นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โอซือฟื้นจากอาการเจ็บไข้และแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างเดินทางบนหลังแม่วัว แต่ปัญหาที่นอกเหนือจากอาการเจ็บไข้นี่สิยังเรื้อรังไม่รู้จักคลี่คลายเสียที
เสียงร้องไห้กระซิกกระซี้ของนางและเสียงตวาดก้องด้วยความโกรธขึ้งที่น้ำตกคู่รักผสมผสานกันก้องอยู่ในอก สาวราวกับจะประกาศว่าโอซือกับมูซาชิจะไม่มีวันลงรอยกันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นหลายร้อยหลายพันปี และระหว่างนั้น
ข้าจะอยู่ได้ยังไง
นึกขึ้นมาคราวใด สาวเจ้าจะต้องถามตัวเองว่า
ทำไม ทำไม และทำไม
ทุกครั้งที่พบกันมูซาชิจะดีใจและปลื้มปิติ แสดงความรักและโหยหาที่จะร่วมชิดพิศวาสอย่างสุดจะอดกลั้นจากใจจริงของคนที่มีความรักต่อกันโดยแท้ แต่ทำไมนางถึงได้ปฏิเสธและขัดขืนทุกครั้งไป
ทำไม
โอซือเฝ้าถามใจตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ตรองแล้วตรองอีกด้วยความพยายามที่จะเข้าใจตัวเอง แต่ก็มาสะดุดอยู่ที่ข้อปุจจาที่ว่า
ผู้ชายไม่ว่าใคร พอได้โอกาสก็จะย่ำยีหญิงอย่างนี้ทุกคนเลยรึอย่างใด
นึกแล้วก็ให้รันทดสลดใจ และเมื่อข้ามผ่านภูเขามาโงเมะอันเป็นต้นน้ำของน้ำตกคู่รัก ต้นน้ำแห่งความรักอันศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ที่เก็บเอาไว้แนบอกอยาคนเดียวมานานปีก็เปลี่ยนไป กลายเป็นพลังรุนแรงและพลุ่งพล่านราวคลุ้มคลั่งอยู่ในอกไม่ผิดอะไรกับน้ำตกที่กระโจนจากผาสูงลงสู่แอ่งวังน้ำวน
ยิ่งคิดโอซือก็ยิ่งไม่เข้าใจตัวเอง
เมื่อถูกมูซาชิกอดรัดด้วยความพิศวาส นางขัดขืนสุดฤทธิ์จนเจ้าหนุ่ม โกรธ น้อยใจ และผละจากไปด้วยความทรนง แม้หน้าก็ไม่หันมามอง แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังเดินทางตามเจ้าหนุ่มไปติด ๆ คอยระวังทุกฝีก้าวไม่ให้คลาดกันไปได้ ทำไมถึงได้ย้อนแย้งกันอย่างนี้
แน่นอน มูซาชิยังทิ้งระยะห่างกับโอซือที่ตามหลังมาเพียงให้เห็นหลังกันไว ๆ ไม่คิดที่จะชะลอฝีเท้าให้แม่วัวก้าวเดินมาทัน เพื่อจะได้เจรจาพาทตามประสาคู่รัก
ถึงกระนั้นมูซาชิก็ยังยึดมั่นตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันว่าจะไปเจอกันที่เอโดะ แม้โจทาโรจะเถลไถลหลบไปวิ่งเล่นบ้าง เจ้าหนุ่มก็จะหยุดรอ
หลังเดินผ่านห้าเมืองเจ็ดเส้นทางจนมาถึงทางเลี้ยวที่วัดโคเซ็นจิ และเดินขึ้นไปสุดเนินก็เห็นรั้วด่านตรวจนักเดินทางอยู่ไกล ๆ
