นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ซาซากิ โคจิโร นักดาบรูปงามทรงสำอาง เวลาดี ๆ ก็แต่งกายล้ำสมัยเดินเชิดอกผึ่งผายสะพายดาบไปตามถนนให้สาว ๆ มองจนเหลียวหลัง แต่ยามเมามายร่ำสุราจนหมดไหก็กลายเป็นไอ้ขี้เมาข้างถนน ปากโวโอหังเผยสันดานเดิมออกมาหมดสิ้น
“มาตาฮาจิ ทำไม ทำมาย ดื่มเหล้าจากจอกข้าไม่ได้รึไงฮึ”
“ขอตัวก่อนนะ ข้าต้องไปละ”
โคจิโรคว้าข้อมือมาตาฮาจิมับแล้วตวาดเสียงเขียว
“ไม่ได้”
“แต่ มูซาชิ...”
“ไอ้บ้าเอ๊ย พูดออกมาได้ เจ้าคนเดียวเนี่ยนะจะไปต่อกรกับมูซาชิ มันไม่ผิดอะไรยื่นคอเข้าไปรับคมดาบหรอกนะจะบอกให้”
“เราสองคนเลิกเป็นอริกันแล้ว และข้ากำลังเดินทางมุ่งหน้าไปเอโดะกับมูซาชิเพื่อนสนิทแต่เยาว์วัย หวังพึ่งพาเพื่อนตั้งเนื้อตั้งตัว จะได้เป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที”
“อะไรนะ พึ่งพามูซาชิงั้นรึ น่าหัวเราะ”
“ใคร ๆ ก็มองว่ามูซาชิเป็นคนไม่ดี แม่ข้าคนหนึ่งละที่พูดกรอกหูข้าไม่หยุดหย่อน บัดนี้ข้าประจักษ์แก่ใจแล้วว่าแม่ข้าเข้าใจมูซาชิผิดอย่างมหันต์ ข้าเข้าใจเพื่อนดีแล้วและรู้ตัวด้วยว่าที่ผ่านมาประพฤติตัวเหลวแหลกสิ้นดี จากนี้ไปข้าจะกลับตัวและดำเนินตามรอยเพื่อนผู้แสนดีคนนี้ ถึงจะช้าแต่ก็คิดว่ายังไม่สายที่จะตั้งใจเริ่มต้นใหม่”
“ฮะ ฮะ ฮ้า”
โคจิโรตบมือ หัวเราะลั่นห้อง
“โอ๊ย เจ้านี่มันหัวอ่อนสุด ๆ แม่เจ้ารำพันให้ฟังข้าไม่เชื่อหู จนมาได้ยินจากปากเจ้าจริง ๆ จึงเข้าใจว่าทำไมแม่เฒ่าถึงได้ทุกข์ใจล้นเหลือ ก็เจ้ามันงี่เง่าอย่างไม่มีใครเทียบในสามโลก รู้แล้วอย่างนี้ข้าไม่แปลกใจหรอกที่เจ้าหลงคารมคนเจ้าเล่ห์อย่างมูซาชิจนงมงายเช่นนี้”
“ไม่นะ มูซาชิเพื่อนข้าไม่ใช่คนอย่างนั้น”
“เงียบเลย ไม่ต้องพล่าม ข้าถามเจ้าคำเดียวเลยว่ามีใครบ้างไหมที่ทรยศหักหลังแม่ของเจ้าจนทำให้ต้องลากสังขารออกตามล่าล้างแค้นอยู่ทุกวันนี้ทั้งที่เฒ่าชราแทบจะเดินไม่ไหว แม้แต่ข้าเอง ซาซากิ โคจิโร ที่เป็นคนนอกฟังแล้วยังถึงกับต้องให้สัญญาว่า เมื่อถึงคราวที่แม่เฒ่าได้โอกาสประดาบล้างแค้น ข้าจะเป็นตัวช่วย”
“ไม่รู้ละ ท่านจะพูดยังไงก็ตามใจ ปล่อยมือข้าเสียที ข้าจะไปที่เซตะเดี๋ยวนี้...สาว ๆ เสื้อผ้าข้าแห้งรึยัง หมาด ๆ อยู่ก็ได้เอามาเร็ว”
