นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
คนหนึ่งขี่หลังคนหนึ่งจูงแม่วัวเดินเลี้ยวลัดผ่านป่าเขามาถึงคิโซจิ หิมะที่เกาะหนาบนพื้นดินเริ่มประปราย
แสงสีขาวคมวับราวคมทวนเสียบฟ้าสูงบ้างต่ำบ้างคือเทือกเขาโคมางาทาเกะ และสีขาวที่เห็นเป็นจุดประ ๆ ผ่านกิ่งไม้ใบไม้และดอกตูมแดงระเรื่ออยู่ไกล ๆ คือหิมะบนยอดเขามิตาเกะ
สีเขียวอ่อน ๆ แต่งแต้มเป็นหย่อม ๆ อยู่บนพื้นไร่พื้นนาและข้างทาง ทุกชีวิตพร้อมเติบโตหลังชะงักงันอยู่ในความหนาวเย็น หญ้าอ่อนงอกงามผงาดสู้แม้ถูกเหยียบย้ำซ้ำแล้วเล่าก็ไม่อนาทร
ยิ่งท้องของโจทาโรผู้กำลังโตด้วยแล้วมีหรือจะไม่ร้องอุทธรณ์อ้างสิทธิ์ที่จะได้อาหาร ข้ามปีมานี้เจ้าหนุ่มน้อยสูงเพรียวขึ้นมากแม้จะไม่กำยำล่ำสัน ผมที่มัดเอาไว้หากสยายออกก็น่าจะยาวลงมาเกือบถึงกลางหลัง แววของเด็กชายน้อยน่าเอ็นดูเลือนไปจากใบหน้ามากแล้ว ใบหน้าของเจ้าหนุ่มที่กำลังย่างเข้าวัยรุ่นคมคายขึ้นมีท่าว่าจะเติบโตขึ้นเป็นชายผู้มีอนาคตไกลคนหนึ่ง
ชีวิตของโจทาโรล่องลอยไปตามกระแสคลื่นแห่งดวงชะตามาตั้งแต่จำความได้ ครั้งหนึ่งมีคนเก็บไปอุปถัมภ์แต่แล้วก็ต้องถูกทิ้งให้กลับไปเร่ร่อนอีกครั้ง เจ้าหนุ่มน้อยเดินทางระหกระเหินมาก็มาก แต่ความคึกคะนองด้วยพละกำลังอันเหลือเฟือไม่ได้ทำให้ต้องตกระกำลำบากไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แวดล้อมที่ย่ำแย่แค่ไหน จึงช่วยไม่ได้ที่จะกลายเป็นคนเชื่อมั่นในตนเองและบางครั้งคราก็ทำอะไรแปลก ๆ
โอซือไม่เคยถือสาจนกระทั่งไม่นานมานี้ที่นางเริ่มรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มที่เคยว่านอนสอนง่าย ชักจะไม่ค่อยจะฟังคำนางเสียแล้ว บางครั้งถึงกับแข็งกร้าวเข้าใส่จนนางต้องแอบร้องไห้ด้วยความน้อยใจ
ทำไมเจ้าทำอย่างนั้นกับข้า หรือว่าข้าจะตามใจมากเกินไปเจ้าถึงได้บังอาจหืออือ
นางเคยถอนใจด้วยความระอาและจ้องตาเป็นเชิงปราม
แต่คิดหรือว่าจะได้ผล ในเมื่อโจทาโรรู้ใจนางจนปรุโปร่งไปหมดทุกอย่าง เห็นทำหน้าดุหมายจะให้กลัวอย่างนั้น ใจจริงแล้วรักเอ็นดูตนราวกับอะไรดี จึงอ้อนเอาอะไรเอาเรื่อยมา
ฤดูนี้เจ้าหนุ่มน้อยเจริญอาหารยิ่งนัก หิวไม่หยุด อยากกินทุกอย่างที่ผ่านหน้า พอเห็นเขาขายอะไรเป็นต้องเร่เข้าไปดูและออดอ้อนให้โอซือซื้อ ไม่ยอมเดินผ่านไปง่าย ๆ
