นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ล่างลงไปจากพุ่มไม้เป็นลำธารน้อย โจทาโรยันตัวไว้ไม่ให้ลื่นตกลงไป และคลานขึ้นมาที่ต้นไม้ข้างทางตามเดิมด้วยท่าปลาไหลเลื้อย แต่...
“เอ๊ะ”
พอได้สติและมองไปรอบ ๆ เจ้าหนุ่มก็เห็นโอซือนั่งอยู่บนหลังแม่วัว ที่ยักย้ายส่ายตะโพกพาตัวใหญ่เทอะทะวิ่งอุ้ยอ้ายไปข้างหน้าดูน่าเวทนาเต็มที
ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้ยังไง เพราะเจ้าหนุ่มคนที่ชื่อมาตาฮาชิวิ่งพลางฉุดเชือกดึงแม่วัวให้วิ่งตามทั้งยังเอาปลายเชือกตีลำตัวแทนแซ่ด้วย
“ไอ้บ้า”
โจทาโรโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแต่ยังตาลายอยู่ ทำได้แค่รวบรวมกำลังที่มีอยู่เพียงน้อยนิดและนึกถึงความรับผิดชอบที่มีต่อโอซือ จนลืมไปว่าจะต้องรีบไปขอความช่วยเหลือจากมูซาชิโดยเร็ว
มูซาชินั่งพักอยู่บนเนินเขาด้านโน้น มองหมู่เมฆที่อ้อยอิ่งอยู่ระหว่างยอดเขาโคมาดาเกะกับที่ราบกว้างบริเวณเชิงเขา ไม่รู้ว่ากำลังเคลื่อนตัวอยู่หรือว่านิ่งอยู่ตรงนั้น
“นั่งคิดอะไรอยู่ได้ ไม่เห็นจะเข้าท่า”
เจ้าหนุ่มนักดาบตื่นจากภวังค์ สบถกับตัวเองและขยับตัวรับความเป็นจริงรอบข้าง
ตาของเจ้าหนุ่มมองไปที่ภูเขาก็จริง แต่ใจยังพัวพันอยู่กับโอซืออยู่อย่างนั้น
คิดแล้วคิดอีกแต่มูซาชิก็ยังไม่เข้าใจโอซือ ไม่รู้ว่าใจจริงของสาวน้อยผู้บริสุทธิ์อันเป็นที่รักของตนเป็นอย่างไร
คิดไปคิดมาก็เริ่มโกรธโอซือขึ้นมาที่ไม่ยอมให้ตัวให้แก่ตน ทำไมโอซือจึงต้องตั้งกำแพงแข็งแกร่งไม่ยอมให้ตนเข้าไปจนถึงด่านสุดท้ายจนแล้วจนรอด ทั้งที่ดูท่าของนางแล้วก็มีใจให้ตนจนแทบจะทูนหัวทูนเกล้าขนาดนั้น
ไม่เข้าใจนางเลยจริง ๆ
โอซือไม่ใช่หรือที่เป็นคนจุดไฟพิศวาสขึ้นมา ถ้าไม่เริ่มก่อนใครเล่าจะกล้า เราก็เป็นชายคนหนึ่ง
เมื่อไฟสวาทลุกโชนจะให้เก็บเงียบงำเอาไว้ได้ยังไง เมื่ออกใจเร่าร้อนมีหรือที่จะไม่รุ่มร้อนไปทั่วกาย ใบหน้าร้อนรุ่ม มือเท้าร้อนผ่าว อกหนาบึกบึนร้อนระอุ ดวงตาราวดวงไฟเจิดจ้า เท่านั้นนางเองนางก็กระเถิบหนี ถอยห่าง และเมื่อเรายื่นมือร้อนผ่าวเข้าไปหมายจะกอดตระกองเอาไว้ นางก็ปัดทิ้งและลุกหนีไปไกลเกินเอื้อม
หมิ่นเชิงชายกันชัด ๆ
มูซาชิทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ
เลือดหนุ่มเดือดพล่านไม่รู้จะไประบายกับอะไรที่ไหน