“อย่านะ”
โคจิโรหันไปตะโกนห้าม และจ้องหน้ามาตาฮาจิด้วยดวงตาที่ฉ่ำไปด้วยฤทธิ์สุรา
“สาว ๆ ที่นี่ไม่ฟังคำเจ้าหรอก นี่แน่ะมาตาฮาจิ ข้าจะบอกให้ ถ้าเจ้าคิดจะตามติดไปกับมูซาชิละก็ ขอแนะนำให้ไปพบและเปิดใจฟังคำแม่ผู้ชราของเจ้าอีกสักครั้ง ข้ามั่นใจว่าแม่เฒ่าจะไม่ยอมให้เจ้าทำอะไรขลาดเขลาสิ้นคิดอย่างนั้นแน่นอน”
“ข้าเที่ยวตามหาแม่แต่ก็ไม่เจอตัวสักที จนได้พบกับมูซาชิและปรับความเข้าใจกันได้แล้ว จึงตัดสินใจไป เอโดะกับเพื่อนแสนดี ตั้งใจว่าจะประพฤติตนเป็นคนดี ทำมาหากินเป็นหลักเป็นฐาน แก้ไขปัญหหาบรรดามีด้วยตัวเอง จะพึ่งพาก็เพียงมูซาชิที่คอยช่วยเหลืออยู่”
“พูดจามีเหตุมีผลเหลือเกินนะ นี่ถ้าไม่เห็นหน้าโทรม ๆ ของเจ้า ข้าต้องคิดว่ามูซาชิมาพล่ามอยู่ข้าง ๆ...เอาละ ไว้พรุ่งนี้เราค่อยออกตามหาแม่เฒ่าด้วยกัน ก่อนจะไปไหนหรือทำอะไรควรฟังความเห็นของแม่เสียก่อน ตอนนี้มาดื่มกันให้หายคอแห้ง คิดเสียว่านั่งดื่มเป็นเพื่อนโคจิโรก็แล้วกัน เอ้า รับจอกสุราไปเสียที”
ก็เพราะที่นี่คือซ่องนางโลม มีหรือที่สาว ๆ จะปล่อยให้ลูกค้าหนุ่มเสื้อผ้าเปียกนายนี้หลุดมือไป และยิ่งท่าน โคจิโรร้องห้ามมาด้วยเช่นนี้ แม้เส้อผ้าจะแห้งหมาดใส่ออกถนนได้แล้ว แต่ก็ไม่มีสาวคนไหนไปหยิบมาสนอง
จนพลบค่ำย่างเข้ายามราตรี
แต่แรกมาตาฮาจิก็อิดออดไม่ยอมรับจอกสุรา พอถูกโคจิโรรุกหนักเข้าก็หมดปัญญาที่จะทัดทาน อีกทั้งเมื่อสิ้นแสงตะวันร่างกายก็เริ่มร้องขอสุรา ทีนี้พอเมาลายก็ออก...อยากให้ดื่มนักรึ ก็ได้...ซดให้ดูเสียเลยจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร มาตาฮาจิเริ่มดื่มจอกแรกเมื่อพลบค่ำและต่อเนื่องไปโดยที่โคจิโรไม่ต้องคะยั้นคะยออีก
กว่าจะล้มพับไปก็รุ่งสาง และรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเมื่อเลยเที่ยงวัน
โคจิโรยังนอนหลับสนิทอยู่ในห้องข้าง ๆ เมื่อคืนหิมะตกเป็นครั้งแรกของปี วันนี้แสงแดดจึงแจ่มจ้าเป็นสองเท่า และพอนึกถึงของมูซาชิขึ้นมา มาตาฮาจิก็แค้นใจตัวเองจนอยากจะอาเจียนสุราที่ดื่มมาตลอกคืนออกให้หมด
เจ้าหนุ่มหัวอ่อนลงบันไดมา แล้วรีบสวมใส่เสื้อผ้าแห้งผากที่สาว ๆ หยิบออกมาให้ ผลุนผลันออกประตูไปราวกลับหนีใครสักคน แล้ววิ่งตรงไปยังสะพานเซตะ