“โอซือ ซื้อนั่นให้หน่อยสิ น่ากินจัง”
โจทาโรอ้อนและไม่ยอมเดินต่อเมื่อเดินมาถึงย่านที่เคยเป็นที่ตั้งป้อมปราการของอิไม คาเนฮิระ แม่ทัพแห่งแคว้นคิโซะ ซึ่งมีร้านขนมข้าวกรอบคาเนฮิระเซ็มเบ ตั้งขายอยู่เรียงราย
สุดท้ายโอซือก็ต้องยอมแพ้ ตกลงซื้อให้แต่กำชับว่า
“อย่างเดียวเท่านั้นนะ”
โจทาโรเดินไปเคี้ยวขนมกรอบแกรบไปยังไม่ทันพ้นแถวแนวร้านค้าคาเนฮิระเซ็มเบก็หมดห่อ และทำหน้าว่าอยากกินอะไรอีก
โอซือลืมตาตื่นหลังงีบไปครู่หนึ่ง และพอเห็นว่าใกล้เที่ยงวันแล้วจึงชวนโจทาโรหยุดกินข้าวกลางวันกันที่ชายคาโรงเตี๊ยม ก่อนออกเดินข้ามสันเขาต่อไปและพอมาถึงย่านอาเงมัตสึ เจ้าหนุ่มน้อยก็เอาอีก คราวนี้ถามเป็นปริศนา
“โอซือ โอซือ เขาตากลูกพลับไว้เป็นแถวเลย ไม่อยากกินลูกพลับแห้งบ้างเหรอ”
โอซือนิ่งเหมือนแม่วัวที่ขี่อยู่ทำเป็นไม่ได้ยินก็เลยผ่านลูกพลับแห้งไปได้ แต่ไม่นานพอเดินผ่านเมืองฟุกุชิมะแห่ง ชินาโนะซึ่งเจริญที่สุดในแคว้นคิโซะ โจทาโรก็ร้องหิวอีกทั้งที่เพิ่งบ่ายอ่อน ๆ
“หยุดพักกันเถอะโอซือ ตรงนั้นแน่ะร่มดี นะ นะ พักกันก่อนนะ”
เจ้าหนุ่มน้อยทำเสียงอ้อนเหมือนเด็ก ๆ เช่นเคย แล้วก็หยุดยืนนิ่งทำท่าดื้อแพ่ง
“กินขนมโมจิคลุกผงถั่วทองกันดีกว่า น่ากินชะมัดเลย โอซือเกลียดเหรอ”
โดนเข้าอย่างนี้โอซือชักงง ไม่รู้อ้อนให้ซื้อหรือว่าขู่บังคับกันแน่ แต่ถึงยังไงนางก็ไม่มีทางเลือก ถึงจะหงุดหงิดบ่นว่าก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อเชือกจูงแม่วัวอยู่ในมือโจทาโร ถ้าเจ้าหนุ่มน้อยไม่จูงมันให้เดินไปก็ไม่มีวันี่จะผ่านหน้าร้าน โมจิคลุกผงถั่วทองไปได้
“พอทีเถอะโจทาโร แต่ถ้ายังอยากงอแงอยู่ก็ตามใจ”
โอซือเห็นว่าขืนทำใจดีอยู่อย่างนี้เจ้าหนุ่มน้อยจะได้ใจจึงฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง นางร้องปรามและจ้องตาลงมาจากหลังแม่วัวที่ได้โอกาสหยุดยืนเล็มหญ้าอ่อนข้างทาง
“ข้าจะเดินล่วงหน้าไปฟ้องท่านมูซาชิก่อนเลย”
โอซือขู่แล้วทำท่าจะลงจากหลังแม่วัว โจทาโรไม่ห้ามแต่กลับยืนหัวเราะอย่างขบขัน
2
“อ้าว ทำไมไม่ลงมาล่ะ”