แต่แรกคิดจะกระโดดลงไปที่แอ่งน้ำตกข้างล่าง ให้กระแสน้ำเยียบเย็นที่พุ่งแรงลงไปหมุนติ้วเป็นวังวนช่วยล้างคราบไคลที่เกาะกุมหัวใจให้หมดไปสักที แต่พอวันคืนผ่านไปและเลือดเย็นลงก็ชักลังเล ทำให้ต้องหัวเราะเยาะตัวเองไม่รู้ว่ากี่ครั้ง
ผู้หญิงคนเดียวทำไมไม่ตัดใจแล้วเดินไปข้างหน้า ไม่เห็นจะยาก
มูซาชิลองสั่งตัวเอง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะใจจริงไม่ใช่เช่นนั้นจะทำได้ยังไง
ตอนออกจากเกียวโตมูซาชิสัญญากับโอซือไว้ว่า พอถึงเอโดะให้นางเลือกเรียนวิชาที่ชอบและเหมาะสมกับตนเอง ส่วนตนก็จะเอาดีทางวิชาดาบต่อไป และคิดว่าตนต้องรับผิดชอบให้เป็นไปตามนั้น
แต่พอมาระหว่างทางกลับมาโดนเข้าแบบนี้
แล้วจะยังไงกันละเนี่ย วิชาดาบของข้าล่ะ
มูซาชิเขม้นมองไปทางภูเขาโคมาดาเกะ แล้วกัดริมฝีปากแน่นด้วยความคับแค้นใจในความต่ำต้อยไร้สมรรถภาพของตัวเอง ภูเขานั้นไม่อาจผงาดขึ้นไปให้สูงเทียมกันได้อยู่แล้ว แต่นี่แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวเท่านั้นเอง
“ยังไม่มาอีกหรือนี่”
มูซาชิบ่นถึงโจทาโรกับโอซือ พร้อมกับลุกขึ้นยืนหลังจากทนรออยู่นานเต็มที่
น่าจะตามมาใกล้พอจะเห็นตัวกันได้แล้ว
“หรือจะมีปัญหาที่ด่านตรวจ”
คืนนี้กะว่าจะค้างกันที่ยาบุฮาระ แต่อาทิตย์ก็ลับดวงไปแล้วและยังต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงที่พัก
จากเนินนี้มองลงไปเห็นไกลถึงแนวป่าด้านโน้น แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของโอซือกับโจทาโร
“น่าแปลก หรือว่าจะพักอยู่แถวด่านตรวจ”
แม้เมื่อกี้จะคิดถึงกับว่าจะทิ้งไปไม่รอแล้ว แต่พอไม่เห็นตามมาแม้แต่เงาเช่นนี้ก็ชักเอะใจ และเริ่มเป็นห่วง ไม่อาจเดินล่วงหน้าไปได้แม้แต่ก้าวเดียว
มูซาชิรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตนกำลังวิ่งเต็มฝีเท้าลงมาจากเนินเตี้ย ทำเอาม้าที่ชาวบ้านแถบนั้นเลี้ยงแบบปล่อยให้หาหญ้ากินเอง ตกใจวิ่งเตลิดไปตัวละทิศละทาง
ทันทีที่มาถึงทางเข้าเมือง คนเดินทางคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทัก
“ท่านคือซามุไรที่มากับผู้หญิงบนหลังวัวคนนั้นใช่ไหม”
“ใช่ เกิดอะไรขึ้นกับเธอรึ”
มูซาชิรีบถามโดยเร็ว รู้สึกสังหรณ์ใจคล้ายมีพรายมากระซิบ
2
ดูเหมือนมูซาชิจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ยินข่าวเหตุการณที่กำลังแพร่สะพัดไปตลอดเส้นทางสายที่มุ่งสู่เอโดะสายนี้ว่ามีชายหนุ่มท่าทางกร้องแกร่งลักพาตัวสาวน้อยบนหลังแม่วัว ลากดึงพลางเฆี่ยนแม่วัววิ่งลงทางแยกข้างด่านตรวจหายไป