น้ำในแม่น้ำเซตะขุ่นเป็นสีดินแดง กลีบดอกไม้ที่ยังเหลืออยู่ในสวนของวัดอิชิยามะลอยมาตามกระแสน้ำ ช่อฟูจิบนชั้นไม้ระแนงที่ร้านน้ำชาร่วงโรย ดอกยามาบุกิก็ทิ้งกลีบเกลื่อน
มูซาชิบอกว่าจะผูกแม่วัวคอยอยู่ แต่มองไปรอบ ๆ ไม่ว่าจะที่เชิงสะพานหรือที่เกาะกลางแม่น้ำก็ไม่เห็นสักตัว มาตาฮาจิจึงไปถามเจ้าของร้านน้ำชาได้ความว่า
ถ้าคนที่เจ้าถามหาคือเจ้าหนุ่มนักดาบที่ขี่แม่วัวมาละก็ เมื่อวานข้าเห็นนั่งคอยอยู่ตรงนี้จนข้าปิดร้าน แต่คิดว่าไม่ได้ไปไหนหรอก คงไปหาโรงเตี๊ยมพักเพราะเมื่อเช้าก็เห็นมานั่งตรงนี้อีก ทำหน้าคล้ายกับว่าเฝ้าคอยใครสักคนที่สำคัญ เจ้าหนุ่มคอยอยู่พักใหญ่ ๆ ก็ถอดใจขอกระดาษมาเขียนจดหมาย ผูกไว้กับกิ่งหลิวข้างร้าน บอกข้าว่าฝากให้คนที่มาถามหาด้วย แล้วก็ขี่แม่วัวจากไป
เจ้าของน้ำชาว่าพลางชี้มือไปที่ต้นหลิว มาตาฮาจิตามไปก็เห็นจดหมายที่ว่านั้นผูกอยู่ที่กิ่งต้นหลิวมองไกล ๆ เหมือนมีผีเสื้อราตรีเกาะอยู่
“หมายความว่า เพื่อนข้าออกเดินทางล่วงหน้าไปแล้ว งั้นรึ”
มาตาฮาจิใจหาย รีบตรงเข้าไปปลดปีกผีเสื้อราตรีออกจากกิ่งหลิว
2
ต้นฤดูร้อนที่คิโซจิ แมกไม้ในป่าแตกใบอ่อนชุ่มชื้นไปทั่ว
มูซาชิเดินทางด้วยอารมณ์ปลอดโปร่ง ปล่อยให้แม่วัวเดินผ่านทางนาคาเซ็นโดไปเรื่อย ๆ ตามฝีเท้าของมัน
ข้าจะไปรอข้างหน้า ตามมาแล้วกัน
มาตาฮาจิออกเดินทางทันทีเพื่อให้ทันเวลาตามความในจดหมายน้อยที่มูซาชิเขียนผูกไว้กับกิ่งหลิว แต่ไปถึง คุซาซุก็ไม่เจอ เดินต่อไปอีกถึงฮิโกเนะ ถึงโทริอิโมโตะ ก็ยังไม่เจอ
“หรือว่า เราจะเดินเลยมา”
คิดได้ดังนั้น เจ้าหนุ่มจึงนั่งลงมองคนที่เดินผ่านไปมาที่ไหล่เขาซุริบาจิอยู่ครึ่งวัน แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อน
มาตาฮาจิถามคนที่ผ่านไปมาว่าเห็นนักดาบขี่แม่วัวมาตามทางบ้างหรือเปล่าแต่ก็ไม่ได้เรื่อง เพราะมีคนเดินทางที่ขี่ม้าหรือวัวกันไม่น้อย และอีกอย่างที่ทำให้ไม่ได้เรื่องก็คือ มาตาฮาจิคิดว่ามูซาชิเดินทางคนเดียวจึงถามเจาะจงไปเช่นนั้น ขณะที่มูซาชิมาเป็นขบวนทั้งแม่วัว โอซือ และโจทาโร
ครั้นมาถึงมิโนจิแล้วก็ยังไม่พบกัน มาตาฮาจิก็นึกถึงคำพูดของโคจิโร