โจทาโรแหย่ เพราะรู้ว่ายังไง ๆ โอซือก็ไม่มีวันล่วงหน้าไปฟ้องมูซาชิตามคำขู่
ส่วนโอซือลงมาจากหลังแม่วัวแล้วก็ต้องเลยตามเลย ทำหน้าตาเฉยเดินนำหน้าไปที่ร้านขนมโมจิคลุกผงถั่วทอง
“กินเร็ว ๆ ละกัน”
เจ้าหนุ่มน้อยวิ่งตามเข้าไปร้องสั่งเสียงใส
“คุณป้าขอรับ ขอสองถาด”
ก่อนหันไปผูกแม่วัวไว้กับเสาที่ชายคา
“ใครบอกว่าข้าจะกิน”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“คนเสียสติเท่านั้นแหละถึงจะกินไม่หยุดปากได้อย่างนั้น”
“ก็ดี ข้าจะได้กินสองถาด”
“อ่อนใจจริง เจ้าเด็กคนนี้”
ใครจะว่ายังไงไม่สนเพราะหูของโจทาโรไม่ได้มีไว้สำหรับฟังเวลากิน
ดาบไม้ที่ไม่มีอะไรน่าเกรงขามที่เหน็บเอวอยู่คงทิ่มสีข้างให้รำคาญเวลานั่งลงกินขนมจึงเลื่อนเอาไปไว้ข้างหลัง ก่อนนั่งเคี้ยวขนมโมจิตุ้ย ๆ พลางมองคนที่เดินผ่านไปมาด้วยความสำราญบานใจ
“กินเร็ว ๆ หน่อยได้ไหม มัวแต่มองนั่นมองนี่อยู่นั่นแหละ”
“เอ๊ะ...”
โจทาโรรีบหยิบขมโมจิชิ้นสุดท้ายในถาดใส่ปาก ถลันออกไปที่ข้างถนนแล้วยกมือขึ้นป้องดูคล้ายเห็นอะไรและจะมองให้ถนัดตา
“เสร็จแล้วใช่ไหม”
โอซือลุกตามไปแต่โจทาโรกลับมายึดตัวเอาไว้แล้วดันให้กลับไปนั่งที่เดิม
“รอเดี๋ยว”
“ยังจะกินอีกเหรอ”
“ไม่ใช่ ข้าเห็นมาตาฮาจิเดินไปทางโน้น”
“ไม่จริง”
โอซือส่ายหน้า
“คนอย่างมาตาฮาจิน่ะรึ ไม่มีทางมาเดินอยู่แถวนี้หรอก”
“มีหรือไม่มีข้าไม่รู้ แต่มาตาฮาจิเดินใส่หมวกสานหลุบหน้าไปทางโน้นเมื่อกี้นี้เอง โอซือไม่เห็นหรอกรึ ข้าเห็น
เขามองจ้องมาที่ข้ากับโอซือนะ”
“จริงเหรอ”
“ไม่เชื่อรึ งั้นข้าไปเรียกมานะ”
ไม่ต้องเลย โอซือร้องอยู่ในใจ แค่ได้ยินชื่อไข้ก็แทบขึ้น หน้าซีดขาวเหมือนกลับไปเป็นคนป่วยอีกครั้ง
“ล้อเล่นน่า ใครจะไปเรียกมา และไม่ต้องกลัว ถ้าขืนมาทำอะไรโอซือ ข้าจะวิ่งไปเรียกท่านมูซาชิมาจัดการ”
โอซือกลัวมาตาฮาจิไม่อยากจะออกไปที่ถนน แต่ก็ทาอดกลั้นความกลัวเอาไว้เพราะขืนละล้าละลังอยู่ก็จะยิ่งทิ้งระยะห่างจากมูซาชิที่ล่วงหน้าไปกี่สิบโยชน์แล้วก็ไม่รู้
คิดได้ดังนั้นจึงกลับขึ้นไปนั่งบนหลังแม่วัว ร่างกายไม่เป็นไรแม้จะเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วย แต่ใจนี่สิไม่สู้เอาเลย แค่มีอะไรสะเทือนอารมณ์นิดเดียว ใจก็เต้นรัวไม่สงบลงง่าย ๆ