หลังการรบพุ่งช้งอำนาจครั้งใหญ่ที่เซกิงาฮาระ แว่นแคว้นต่าง ๆ ก็ได้ตั้งด่านตรวจนักเดินทางซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกซามูไรไร้นาย พวกมิจฉาชีพ และผู้หญิงอย่างเคร่งครัด ดีที่โอซือมีจดหมายแนะนำตัวจากตระกูลคาราซุมารุผู้ยิ่งใหญ่แห่งเกียวโตติดตัวมาด้วย จึงผ่านได้สบายโดยไม่มีปัญหา
และพอแม่วัวที่มีโอซืออยู่บนหลังก้าวเดินผ่านร้านน้ำชาที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ก็มีเสียงซุบซิบดังมาเข้าหูเจ้าหนุ่มน้อยโจทาโร
“โอซือ ฟุเก็น คืออะไรเหรอ ข้าเห็นคนเดินทาง และหลวงพ่อที่นั่งดื่มน้ำชากันอยู่ข้างทางชี้มาที่โอซือ แล้วซุบซิบกันว่า ฟุเก็นซามะขี่แม่วัวมา”
“อ๋อ ฟุเก็นซามะ ก็คือพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ไงล่ะ”
“พระสมันตภัทรโพธิสัตว์เหรอ งั้นข้าก็คือมนจุซามะ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เพราะสององค์นี่ไปที่ไหนจะเห็นอยู่คู่กันตลอด”
“พระมัญชุศรีโพธิสัตว์จอมตะกละน่ะซี”
“เข้ากับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ขี้แยพอดีเลยไหม”
“เอาอีกแล้ว”
โอซือหน้าแดงเรื่อเมื่อถูกเย้าแหย่
“โอซือรู้ไหมว่าทำไมท่านโพธิสัตว์ทั้งสององค์ถึงได้อยู่ด้วยกันตลอด ไม่ใช่ผู้ชายกับผู้หญิงสักหน่อย”
โจทาโรถามแปลก ๆ
โอซือเติบโตขึ้นมาในวัดจึงรู้ดี แต่จะอธิบายยืดยาวไปเจ้าหนุ่มน้อยคงไม่ทนนิ่งฟัง ก็เลยบอกสั้น ๆ
“มัญชุศรีโพธิสัตว์เป็นพระผู้ทรงปัญญา ส่วนพระสมันตภัทรโพธิสัตว์คือพระผู้ปฏิบัติธรรม”
โอซือพูดยังไม่ทันขนาดคำ ชายคนหนึ่งที่เดินตามแม่วัวมาเหมือนแมลงวันจากที่ไหนสักแห่งและไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ก็ส่งเสียงเรียกเอาไว้
ฮนอิเด็น มาตาฮาจิ
ที่โจทาโรเห็นแวบหนึ่งในเมืองฟุกุชิมะก่อนหน้านี้นั่นเอง
2
คงจะดักรออยู่นานแล้วละซี
---ผู้ชายหน้าโง่
แค่เห็นหน้าก็คลื่นเหียนแทบอาเจียน ไม่อยากจะมอง
โอซือนึกสบประมาทอดีตคู่หมั้นหมายที่บ้านเกิดอยู่ในใจ
ทางด้านมาตาฮาจินั้นเล่าพอเห็นหน้านางที่นั่งชูคอสง่างามอยู่บนหลังแม่วัว เลือดทั่วกายก็เดือนพล่านด้วยความรักระคนแค้น อารมณ์พุ่งแรงจนไร้สติ
มาตาฮาจิเดินทางมุ่งหน้าไปยังเอโดะบนเส้นทางเดียวกัน แม้จะตามไปห่าง ๆ แต่ก็เห็นมูซาชิกับโอซือพะเน้าพะนอคลอเคลียพลอดรักกันบ้างเง้างอนกันบ้างมาตลอดทาง แล้วก็รู้ด้วยว่าคงจะขัดใจกันรุนแรงถึงกับเดินทิ้งระยะห่างกันไกล แค่เห็นในที่แจ้งตอนกลางวันก็ทำให้เจ้าหนุ่มผู้อาภัพรักคุ้มคลั่งพอแล้ว ครั้นมืดค่ำเข้าที่พักถึงเวลาที่จะได้อยู่กันสองต่อสอง จินตนาการก็ทรมานเจ้าหนุ่มอย่างสุดเจ็บปวด หัวใจร้าวรานรุนแรงจนไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ทุกค่ำคืน