มูซาชิวิ่งสุดแรงย้อนกลับไปทางด่านตรวจทันทีก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะสาธยายจบ แต่ก็พบว่าสายเกินไปแล้วเพราะตรงที่เกิดเหตุสงบเงียบไม่มีร้องรอยว่าจะมีการฉุดคร่าแม่วัวและสาวน้อยบนหลัง
เจ้าหนุ่มนักดาบหันรีหันขวาง ใจเร่าร้อนไปด้วยความห่วงกังวล ไม่รู้ว่าจะตามไปทางไหนถูก และหากชักช้าอยู่แล้วนางถูกทำร้ายจริงจะทำยังไง
“ลุง ลุง”
มูซาชิหอบพลางร้องเรียกเจ้าของร้านน้ำชาที่ปิดหน้าร้านแล้วกำลังจะกลับเข้าข้างในเอาไว้ เพราะใกล้ยามหกศี่งเป็นเวลาปิดทำการของด่านตรวจ
พ่อเฒ่าหันมาถาม
“ลืมอะไรไว้รึพ่อหนุ่ม”
“เปล่า แต่กำลังตามหาคนด่วนเลย เมื่อสักครึ่งชั่วโมงมานี้ ลุงเห็นผู้หญิงกับเด็กผ่านมาทางนี้บ้างไหม”
“อ๋อ แม่หญิงงามสง่าราวกับพระโพธิสัตว์บนหลังแม่วัวน่ะรึ”
“ใช่ ๆ ข้าได้ยินข่าวว่าถูกซามูไรเถื่อนท่าทางดุร้ายลักพาตัวไป ลุงเห็นไหมว่าไปทางไหน”
“ไม่เห็นกับตาหรอกนะ แต่ได้ยินเขาโจษขานกันว่า มันฉุดแม่วัวเลี้ยวลงไปตรงทางแยกที่มีเนินเสียบหัวประจานโน่นไง”
พ่อเฒ่าว่าพลางชี้ไปที่ทางแยกใกล้ ๆ กับร้านของแก
“แล้ววิ่งไปทางหนองน้ำโนบุโนะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง มูซาชิกระโจนหายวับเข้าไปในความมืดสลัวตามมือชี้ในพริบตานั้นเอง
เจ้าหนุ่มนักดาบวิ่งพลางประมวลข่าวที่ได้มาจากคนนั้นคนนี้ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไปตลอด คิดไม่ออกว่าใครจะมาลักพาตัวโอซือไปทำไม ไม่ได้คาดคิดเลยสักนิดว่าซามุไรเถื่อนในข่าวนั้นจะเป็นมาตาฮาชิ
มาตาฮาชิจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้ยังไงในเมื่อเพื่อนเก่าทั้งสองปรับความเข้าใจกันได้แล้ว หลังพบกันเป็นครั้งแรกในหกปีที่ร้านน้ำชาระหว่างเดินข้ามสันเขาไปทางโอสึ สะสางเรื่องบาดหมางสมัยวัยรุ่นกันหมดสิ้นและกลับมาเป็นเพื่อนกันตามเดิม
ทิ้งเรื่องบาดหมางระหว่างเราไปกับกระแสน้ำเถอะนะ
มูซาชิกับมาตาฮาชิจับมือกัน
ต่อจากนี้ไปขอให้เจ้าจริงจังกับชีวิตให้มากขึ้น มีความหวังและความฝัน
มาตาฮาชิน้ำตาซึมเมื่อพยักหน้ารับคำให้กำลังใจของเพื่อน
ข้าจะเล่าเรียนวิชา กลับตัวกลับใจจะได้เป็นคนจริงสักที ข้าจะตั้งใจทำอย่างที่พูดให้ได้ ขอให้เจ้าช่วยนำทางให้ข้าทีเถิด คิดว่าข้าเป็นน้องชายก็แล้วกัน”
มาตาฮาชิปลาบปลื้มจริงจังเมื่อมูซาชิพยักหน้ารับคำขอ