“นี่แน่ะ โอซือ ข้ารู้สึกว่าสามคนนี่แปลกพิลึกยังไงไม่รู้”
อยู่ ๆ โจทาโรที่เดินนำหน้าแม่วัวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองไปที่ริมฝีปากซีด ๆ ของโอซือพร้อมกับบอกว่า
“ข้าว่ามันแปลกอยู่ ตอนที่ท่านมูซาชิ โอซือ และข้า เดินข้ามสันเขามาโงเมะมาด้วยกัน เราสามคนก็พูดคุยกันสนิทสนมดีฉันคนคุ้นเคยที่ไม่พบกันมานาน แต่หลังจากที่มาถึงหน้าผาเหนือขึ้นไปจากแอ่งน้ำตก ทำไมท่านถึงได้เงียบกันไปหมดทั้งสองคน ไม่เห็นพูดกันเลย ข้าถามคำก็ตอบคำ ข้าถึงได้บอกว่าแปลกพิลึก”
พอโอซือไม่ตอบ เจ้าหนุ่มน้อยก็ซักต่อ
“เป็นอะไรไปรึ โอซือ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น เวลาเดินก็เดินกันคนละฟากถนน เวลานอนก็แยกห้องกันนอน ทะเลาะกันเหรอ”
ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง
โอซือค่อนอยู่ในใจ
พอหมดเรื่องกิน ก็หาเรื่องมาคุยไม่หยุด อยากพูดก็พูดไปไม่ว่าอะไรกัน แต่อย่ามาถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวของเขาได้ไหม เป็นเด็กไม่รู้จักอยู่ส่วนเด็ก ข้าจะเป็นยังไงมูซาชิจะเป็นยังไงทำไม ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องรู้สักหน่อย แล้วนี่ถามไม่พอยังมีหยอกเย้าเรื่องนงเรื่องนอนอีก
เจ้าเป็นเด็กจะอยากรู้ไปทำไม
โอซือกล้ำกลืนความขมขื่นเอาไว้ในอก ไม่มีอารมณ์ที่จะต่อปากต่อคำกับโจทาโรให้ยืดเยื้อ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
คนหนึ่งขี่หลังคนหนึ่งจูงแม่วัวเดินเลี้ยวลัดผ่านป่าเขามาถึงคิโซจิ หิมะที่เกาะหนาบนพื้นดินเริ่มประปราย
แสงสีขาวคมวับราวคมทวนเสียบฟ้าสูงบ้างต่ำบ้างคือเทือกเขาโคมางาทาเกะ และสีขาวที่เห็นเป็นจุดประ ๆ ผ่านกิ่งไม้ใบไม้และดอกตูมแดงระเรื่ออยู่ไกล ๆ คือหิมะบนยอดเขามิตาเกะ
สีเขียวอ่อน ๆ แต่งแต้มเป็นหย่อม ๆ อยู่บนพื้นไร่พื้นนาและข้างทาง ทุกชีวิตพร้อมเติบโตหลังชะงักงันอยู่ในความหนาวเย็น หญ้าอ่อนงอกงามผงาดสู้แม้ถูกเหยียบย้ำซ้ำแล้วเล่าก็ไม่อนาทร