“ลงมา”
มาตาฮาจิร้องสั่ง ทำวางอำนาจ
โอซือนั่งเบือนหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่มีคำตอบให้แก่ผู้ชายใจโหดเห็นแก่ตัวคนนี้ ไม่รู้ว่าไปทำเวรทำกรรมอันใดไว้ในชาติก่อนจึงต้องมาชดใช้ด้วยการตกเป็นคู่หมั้นหมายของชายโฉดใจโหดผู้นี้ตั้งแต่แรกรุ่น ถ้าไม่ตัดใจหนีตามมูซาชิมาในครั้งนั้นทำให้ชีวิตอนาคตเห็นทีจะดับสิ้นอยู่เพียงเท่านั้น
แต่ชายโฉดใจโหดอย่างมาตาฮาจิหรือจะยอมให้นางเป็นสุข ที่ออกจากหมู่บ้านมากับแม่เฒ่าและอานั้นไม่ใช่เพื่อตามตัวนางกลับคืนไปแต่หมายเข่นฆ่าให้สมแค้นต่างหาก
โอซือหนีและหนี จนหวุดหวิดจะถูกจับได้ก็หลายครั้ง จนกระทั่งมาประจันหน้ากันด้วยความบังเอิญที่คิโยมิซุวัดน้ำใสในนครหลวงไม่นานมานี้ ชายใจโหดชักดาบไล่ฟันนางจนแทบเอาชีวิตไม่รอด
ถ้าจะให้พูดด้วย ก็คงจะร้องทักลงไปได้แค่คำเดียวว่า
มีธุระอะไรรึ
แต่โอซือก็ปิดปากเงียบ ยิ่งคิดแค้นดวงตางามคู่นั้นก็ยิ่งวาววับด้วยความชิงชัง
“บอกให้ลงมา ไม่ได้ยินรึไง”
มาตาฮาจิขึ้นเสียงตะโกนซ้ำ
มาตาฮาจิและแม่เฒ่าโอซุงิผู้เป็นแม่ยังวางอำนาจกับนางเหมือนเมื่อครั้งที่ยังเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันที่บ้านเกิด เฉพาะแม่เฒ่านั้นดูถูกดูแคลนนางว่าเป็นลูกกำพร้าที่เติบโตขึ้นมาในวัดชิปโปจิประจำหมู่บ้าน และแสดงให้ใคร ๆ เห็นว่าที่รับนางมาเป็นสะใภ้ของตระกูลฮนอิเด็นก็เพราะความเมตตาปราณี แต่แท้จริงแล้วต้องการตัวไปใช้เป็นแรงงานมากกว่า โอซือรู้เช่นเห็นชาติคนในตระกูลนี้หมดแล้ว และคนอย่างนางน่ะรึจะยอมใครง่าย ๆ
ฟังจากเสียงเฉียบคมที่ร้องตอบลงไปก็รู้
“อะไรรึ ข้าไม่ไม่ลงไปหรอก ไม่ใช่ธุระ”
“ว่าไงนะ”
มาตาฮาจิปราดเข้าไปยึดชายกิโมโนเอาไว้
“ไม่ต้องพูดมาก ลงมาเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่มีธุระ แต่ข้ามี”
มาตาฮาจิตะโกนเสียงดังสนั่น ไม่สนใจว่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาหยุดมอง
ทันใดนั้นเอง โจทาโรนิ่งมองอยู่ก็หมดความอดทน เจ้าหนุ่มน้อยสะบัดเชือกจูงแม่วัวออกจากมือแล้วเดินส่ายอาด ๆ เข้าไปตะโกนใส่หน้าชายที่กำลังคุกคามโอซือ ด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน
“ก็คนเขาบอกว่าไม่ แล้วยังจะอะไรอีก”