อย่างนี้แล้วมูซาชิจะสงสัยได้ยังไงว่ามาตาฮาชิคือตัวการของเรื่องทั้งหมด
คนที่อยู่ในข่ายผู้ต้องสงสัยในขณะนี้คือ
พวกนักดาบไร้นายหลังสงครามเซกิงาฮาระ ที่ออกเร่ร่อนหางานทำไปทั่วทุกแว่นแคว้นแต่หาไม่ได้สักที หรือไม่ก็พวกโจรชั้นสวะที่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะถีบตัวเองขึ้นไปเป็นนายโจร หรือไม่ก็โจรป่าที่ยึดการลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่เป็นอาชีพ หรืออาจเป็นพวกซามุไรท้องถิ่นที่ชอบทำกร่างเป็นอันธพาลก็ได้อีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งมีผู้ต้องสงสัยตามมาเป็นขบวน แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้มูซาชิคลำทางพ้นออกมาจากความมืดได้เลย
มูซาชิวิ่งสุดฝีเท้าไปทางหนองน้ำโนบุ ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปนานแล้ว หมู่ดาวสุกสกาวอยู่บนฟ้าใส แต่ก็สาดแสงลงมาไม่พอที่จะให้เห็นทาง แม้แต่ปลายเท้าของเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังเร่งรีบ
มูซาชิมาหยุดยืนงงหันซ้ายแลขวาอยู่ตรงบริเวณที่น่าจะเป็นหนองน้ำโนบุตามข่าวที่ได้ยินมา แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ใกล้เคียงกับแหล่งน้ำที่ว่า ทางเดินที่ตัดผ่านไร่นาและป่าไม้เริ่มลาดขึ้นนิด ๆ ทำให้รู้สึกได้ว่ากำลังเดินอยู่แถบเชิงเขาโคมาดาเกะ
หรือว่าจะหลงทาง
มูซาชิมองไปรอบ ๆ เหมือนคนหลงทางอยู่ในความมืดมิดจริง ๆ
พระเจ้าช่วย
ดวงตาของมูซาชิเป็นประกายวาบขึ้นด้วยความปิติทันทีที่เห็นไฟดวงไฟเล็ก ๆ วอมแวมอยู่ระหว่างแมกไม้หนาทึบ และเมื่อวิ่งเข้าไปซุ่มดูใกล้ ๆ ก็เห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ในวงล้อมของแมกไม้ที่คล้ายกับป่าบังลม มีภูเขาโคมาดาเกะสูงตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ดวงไฟที่เห็นดูคล้ายกับกองไฟที่ก่อขึ้นนอกบ้าน หรือไม่ก็จากเตาต้มน้ำอาบ
มูซาชิย่องกริบใกล้เข้าไปอีก
อ๊ะ...
ใจของเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ลิงโลดขึ้นทันทีเมื่อเห็นแม่วัวลายจุดะเพื่อนเก่า
แต่...
ไม่มีโอซืออยู่บนหลัง
แต่ก็โล่งใจเมื่อเห็นแม่วัวที่ถูกผูกไว้นอกบ้านปลอดภัยดี
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ล่างลงไปจากพุ่มไม้เป็นลำธารน้อย โจทาโรยันตัวไว้ไม่ให้ลื่นตกลงไป และคลานขึ้นมาที่ต้นไม้ข้างทางตามเดิมด้วยท่าปลาไหลเลื้อย แต่...
