาดฟันกลางหลัง
“ช้าก่อน แม่เฒ่า”
มูซาชิตัดสินใจร้องออกมาห้ามออกมาทันใด เมื่อเห็นว่าข้อพิพาทรุนแรงถึงขั้นที่ไม่มีทางยุติลงได้จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
เจ้าหนุ่มเห็นว่าไม่ควรมีคนตาย ณ จุดที่ทุกอย่างยังเป็นเพียงข้อสงสัย ไม่รู้ชัดว่ากนโนะซุเกะลักพาตัวโอซือกับ โจทาโรมาจริงหรือไม่ ทางที่ดีควรสงบศึกและสงบอารมณ์เจรจากันให้รู้เรื่องก่อนจะดีกว่า คิดได้ดังนั้นจึงร้องบอกให้แม่เฒ่าเอาง้าวที่จ่อหลังตนอยู่ออกไปให้พ้น
คนอย่างแม่เฒ่าหรือจะทำตามแต่โดยดี นางมองลงไปหารือกับลูกชายที่ยังตกเป็นเบี้ยล่างของคู่อริอยู่ว่า จะให้ทำยังไง
3
สองแม่ลูกกับมูซาชิเดินเจรจาปรับความเข้าใจกันมา และขึ้นเรือนเมื่อท่อนไม้สนที่ใช้เป็นฟืนติดไฟลุกโชนอยู่ในเตาผิงทำความอบอุ่นไปทั่วห้อง และน่าจะลงเอยกันได้ด้วยดี
“เกือบได้เลือดกันแล้วไหมล่ะ ไอ้เราก็เข้าใจผิดเขาก็ยิ่งเข้าใจผิดไปกันใหญ่”
แม่เฒ่าถอนใจยาวด้วยความโล่งใจพร้อมกับทรุดตัวลงนั่งพับขาที่ข้างเตาผิง และพอลูกชายจะนั่งตามนางก็ยึดเอาไว้และบอกว่า
“กนโนะซุเกะ ยืนอยู่ก็ดีแล้ว เจ้าพาพ่อหนุ่มนักดาบคนนั้นไปดูรอบ ๆ บ้านดีกว่าไหม จะได้เห็นกับตาว่าเราไม่ได้ซ่อนผู้หญิงกับเด็กที่เขาตามหาเอาไว้จริง ๆ “
“ดีเหมือนกัน ท่านซามูไรตามข้ามาดูให้ถ้วนทั่วทุกซอกทุกมุม ข้าไม่อยากให้ชาวบ้านมาซุบซิบกันว่าข้าเป็นพวกโจรลักพาคนไปเรียกค่าไถ่”
มูซาชิถอดรองเท้าฟางขึ้นเรือนมานั่งเรียบร้อยอยู่ข้างเตาผิงตามคำเชื้อเชิญเรียบร้อยแล้ว พอได้ยินสองแม่ลูกคุยกันก็ขอโทษ
“ไม่ต้องหรอก ข้ารู้แล้วว่าท่านบริสุทธิ์ และต้องขออภัยที่ตั้งข้อสงสัยท่านด้วยความเข้าใจผิด”
กนโนะซุเกะทำหน้ามุ่ย
“ข้าก็ต้องขอโทษ ที่หุนหันพลันแล่น ไม่ทันถามไถ่ให้ได้ความ ก็โกรธเกรี้ยวคว้าพลองกระโจนเข้าใส่ราวกับท่านเป็นหัวขโมย”
ว่าแล้วก็ทรุดตัวลงนั่งขัดสมาธิลงตรงนั้น
มูซาชิยังมีเรื่องต้องถามอีกมาก อยากแรกก็คือทำไมแม่วัวลายจุดที่ตนเช่าให้โอซือซึ่งเพิ่งหายป่วยขี่ระหว่างทางจากภูเขาเอซัน และให้โจทาโรเป็นคนจูง จึงถูกผูกอยู่หลังบ้านนี้ และเมื่อถามก็ได้คำตอบว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ท่านก็ย่อมสงสัยข้าเป็นธรรมดา เราเป็นชาวนามีนาผืนเล็ก ๆ อยู่แถวนี้ เมื่อเย็นวานระหว่างกลับจากทอดแหที่บึงโนบุโนะอิเคะ ข้าพบแม่วัวตัวหนึ่งจมปลักอยู่ในหนองน้ำลึก ยิ่งตะเกียกตะกายก็ยิ่งจมและร้องโอดโอยเป็นที่น่าเวทนา ข้าจึงไปช่วยฉุดดึงขึ้นมาและพบว่าเป็นแม่วัวสาวนมกำลังคัด จูงไปถามคนในละแวกบ้านก็ไม่มีใครเจ้าของ จึงคิดเอาเองว่าคงเป็นแม่วัวที่มีคนขโมยมาทิ้งเอาไว้ เลยคิดว่าจะเอาไว้ช่วยงานในนา เพราะวัวตัวหนึ่งทำงานเท่ากับไม่เอาไหนครึ่งคน แล้วแม่ยังจะได้นมวัวดื่มบำรุงร่างกายด้วย คิดว่าสวรรค์ประทานด้วยความเวทนาข้ากับแม่ยากจนแทบไม่มีกิน ก็เลยจูงกลับเรือน"
กนโนะซุเกะหัวเราะเขิน ๆ ก่อนบอกว่า
“เมื่อท่านเป็นเจ้าของตัวจริง ก็เอาคืนไปเถิด เมื่อไหร่ก็ได้ แต่คนที่ชื่โอซือกับโจทาโรนั่น ข้าไม่รู้เลยจริง ๆ
เท่าที่ฟังการพูดจา เจ้าหนุ่มร่างกำยำเหมือนหมูป่าคนนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าเป็นหนุ่มที่เกิดและเติบโตในชนบทคนหนึ่ง จะรักเกลียดอะไรก็ตรงไปตรงมา และก็ไม่แปลกที่จะเข้าใจผิดและจู่โจมมูซาชิด้วยความโกรธเกรี้ยว
“อย่างนี้ ท่านต้องเป็นห่วงเพื่อนร่วมทางมากทีเดียวนะเจ้า”
แม่เฒ่าพูดกับลูกชาย แสดงความเอื้ออาทรตามประสาผู้ใหญ่
“รีบกินข้าวเย็น แล้วพาพ่อหนุ่มไปตามพาเพื่อนเดินทางทีเถิด ค่ำมืดดึกดื่นไม่รู้ว่าจะไปตกระกำลำบากอยู่ที่ไหน ถ้าหลงทางไปไม่ไกล อยู่แถว ๆ บึงโนบุโนะอิเคะก็ดีไป แต่ถ้าหลงเข้าไปในป่าทึบเชิงเขาโคมะ-งะ-ทาเกะ ละก็แย่เลย แถบนั้นเป็นแดนอันตรายสำหรับคนต่างถิ่น โจรผู้ร้ายชุกชุม สุ่มตัวอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้คอยปล้นสะดมไม่เลือก เงินทอง ทรัพย์สลิงคารไม่ต้องพูดถึง ม้าลาไปจนถึงผักผลไม้มันก็เอา”