โจทาโรไม่ได้ตะโกนอย่างเดียว แต่พุ่งตัวเข้าไปผลักอกมาตาฮาจิสุดแรงจนตัวเองล้มก้นกระแทกอยู่ตรงนั้น
“เฮ้ย อะไรวะ”
มาตาฮาจิเซไปทางหนึ่งรองเท้าฟางที่ใส่อยู่หลุดไปทางหนึ่ง เจ้าหนุ่มบ่นพลางใส่รองเท้าฟางเข้าที่ แล้วเดินไปหิ้วบ่าโจทาโรขึ้นมายืนตามเดิม
“เอ๊ะ เจ้าหมอนี่ เคยเห็นหน้าที่ไหนหว่า อ๋อ จำได้ละ เณรน้อยขี้มูกกรังที่ร้านเหล้า คิตาโนะนั้นเองแหละ เฮ้ย”
“ไม่ต้องพูดมาก ตัวเองตอนนั้นก็หงอก๋ออยู่ในโอวาทเจ้าแม่โรงเตี๊ยมโยโมงิ ถูกดุถูกด่าไม่เว้นแต่ละวัน”
โจทาโรตีถูกจุด
ไม่มีอะไรที่จะทำให้มาตาฮาจิเจ็บช้ำเท่าถูกขุดคุ้ยอดีตอันอดสูนั้นขึ้นมาประจานอีกแล้ว ซ้ำยังต่อหน้าโอซือด้วยอย่างนี้
“ไอ้เด็กเวร”
โจทาโรนกรู้ พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเอาเรื่องก็วิ่งหนีไปทางหัวแม่วัวพลาง ตะโกนยั่วให้เจ็บใจขึ้นไปอีก
“อวดดีมาเรียกข้าว่าเณรน้อยขี้มูกกรัง แล้วตัวเองล่ะอะไร เรียกว่าอะไรดีน้า พ่อหนุ่มขี้มูกย้อยถึงคาง ดีไม๊”
มาตาฮาจิเดือดดาลทำหน้าขมึงทึงกระโจนเข้าใส่หมายจัดการให้สาสม โจทาโรเอาตัวแม่วัวเป็นโล่กำบัง และวิ่งหนีไปรอบ ๆ แม่วัวสองสามรอบ ขณะที่มาตาฮาจิดักหน้าดักหลังจนในที่สุดก็คว้าตัวเอาไว้ได้
“กล้าดีนักรึ ไหนพูดอีกทีซี”
“ก็ได้”
ว่าแล้วชักดาบไม้เตรียมสู้ แต่ชักออกได้ไม่ถึงครึ่งก็ถูกโยนไปคุดคู้เหมือนแมวขโมยอยู่ในพุ่มไม้ข้างทาง
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โอซือฟื้นจากอาการเจ็บไข้และแข็งแรงขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างเดินทางบนหลังแม่วัว แต่ปัญหาที่นอกเหนือจากอาการเจ็บไข้นี่สิยังเรื้อรังไม่รู้จักคลี่คลายเสียที
เสียงร้องไห้กระซิกกระซี้ของนางและเสียงตวาดก้องด้วยความโกรธขึ้งที่น้ำตกคู่รักผสมผสานกันก้องอยู่ในอก สาวราวกับจะประกาศว่าโอซือกับมูซาชิจะไม่มีวันลงรอยกันไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเป็นหลายร้อยหลายพันปี และระหว่างนั้น
ข้าจะอยู่ได้ยังไง
นึกขึ้นมาคราวใด สาวเจ้าจะต้องถามตัวเองว่า
ทำไม ทำไม และทำไม
ทุกครั้งที่พบกันมูซาชิจะดีใจและปลื้มปิติ แสดงความรักและโหยหาที่จะร่วมชิดพิศวาสอย่างสุดจะอดกลั้นจากใจจริงของคนที่มีความรักต่อกันโดยแท้ แต่ทำไมนางถึงได้ปฏิเสธและขัดขืนทุกครั้งไป
ทำไม
โอซือเฝ้าถามใจตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ตรองแล้วตรองอีกด้วยความพยายามที่จะเข้าใจตัวเอง แต่ก็มาสะดุดอยู่ที่ข้อปุจจาที่ว่า