ยิ่งท้องของโจทาโรผู้กำลังโตด้วยแล้วมีหรือจะไม่ร้องอุทธรณ์อ้างสิทธิ์ที่จะได้อาหาร ข้ามปีมานี้เจ้าหนุ่มน้อยสูงเพรียวขึ้นมากแม้จะไม่กำยำล่ำสัน ผมที่มัดเอาไว้หากสยายออกก็น่าจะยาวลงมาเกือบถึงกลางหลัง แววของเด็กชายน้อยน่าเอ็นดูเลือนไปจากใบหน้ามากแล้ว ใบหน้าของเจ้าหนุ่มที่กำลังย่างเข้าวัยรุ่นคมคายขึ้นมีท่าว่าจะเติบโตขึ้นเป็นชายผู้มีอนาคตไกลคนหนึ่ง
ชีวิตของโจทาโรล่องลอยไปตามกระแสคลื่นแห่งดวงชะตามาตั้งแต่จำความได้ ครั้งหนึ่งมีคนเก็บไปอุปถัมภ์แต่แล้วก็ต้องถูกทิ้งให้กลับไปเร่ร่อนอีกครั้ง เจ้าหนุ่มน้อยเดินทางระหกระเหินมาก็มาก แต่ความคึกคะนองด้วยพละกำลังอันเหลือเฟือไม่ได้ทำให้ต้องตกระกำลำบากไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์แวดล้อมที่ย่ำแย่แค่ไหน จึงช่วยไม่ได้ที่จะกลายเป็นคนเชื่อมั่นในตนเองและบางครั้งคราก็ทำอะไรแปลก ๆ
โอซือไม่เคยถือสาจนกระทั่งไม่นานมานี้ที่นางเริ่มรู้สึกว่าเจ้าหนุ่มที่เคยว่านอนสอนง่าย ชักจะไม่ค่อยจะฟังคำนางเสียแล้ว บางครั้งถึงกับแข็งกร้าวเข้าใส่จนนางต้องแอบร้องไห้ด้วยความน้อยใจ
ทำไมเจ้าทำอย่างนั้นกับข้า หรือว่าข้าจะตามใจมากเกินไปเจ้าถึงได้บังอาจหืออือ
นางเคยถอนใจด้วยความระอาและจ้องตาเป็นเชิงปราม
แต่คิดหรือว่าจะได้ผล ในเมื่อโจทาโรรู้ใจนางจนปรุโปร่งไปหมดทุกอย่าง เห็นทำหน้าดุหมายจะให้กลัวอย่างนั้น ใจจริงแล้วรักเอ็นดูตนราวกับอะไรดี จึงอ้อนเอาอะไรเอาเรื่อยมา
ฤดูนี้เจ้าหนุ่มน้อยเจริญอาหารยิ่งนัก หิวไม่หยุด อยากกินทุกอย่างที่ผ่านหน้า พอเห็นเขาขายอะไรเป็นต้องเร่เข้าไปดูและออดอ้อนให้โอซือซื้อ ไม่ยอมเดินผ่านไปง่าย ๆ
“โอซือ ซื้อนั่นให้หน่อยสิ น่ากินจัง”
โจทาโรอ้อนและไม่ยอมเดินต่อเมื่อเดินมาถึงย่านที่เคยเป็นที่ตั้งป้อมปราการของอิไม คาเนฮิระ แม่ทัพแห่งแคว้นคิโซะ ซึ่งมีร้านขนมข้าวกรอบคาเนฮิระเซ็มเบ ตั้งขายอยู่เรียงราย
สุดท้ายโอซือก็ต้องยอมแพ้ ตกลงซื้อให้แต่กำชับว่า
“อย่างเดียวเท่านั้นนะ”
โจทาโรเดินไปเคี้ยวขนมกรอบแกรบไปยังไม่ทันพ้นแถวแนวร้านค้าคาเนฮิระเซ็มเบก็หมดห่อ และทำหน้าว่าอยากกินอะไรอีก
โอซือลืมตาตื่นหลังงีบไปครู่หนึ่ง และพอเห็นว่าใกล้เที่ยงวันแล้วจึงชวนโจทาโรหยุดกินข้าวกลางวันกันที่ชายคาโรงเตี๊ยม ก่อนออกเดินข้ามสันเขาต่อไปและพอมาถึงย่านอาเงมัตสึ เจ้าหนุ่มน้อยก็เอาอีก คราวนี้ถามเป็นปริศนา