“เอ๊ะ”
พอได้สติและมองไปรอบ ๆ เจ้าหนุ่มก็เห็นโอซือนั่งอยู่บนหลังแม่วัว ที่ยักย้ายส่ายตะโพกพาตัวใหญ่เทอะทะวิ่งอุ้ยอ้ายไปข้างหน้าดูน่าเวทนาเต็มที
ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้ยังไง เพราะเจ้าหนุ่มคนที่ชื่อมาตาฮาชิวิ่งพลางฉุดเชือกดึงแม่วัวให้วิ่งตามทั้งยังเอาปลายเชือกตีลำตัวแทนแซ่ด้วย
“ไอ้บ้า”
โจทาโรโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแต่ยังตาลายอยู่ ทำได้แค่รวบรวมกำลังที่มีอยู่เพียงน้อยนิดและนึกถึงความรับผิดชอบที่มีต่อโอซือ จนลืมไปว่าจะต้องรีบไปขอความช่วยเหลือจากมูซาชิโดยเร็ว
มูซาชินั่งพักอยู่บนเนินเขาด้านโน้น มองหมู่เมฆที่อ้อยอิ่งอยู่ระหว่างยอดเขาโคมาดาเกะกับที่ราบกว้างบริเวณเชิงเขา ไม่รู้ว่ากำลังเคลื่อนตัวอยู่หรือว่านิ่งอยู่ตรงนั้น
“นั่งคิดอะไรอยู่ได้ ไม่เห็นจะเข้าท่า”
เจ้าหนุ่มนักดาบตื่นจากภวังค์ สบถกับตัวเองและขยับตัวรับความเป็นจริงรอบข้าง
ตาของเจ้าหนุ่มมองไปที่ภูเขาก็จริง แต่ใจยังพัวพันอยู่กับโอซืออยู่อย่างนั้น
คิดแล้วคิดอีกแต่มูซาชิก็ยังไม่เข้าใจโอซือ ไม่รู้ว่าใจจริงของสาวน้อยผู้บริสุทธิ์อันเป็นที่รักของตนเป็นอย่างไร
คิดไปคิดมาก็เริ่มโกรธโอซือขึ้นมาที่ไม่ยอมให้ตัวให้แก่ตน ทำไมโอซือจึงต้องตั้งกำแพงแข็งแกร่งไม่ยอมให้ตนเข้าไปจนถึงด่านสุดท้ายจนแล้วจนรอด ทั้งที่ดูท่าของนางแล้วก็มีใจให้ตนจนแทบจะทูนหัวทูนเกล้าขนาดนั้น
ไม่เข้าใจนางเลยจริง ๆ
โอซือไม่ใช่หรือที่เป็นคนจุดไฟพิศวาสขึ้นมา ถ้าไม่เริ่มก่อนใครเล่าจะกล้า เราก็เป็นชายคนหนึ่ง
เมื่อไฟสวาทลุกโชนจะให้เก็บเงียบงำเอาไว้ได้ยังไง เมื่ออกใจเร่าร้อนมีหรือที่จะไม่รุ่มร้อนไปทั่วกาย ใบหน้าร้อนรุ่ม มือเท้าร้อนผ่าว อกหนาบึกบึนร้อนระอุ ดวงตาราวดวงไฟเจิดจ้า เท่านั้นนางเองนางก็กระเถิบหนี ถอยห่าง และเมื่อเรายื่นมือร้อนผ่าวเข้าไปหมายจะกอดตระกองเอาไว้ นางก็ปัดทิ้งและลุกหนีไปไกลเกินเอื้อม
หมิ่นเชิงชายกันชัด ๆ
มูซาชิทั้งโกรธทั้งเจ็บใจ
เลือดหนุ่มเดือดพล่านไม่รู้จะไประบายกับอะไรที่ไหน