ผู้ชายไม่ว่าใคร พอได้โอกาสก็จะย่ำยีหญิงอย่างนี้ทุกคนเลยรึอย่างใด
นึกแล้วก็ให้รันทดสลดใจ และเมื่อข้ามผ่านภูเขามาโงเมะอันเป็นต้นน้ำของน้ำตกคู่รัก ต้นน้ำแห่งความรักอันศักดิ์สิทธิ์บริสุทธิ์ที่เก็บเอาไว้แนบอกอยาคนเดียวมานานปีก็เปลี่ยนไป กลายเป็นพลังรุนแรงและพลุ่งพล่านราวคลุ้มคลั่งอยู่ในอกไม่ผิดอะไรกับน้ำตกที่กระโจนจากผาสูงลงสู่แอ่งวังน้ำวน
ยิ่งคิดโอซือก็ยิ่งไม่เข้าใจตัวเอง
เมื่อถูกมูซาชิกอดรัดด้วยความพิศวาส นางขัดขืนสุดฤทธิ์จนเจ้าหนุ่ม โกรธ น้อยใจ และผละจากไปด้วยความทรนง แม้หน้าก็ไม่หันมามอง แต่ถึงกระนั้นนางก็ยังเดินทางตามเจ้าหนุ่มไปติด ๆ คอยระวังทุกฝีก้าวไม่ให้คลาดกันไปได้ ทำไมถึงได้ย้อนแย้งกันอย่างนี้
แน่นอน มูซาชิยังทิ้งระยะห่างกับโอซือที่ตามหลังมาเพียงให้เห็นหลังกันไว ๆ ไม่คิดที่จะชะลอฝีเท้าให้แม่วัวก้าวเดินมาทัน เพื่อจะได้เจรจาพาทตามประสาคู่รัก
ถึงกระนั้นมูซาชิก็ยังยึดมั่นตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันว่าจะไปเจอกันที่เอโดะ แม้โจทาโรจะเถลไถลหลบไปวิ่งเล่นบ้าง เจ้าหนุ่มก็จะหยุดรอ
หลังเดินผ่านห้าเมืองเจ็ดเส้นทางจนมาถึงทางเลี้ยวที่วัดโคเซ็นจิ และเดินขึ้นไปสุดเนินก็เห็นรั้วด่านตรวจนักเดินทางอยู่ไกล ๆ
หลังการรบพุ่งช้งอำนาจครั้งใหญ่ที่เซกิงาฮาระ แว่นแคว้นต่าง ๆ ก็ได้ตั้งด่านตรวจนักเดินทางซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกซามูไรไร้นาย พวกมิจฉาชีพ และผู้หญิงอย่างเคร่งครัด ดีที่โอซือมีจดหมายแนะนำตัวจากตระกูลคาราซุมารุผู้ยิ่งใหญ่แห่งเกียวโตติดตัวมาด้วย จึงผ่านได้สบายโดยไม่มีปัญหา
และพอแม่วัวที่มีโอซืออยู่บนหลังก้าวเดินผ่านร้านน้ำชาที่เรียงรายอยู่สองข้างทาง ก็มีเสียงซุบซิบดังมาเข้าหูเจ้าหนุ่มน้อยโจทาโร
“โอซือ ฟุเก็น คืออะไรเหรอ ข้าเห็นคนเดินทาง และหลวงพ่อที่นั่งดื่มน้ำชากันอยู่ข้างทางชี้มาที่โอซือ แล้วซุบซิบกันว่า ฟุเก็นซามะขี่แม่วัวมา”
“อ๋อ ฟุเก็นซามะ ก็คือพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ไงล่ะ”
“พระสมันตภัทรโพธิสัตว์เหรอ งั้นข้าก็คือมนจุซามะ พระมัญชุศรีโพธิสัตว์ เพราะสององค์นี่ไปที่ไหนจะเห็นอยู่คู่กันตลอด”
“พระมัญชุศรีโพธิสัตว์จอมตะกละน่ะซี”
“เข้ากับพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ขี้แยพอดีเลยไหม”
“เอาอีกแล้ว”
โอซือหน้าแดงเรื่อเมื่อถูกเย้าแหย่
“โอซือรู้ไหมว่าทำไมท่านโพธิสัตว์ทั้งสององค์ถึงได้อยู่ด้วยกันตลอด ไม่ใช่ผู้ชายกับผู้หญิงสักหน่อย”