“โอซือ โอซือ เขาตากลูกพลับไว้เป็นแถวเลย ไม่อยากกินลูกพลับแห้งบ้างเหรอ”
โอซือนิ่งเหมือนแม่วัวที่ขี่อยู่ทำเป็นไม่ได้ยินก็เลยผ่านลูกพลับแห้งไปได้ แต่ไม่นานพอเดินผ่านเมืองฟุกุชิมะแห่ง ชินาโนะซึ่งเจริญที่สุดในแคว้นคิโซะ โจทาโรก็ร้องหิวอีกทั้งที่เพิ่งบ่ายอ่อน ๆ
“หยุดพักกันเถอะโอซือ ตรงนั้นแน่ะร่มดี นะ นะ พักกันก่อนนะ”
เจ้าหนุ่มน้อยทำเสียงอ้อนเหมือนเด็ก ๆ เช่นเคย แล้วก็หยุดยืนนิ่งทำท่าดื้อแพ่ง
“กินขนมโมจิคลุกผงถั่วทองกันดีกว่า น่ากินชะมัดเลย โอซือเกลียดเหรอ”
โดนเข้าอย่างนี้โอซือชักงง ไม่รู้อ้อนให้ซื้อหรือว่าขู่บังคับกันแน่ แต่ถึงยังไงนางก็ไม่มีทางเลือก ถึงจะหงุดหงิดบ่นว่าก็ไร้ประโยชน์ ในเมื่อเชือกจูงแม่วัวอยู่ในมือโจทาโร ถ้าเจ้าหนุ่มน้อยไม่จูงมันให้เดินไปก็ไม่มีวันี่จะผ่านหน้าร้าน โมจิคลุกผงถั่วทองไปได้
“พอทีเถอะโจทาโร แต่ถ้ายังอยากงอแงอยู่ก็ตามใจ”
โอซือเห็นว่าขืนทำใจดีอยู่อย่างนี้เจ้าหนุ่มน้อยจะได้ใจจึงฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง นางร้องปรามและจ้องตาลงมาจากหลังแม่วัวที่ได้โอกาสหยุดยืนเล็มหญ้าอ่อนข้างทาง
“ข้าจะเดินล่วงหน้าไปฟ้องท่านมูซาชิก่อนเลย”
โอซือขู่แล้วทำท่าจะลงจากหลังแม่วัว โจทาโรไม่ห้ามแต่กลับยืนหัวเราะอย่างขบขัน
2
“อ้าว ทำไมไม่ลงมาล่ะ”
โจทาโรแหย่ เพราะรู้ว่ายังไง ๆ โอซือก็ไม่มีวันล่วงหน้าไปฟ้องมูซาชิตามคำขู่
ส่วนโอซือลงมาจากหลังแม่วัวแล้วก็ต้องเลยตามเลย ทำหน้าตาเฉยเดินนำหน้าไปที่ร้านขนมโมจิคลุกผงถั่วทอง
“กินเร็ว ๆ ละกัน”
เจ้าหนุ่มน้อยวิ่งตามเข้าไปร้องสั่งเสียงใส
“คุณป้าขอรับ ขอสองถาด”
ก่อนหันไปผูกแม่วัวไว้กับเสาที่ชายคา
“ใครบอกว่าข้าจะกิน”
“อ้าว ทำไมล่ะ”
“คนเสียสติเท่านั้นแหละถึงจะกินไม่หยุดปากได้อย่างนั้น”
“ก็ดี ข้าจะได้กินสองถาด”
“อ่อนใจจริง เจ้าเด็กคนนี้”
ใครจะว่ายังไงไม่สนเพราะหูของโจทาโรไม่ได้มีไว้สำหรับฟังเวลากิน
ดาบไม้ที่ไม่มีอะไรน่าเกรงขามที่เหน็บเอวอยู่คงทิ่มสีข้างให้รำคาญเวลานั่งลงกินขนมจึงเลื่อนเอาไปไว้ข้างหลัง ก่อนนั่งเคี้ยวขนมโมจิตุ้ย ๆ พลางมองคนที่เดินผ่านไปมาด้วยความสำราญบานใจ
“กินเร็ว ๆ หน่อยได้ไหม มัวแต่มองนั่นมองนี่อยู่นั่นแหละ”
“เอ๊ะ...”