แต่แรกคิดจะกระโดดลงไปที่แอ่งน้ำตกข้างล่าง ให้กระแสน้ำเยียบเย็นที่พุ่งแรงลงไปหมุนติ้วเป็นวังวนช่วยล้างคราบไคลที่เกาะกุมหัวใจให้หมดไปสักที แต่พอวันคืนผ่านไปและเลือดเย็นลงก็ชักลังเล ทำให้ต้องหัวเราะเยาะตัวเองไม่รู้ว่ากี่ครั้ง
ผู้หญิงคนเดียวทำไมไม่ตัดใจแล้วเดินไปข้างหน้า ไม่เห็นจะยาก
มูซาชิลองสั่งตัวเอง แต่ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะใจจริงไม่ใช่เช่นนั้นจะทำได้ยังไง
ตอนออกจากเกียวโตมูซาชิสัญญากับโอซือไว้ว่า พอถึงเอโดะให้นางเลือกเรียนวิชาที่ชอบและเหมาะสมกับตนเอง ส่วนตนก็จะเอาดีทางวิชาดาบต่อไป และคิดว่าตนต้องรับผิดชอบให้เป็นไปตามนั้น
แต่พอมาระหว่างทางกลับมาโดนเข้าแบบนี้
แล้วจะยังไงกันละเนี่ย วิชาดาบของข้าล่ะ
มูซาชิเขม้นมองไปทางภูเขาโคมาดาเกะ แล้วกัดริมฝีปากแน่นด้วยความคับแค้นใจในความต่ำต้อยไร้สมรรถภาพของตัวเอง ภูเขานั้นไม่อาจผงาดขึ้นไปให้สูงเทียมกันได้อยู่แล้ว แต่นี่แค่ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนเดียวเท่านั้นเอง
“ยังไม่มาอีกหรือนี่”
มูซาชิบ่นถึงโจทาโรกับโอซือ พร้อมกับลุกขึ้นยืนหลังจากทนรออยู่นานเต็มที่
น่าจะตามมาใกล้พอจะเห็นตัวกันได้แล้ว
“หรือจะมีปัญหาที่ด่านตรวจ”
คืนนี้กะว่าจะค้างกันที่ยาบุฮาระ แต่อาทิตย์ก็ลับดวงไปแล้วและยังต้องเดินอีกไกลกว่าจะถึงที่พัก
จากเนินนี้มองลงไปเห็นไกลถึงแนวป่าด้านโน้น แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของโอซือกับโจทาโร
“น่าแปลก หรือว่าจะพักอยู่แถวด่านตรวจ”
แม้เมื่อกี้จะคิดถึงกับว่าจะทิ้งไปไม่รอแล้ว แต่พอไม่เห็นตามมาแม้แต่เงาเช่นนี้ก็ชักเอะใจ และเริ่มเป็นห่วง ไม่อาจเดินล่วงหน้าไปได้แม้แต่ก้าวเดียว
มูซาชิรู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าตนกำลังวิ่งเต็มฝีเท้าลงมาจากเนินเตี้ย ทำเอาม้าที่ชาวบ้านแถบนั้นเลี้ยงแบบปล่อยให้หาหญ้ากินเอง ตกใจวิ่งเตลิดไปตัวละทิศละทาง
ทันทีที่มาถึงทางเข้าเมือง คนเดินทางคนหนึ่งก็เดินเข้ามาทัก
“ท่านคือซามุไรที่มากับผู้หญิงบนหลังวัวคนนั้นใช่ไหม”
“ใช่ เกิดอะไรขึ้นกับเธอรึ”
มูซาชิรีบถามโดยเร็ว รู้สึกสังหรณ์ใจคล้ายมีพรายมากระซิบ
2
ดูเหมือนมูซาชิจะเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ยินข่าวเหตุการณที่กำลังแพร่สะพัดไปตลอดเส้นทางสายที่มุ่งสู่เอโดะสายนี้ว่ามีชายหนุ่มท่าทางกร้องแกร่งลักพาตัวสาวน้อยบนหลังแม่วัว ลากดึงพลางเฆี่ยนแม่วัววิ่งลงทางแยกข้างด่านตรวจหายไป
มูซาชิวิ่งสุดแรงย้อนกลับไปทางด่านตรวจทันทีก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะสาธยายจบ แต่ก็พบว่าสายเกินไปแล้วเพราะตรงที่เกิดเหตุสงบเงียบไม่มีร้องรอยว่าจะมีการฉุดคร่าแม่วัวและสาวน้อยบนหลัง
เจ้าหนุ่มนักดาบหันรีหันขวาง ใจเร่าร้อนไปด้วยความห่วงกังวล ไม่รู้ว่าจะตามไปทางไหนถูก และหากชักช้าอยู่แล้วนางถูกทำร้ายจริงจะทำยังไง
“ลุง ลุง”
มูซาชิหอบพลางร้องเรียกเจ้าของร้านน้ำชาที่ปิดหน้าร้านแล้วกำลังจะกลับเข้าข้างในเอาไว้ เพราะใกล้ยามหกศี่งเป็นเวลาปิดทำการของด่านตรวจ
พ่อเฒ่าหันมาถาม
“ลืมอะไรไว้รึพ่อหนุ่ม”
“เปล่า แต่กำลังตามหาคนด่วนเลย เมื่อสักครึ่งชั่วโมงมานี้ ลุงเห็นผู้หญิงกับเด็กผ่านมาทางนี้บ้างไหม”
“อ๋อ แม่หญิงงามสง่าราวกับพระโพธิสัตว์บนหลังแม่วัวน่ะรึ”
“ใช่ ๆ ข้าได้ยินข่าวว่าถูกซามูไรเถื่อนท่าทางดุร้ายลักพาตัวไป ลุงเห็นไหมว่าไปทางไหน”
“ไม่เห็นกับตาหรอกนะ แต่ได้ยินเขาโจษขานกันว่า มันฉุดแม่วัวเลี้ยวลงไปตรงทางแยกที่มีเนินเสียบหัวประจานโน่นไง”
พ่อเฒ่าว่าพลางชี้ไปที่ทางแยกใกล้ ๆ กับร้านของแก
“แล้ววิ่งไปทางหนองน้ำโนบุโนะ”
ยังไม่ทันสิ้นเสียง มูซาชิกระโจนหายวับเข้าไปในความมืดสลัวตามมือชี้ในพริบตานั้นเอง
เจ้าหนุ่มนักดาบวิ่งพลางประมวลข่าวที่ได้มาจากคนนั้นคนนี้ ขมวดคิ้วด้วยความสงสัยไปตลอด คิดไม่ออกว่าใครจะมาลักพาตัวโอซือไปทำไม ไม่ได้คาดคิดเลยสักนิดว่าซามุไรเถื่อนในข่าวนั้นจะเป็นมาตาฮาชิ
มาตาฮาชิจะตกเป็นผู้ต้องสงสัยได้ยังไงในเมื่อเพื่อนเก่าทั้งสองปรับความเข้าใจกันได้แล้ว หลังพบกันเป็นครั้งแรกในหกปีที่ร้านน้ำชาระหว่างเดินข้ามสันเขาไปทางโอสึ สะสางเรื่องบาดหมางสมัยวัยรุ่นกันหมดสิ้นและกลับมาเป็นเพื่อนกันตามเดิม
ทิ้งเรื่องบาดหมางระหว่างเราไปกับกระแสน้ำเถอะนะ
มูซาชิกับมาตาฮาชิจับมือกัน
ต่อจากนี้ไปขอให้เจ้าจริงจังกับชีวิตให้มากขึ้น มีความหวังและความฝัน
มาตาฮาชิน้ำตาซึมเมื่อพยักหน้ารับคำให้กำลังใจของเพื่อน