โจทาโรถามแปลก ๆ
โอซือเติบโตขึ้นมาในวัดจึงรู้ดี แต่จะอธิบายยืดยาวไปเจ้าหนุ่มน้อยคงไม่ทนนิ่งฟัง ก็เลยบอกสั้น ๆ
“มัญชุศรีโพธิสัตว์เป็นพระผู้ทรงปัญญา ส่วนพระสมันตภัทรโพธิสัตว์คือพระผู้ปฏิบัติธรรม”
โอซือพูดยังไม่ทันขนาดคำ ชายคนหนึ่งที่เดินตามแม่วัวมาเหมือนแมลงวันจากที่ไหนสักแห่งและไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ก็ส่งเสียงเรียกเอาไว้
ฮนอิเด็น มาตาฮาจิ
ที่โจทาโรเห็นแวบหนึ่งในเมืองฟุกุชิมะก่อนหน้านี้นั่นเอง
2
คงจะดักรออยู่นานแล้วละซี
---ผู้ชายหน้าโง่
แค่เห็นหน้าก็คลื่นเหียนแทบอาเจียน ไม่อยากจะมอง
โอซือนึกสบประมาทอดีตคู่หมั้นหมายที่บ้านเกิดอยู่ในใจ
ทางด้านมาตาฮาจินั้นเล่าพอเห็นหน้านางที่นั่งชูคอสง่างามอยู่บนหลังแม่วัว เลือดทั่วกายก็เดือนพล่านด้วยความรักระคนแค้น อารมณ์พุ่งแรงจนไร้สติ
มาตาฮาจิเดินทางมุ่งหน้าไปยังเอโดะบนเส้นทางเดียวกัน แม้จะตามไปห่าง ๆ แต่ก็เห็นมูซาชิกับโอซือพะเน้าพะนอคลอเคลียพลอดรักกันบ้างเง้างอนกันบ้างมาตลอดทาง แล้วก็รู้ด้วยว่าคงจะขัดใจกันรุนแรงถึงกับเดินทิ้งระยะห่างกันไกล แค่เห็นในที่แจ้งตอนกลางวันก็ทำให้เจ้าหนุ่มผู้อาภัพรักคุ้มคลั่งพอแล้ว ครั้นมืดค่ำเข้าที่พักถึงเวลาที่จะได้อยู่กันสองต่อสอง จินตนาการก็ทรมานเจ้าหนุ่มอย่างสุดเจ็บปวด หัวใจร้าวรานรุนแรงจนไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้ทุกค่ำคืน
“ลงมา”
มาตาฮาจิร้องสั่ง ทำวางอำนาจ
โอซือนั่งเบือนหน้าอยู่อย่างนั้น ไม่มีคำตอบให้แก่ผู้ชายใจโหดเห็นแก่ตัวคนนี้ ไม่รู้ว่าไปทำเวรทำกรรมอันใดไว้ในชาติก่อนจึงต้องมาชดใช้ด้วยการตกเป็นคู่หมั้นหมายของชายโฉดใจโหดผู้นี้ตั้งแต่แรกรุ่น ถ้าไม่ตัดใจหนีตามมูซาชิมาในครั้งนั้นทำให้ชีวิตอนาคตเห็นทีจะดับสิ้นอยู่เพียงเท่านั้น
แต่ชายโฉดใจโหดอย่างมาตาฮาจิหรือจะยอมให้นางเป็นสุข ที่ออกจากหมู่บ้านมากับแม่เฒ่าและอานั้นไม่ใช่เพื่อตามตัวนางกลับคืนไปแต่หมายเข่นฆ่าให้สมแค้นต่างหาก
โอซือหนีและหนี จนหวุดหวิดจะถูกจับได้ก็หลายครั้ง จนกระทั่งมาประจันหน้ากันด้วยความบังเอิญที่คิโยมิซุวัดน้ำใสในนครหลวงไม่นานมานี้ ชายใจโหดชักดาบไล่ฟันนางจนแทบเอาชีวิตไม่รอด
ถ้าจะให้พูดด้วย ก็คงจะร้องทักลงไปได้แค่คำเดียวว่า
มีธุระอะไรรึ
แต่โอซือก็ปิดปากเงียบ ยิ่งคิดแค้นดวงตางามคู่นั้นก็ยิ่งวาววับด้วยความชิงชัง
“บอกให้ลงมา ไม่ได้ยินรึไง”
มาตาฮาจิขึ้นเสียงตะโกนซ้ำ