โจทาโรรีบหยิบขมโมจิชิ้นสุดท้ายในถาดใส่ปาก ถลันออกไปที่ข้างถนนแล้วยกมือขึ้นป้องดูคล้ายเห็นอะไรและจะมองให้ถนัดตา
“เสร็จแล้วใช่ไหม”
โอซือลุกตามไปแต่โจทาโรกลับมายึดตัวเอาไว้แล้วดันให้กลับไปนั่งที่เดิม
“รอเดี๋ยว”
“ยังจะกินอีกเหรอ”
“ไม่ใช่ ข้าเห็นมาตาฮาจิเดินไปทางโน้น”
“ไม่จริง”
โอซือส่ายหน้า
“คนอย่างมาตาฮาจิน่ะรึ ไม่มีทางมาเดินอยู่แถวนี้หรอก”
“มีหรือไม่มีข้าไม่รู้ แต่มาตาฮาจิเดินใส่หมวกสานหลุบหน้าไปทางโน้นเมื่อกี้นี้เอง โอซือไม่เห็นหรอกรึ ข้าเห็น
เขามองจ้องมาที่ข้ากับโอซือนะ”
“จริงเหรอ”
“ไม่เชื่อรึ งั้นข้าไปเรียกมานะ”
ไม่ต้องเลย โอซือร้องอยู่ในใจ แค่ได้ยินชื่อไข้ก็แทบขึ้น หน้าซีดขาวเหมือนกลับไปเป็นคนป่วยอีกครั้ง
“ล้อเล่นน่า ใครจะไปเรียกมา และไม่ต้องกลัว ถ้าขืนมาทำอะไรโอซือ ข้าจะวิ่งไปเรียกท่านมูซาชิมาจัดการ”
โอซือกลัวมาตาฮาจิไม่อยากจะออกไปที่ถนน แต่ก็ทาอดกลั้นความกลัวเอาไว้เพราะขืนละล้าละลังอยู่ก็จะยิ่งทิ้งระยะห่างจากมูซาชิที่ล่วงหน้าไปกี่สิบโยชน์แล้วก็ไม่รู้
คิดได้ดังนั้นจึงกลับขึ้นไปนั่งบนหลังแม่วัว ร่างกายไม่เป็นไรแม้จะเพิ่งฟื้นจากอาการเจ็บป่วย แต่ใจนี่สิไม่สู้เอาเลย แค่มีอะไรสะเทือนอารมณ์นิดเดียว ใจก็เต้นรัวไม่สงบลงง่าย ๆ
“นี่แน่ะ โอซือ ข้ารู้สึกว่าสามคนนี่แปลกพิลึกยังไงไม่รู้”
อยู่ ๆ โจทาโรที่เดินนำหน้าแม่วัวอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองไปที่ริมฝีปากซีด ๆ ของโอซือพร้อมกับบอกว่า
“ข้าว่ามันแปลกอยู่ ตอนที่ท่านมูซาชิ โอซือ และข้า เดินข้ามสันเขามาโงเมะมาด้วยกัน เราสามคนก็พูดคุยกันสนิทสนมดีฉันคนคุ้นเคยที่ไม่พบกันมานาน แต่หลังจากที่มาถึงหน้าผาเหนือขึ้นไปจากแอ่งน้ำตก ทำไมท่านถึงได้เงียบกันไปหมดทั้งสองคน ไม่เห็นพูดกันเลย ข้าถามคำก็ตอบคำ ข้าถึงได้บอกว่าแปลกพิลึก”
พอโอซือไม่ตอบ เจ้าหนุ่มน้อยก็ซักต่อ
“เป็นอะไรไปรึ โอซือ หรือว่าเกิดอะไรขึ้น เวลาเดินก็เดินกันคนละฟากถนน เวลานอนก็แยกห้องกันนอน ทะเลาะกันเหรอ”
ถามอะไรไม่เข้าเรื่อง
โอซือค่อนอยู่ในใจ
พอหมดเรื่องกิน ก็หาเรื่องมาคุยไม่หยุด อยากพูดก็พูดไปไม่ว่าอะไรกัน แต่อย่ามาถามซอกแซกเรื่องส่วนตัวของเขาได้ไหม เป็นเด็กไม่รู้จักอยู่ส่วนเด็ก ข้าจะเป็นยังไงมูซาชิจะเป็นยังไงทำไม ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าจะต้องรู้สักหน่อย แล้วนี่ถามไม่พอยังมีหยอกเย้าเรื่องนงเรื่องนอนอีก
เจ้าเป็นเด็กจะอยากรู้ไปทำไม
โอซือกล้ำกลืนความขมขื่นเอาไว้ในอก ไม่มีอารมณ์ที่จะต่อปากต่อคำกับโจทาโรให้ยืดเยื้อ