ข้าจะเล่าเรียนวิชา กลับตัวกลับใจจะได้เป็นคนจริงสักที ข้าจะตั้งใจทำอย่างที่พูดให้ได้ ขอให้เจ้าช่วยนำทางให้ข้าทีเถิด คิดว่าข้าเป็นน้องชายก็แล้วกัน”
มาตาฮาชิปลาบปลื้มจริงจังเมื่อมูซาชิพยักหน้ารับคำขอ
อย่างนี้แล้วมูซาชิจะสงสัยได้ยังไงว่ามาตาฮาชิคือตัวการของเรื่องทั้งหมด
คนที่อยู่ในข่ายผู้ต้องสงสัยในขณะนี้คือ
พวกนักดาบไร้นายหลังสงครามเซกิงาฮาระ ที่ออกเร่ร่อนหางานทำไปทั่วทุกแว่นแคว้นแต่หาไม่ได้สักที หรือไม่ก็พวกโจรชั้นสวะที่ไม่มีปัญญาแม้แต่จะถีบตัวเองขึ้นไปเป็นนายโจร หรือไม่ก็โจรป่าที่ยึดการลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่เป็นอาชีพ หรืออาจเป็นพวกซามุไรท้องถิ่นที่ชอบทำกร่างเป็นอันธพาลก็ได้อีก
ยิ่งคิดก็ยิ่งมีผู้ต้องสงสัยตามมาเป็นขบวน แต่นั่นไม่ได้ช่วยให้มูซาชิคลำทางพ้นออกมาจากความมืดได้เลย
มูซาชิวิ่งสุดฝีเท้าไปทางหนองน้ำโนบุ ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปนานแล้ว หมู่ดาวสุกสกาวอยู่บนฟ้าใส แต่ก็สาดแสงลงมาไม่พอที่จะให้เห็นทาง แม้แต่ปลายเท้าของเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ที่กำลังเร่งรีบ
มูซาชิมาหยุดยืนงงหันซ้ายแลขวาอยู่ตรงบริเวณที่น่าจะเป็นหนองน้ำโนบุตามข่าวที่ได้ยินมา แต่ก็ไม่เห็นว่าจะมีอะไรที่ใกล้เคียงกับแหล่งน้ำที่ว่า ทางเดินที่ตัดผ่านไร่นาและป่าไม้เริ่มลาดขึ้นนิด ๆ ทำให้รู้สึกได้ว่ากำลังเดินอยู่แถบเชิงเขาโคมาดาเกะ
หรือว่าจะหลงทาง
มูซาชิมองไปรอบ ๆ เหมือนคนหลงทางอยู่ในความมืดมิดจริง ๆ
พระเจ้าช่วย
ดวงตาของมูซาชิเป็นประกายวาบขึ้นด้วยความปิติทันทีที่เห็นไฟดวงไฟเล็ก ๆ วอมแวมอยู่ระหว่างแมกไม้หนาทึบ และเมื่อวิ่งเข้าไปซุ่มดูใกล้ ๆ ก็เห็นบ้านหลังหนึ่งอยู่ในวงล้อมของแมกไม้ที่คล้ายกับป่าบังลม มีภูเขาโคมาดาเกะสูงตระหง่านอยู่เบื้องหลัง ดวงไฟที่เห็นดูคล้ายกับกองไฟที่ก่อขึ้นนอกบ้าน หรือไม่ก็จากเตาต้มน้ำอาบ
มูซาชิย่องกริบใกล้เข้าไปอีก
อ๊ะ...
ใจของเจ้าหนุ่มร่างใหญ่ลิงโลดขึ้นทันทีเมื่อเห็นแม่วัวลายจุดะเพื่อนเก่า
แต่...
ไม่มีโอซืออยู่บนหลัง
แต่ก็โล่งใจเมื่อเห็นแม่วัวที่ถูกผูกไว้นอกบ้านปลอดภัยดี