มาตาฮาจิและแม่เฒ่าโอซุงิผู้เป็นแม่ยังวางอำนาจกับนางเหมือนเมื่อครั้งที่ยังเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันที่บ้านเกิด เฉพาะแม่เฒ่านั้นดูถูกดูแคลนนางว่าเป็นลูกกำพร้าที่เติบโตขึ้นมาในวัดชิปโปจิประจำหมู่บ้าน และแสดงให้ใคร ๆ เห็นว่าที่รับนางมาเป็นสะใภ้ของตระกูลฮนอิเด็นก็เพราะความเมตตาปราณี แต่แท้จริงแล้วต้องการตัวไปใช้เป็นแรงงานมากกว่า โอซือรู้เช่นเห็นชาติคนในตระกูลนี้หมดแล้ว และคนอย่างนางน่ะรึจะยอมใครง่าย ๆ
ฟังจากเสียงเฉียบคมที่ร้องตอบลงไปก็รู้
“อะไรรึ ข้าไม่ไม่ลงไปหรอก ไม่ใช่ธุระ”
“ว่าไงนะ”
มาตาฮาจิปราดเข้าไปยึดชายกิโมโนเอาไว้
“ไม่ต้องพูดมาก ลงมาเดี๋ยวนี้ เจ้าไม่มีธุระ แต่ข้ามี”
มาตาฮาจิตะโกนเสียงดังสนั่น ไม่สนใจว่าผู้คนที่เดินผ่านไปมาหยุดมอง
ทันใดนั้นเอง โจทาโรนิ่งมองอยู่ก็หมดความอดทน เจ้าหนุ่มน้อยสะบัดเชือกจูงแม่วัวออกจากมือแล้วเดินส่ายอาด ๆ เข้าไปตะโกนใส่หน้าชายที่กำลังคุกคามโอซือ ด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน
“ก็คนเขาบอกว่าไม่ แล้วยังจะอะไรอีก”
โจทาโรไม่ได้ตะโกนอย่างเดียว แต่พุ่งตัวเข้าไปผลักอกมาตาฮาจิสุดแรงจนตัวเองล้มก้นกระแทกอยู่ตรงนั้น
“เฮ้ย อะไรวะ”
มาตาฮาจิเซไปทางหนึ่งรองเท้าฟางที่ใส่อยู่หลุดไปทางหนึ่ง เจ้าหนุ่มบ่นพลางใส่รองเท้าฟางเข้าที่ แล้วเดินไปหิ้วบ่าโจทาโรขึ้นมายืนตามเดิม
“เอ๊ะ เจ้าหมอนี่ เคยเห็นหน้าที่ไหนหว่า อ๋อ จำได้ละ เณรน้อยขี้มูกกรังที่ร้านเหล้า คิตาโนะนั้นเองแหละ เฮ้ย”
“ไม่ต้องพูดมาก ตัวเองตอนนั้นก็หงอก๋ออยู่ในโอวาทเจ้าแม่โรงเตี๊ยมโยโมงิ ถูกดุถูกด่าไม่เว้นแต่ละวัน”
โจทาโรตีถูกจุด
ไม่มีอะไรที่จะทำให้มาตาฮาจิเจ็บช้ำเท่าถูกขุดคุ้ยอดีตอันอดสูนั้นขึ้นมาประจานอีกแล้ว ซ้ำยังต่อหน้าโอซือด้วยอย่างนี้
“ไอ้เด็กเวร”
โจทาโรนกรู้ พอเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะเอาเรื่องก็วิ่งหนีไปทางหัวแม่วัวพลาง ตะโกนยั่วให้เจ็บใจขึ้นไปอีก
“อวดดีมาเรียกข้าว่าเณรน้อยขี้มูกกรัง แล้วตัวเองล่ะอะไร เรียกว่าอะไรดีน้า พ่อหนุ่มขี้มูกย้อยถึงคาง ดีไม๊”
มาตาฮาจิเดือดดาลทำหน้าขมึงทึงกระโจนเข้าใส่หมายจัดการให้สาสม โจทาโรเอาตัวแม่วัวเป็นโล่กำบัง และวิ่งหนีไปรอบ ๆ แม่วัวสองสามรอบ ขณะที่มาตาฮาจิดักหน้าดักหลังจนในที่สุดก็คว้าตัวเอาไว้ได้
“กล้าดีนักรึ ไหนพูดอีกทีซี”
“ก็ได้”
ว่าแล้วชักดาบไม้เตรียมสู้ แต่ชักออกได้ไม่ถึงครึ่งก็ถูกโยนไปคุดคู้เหมือนแมวขโมยอยู่ในพุ่มไม้ข้างทาง