“เราหัวอ่อน เชื่อคนง่าย จริงอย่างที่เขาว่างั้นเหรอ”
พอเริ่มลังเล อะไร ๆ ที่ตั้งใจเอาไว้ก็รวนไปหมด
มาตาฮาจิเดินย้อนกลับไปบ้าง ลองเลี้ยวไปทางนั้นบ้างทางนี้บ้าง หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นสุดท้ายแล้วก็จะคลาดกันไปก็คลาดกันมากับคนที่ต้องการพบ เสียเวลาไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ
แต่ก็ยังดีที่โชคไม่ร้ายจนเกินไป เพราะไม่รู้ว่าหลังออกตามหายไม่รู้ว่ากี่วันมาแล้ว มาตาฮาจิก็ได้พบกับมูซาชิที่เดินทางล่วงหน้ามาที่โรงเตี๊ยมหลังริมสุดบนเส้นทางผ่านนาคาซุคาวะ
แม้มาตาฮาจิก็ยังแปลกใจตัวเองที่ตามหามูซาชิด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้ามาได้หลายวันเช่นนี้ แต่พอเห็นหลังของมูซาชิไว ๆ สีหน้าของเจ้าหนุ่มก็เปลี่ยนไป คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน
ช้าก่อน คนที่นั่งอยู่บนหลังแม่วัวนั่นมัน...โอซือ แม่นางน้อยแห่งวัดชิปโปจิ นี่
และคนที่จับเชือกจูงแม่วัวเดินไปนั่นล่ะ...ก็มูซาชิน่ะซี
นี่มันอะไรกัน
โจทาโรเดินมาข้าง ๆ แต่แม่วัวบังอยู่มาตาฮาจิจึงมองไม่เห็น และเข้าใจผิดอย่างไม่มีปัญหาเลยว่าสองหนุ่มสาวหนีตามมาอยู่ด้วยกันจริงตามที่ถูกแม่และผู้คนที่บ้านเกิดฝังหัวมา
ภาพโอซือบนหลังแม่วัวที่มูซาชิเดินจูงไปนั้นแม้จะเห็นเพียงด้านหลัง ความสุขสมรักก็เรืองรองและแทบจะได้กลิ่นอายอันหอมหวานโชยมา
ถึงจะเคยชิงชังริษยาแต่ก็ไม่มีคราวใดที่มาตาฮาจิเห็นมูซาชิเป็นปีศาจร้ายเหมือนวันนี้
“ยิ่งคิดก็ยิ่งเวทนาตัวเอง ทำไมถึงได้โง่เขลาเชื่อคนง่าย เป็นเหยื่อคนเจ้าเล่ห์ให้หลอกลวงมาตลอดอย่างนี้ เจ้าทาเกโซลวงเรามาตั้งแต่ชวนไปออกรบที่เซกิงาฮาระจนกระทั่งถึงวันนี้ แต่ทาเกโซ ไอ้เพื่อนทรยศ...อย่าคิดนะว่าข้าจะซื่อบื้อยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้เอ็งเหยียบย่ำจมดินตลอดไป คอยดูเถอะ แล้วจะได้เห็นกัน”
โจทาโรร้องเอะอะ
“ร้อน ๆ เดินภูเขามาก็มาก ไม่เคยเหงื่อแตกขนาดนี้ ที่ที่ที่ไหนรึท่านครู”
“ภูเขาตรงนี้ชันที่สุดในคิโซะ สุดเนินนี้ขึ้นเป็นเป็นสันเขามาโงเมะ”
“เมื่อวานเราเดินผ่านสันเขาตั้งสองลูกแน่ะ”
“ใช่มิซากะกับโทมางาริ”
“ข้าเบื่อเดินข้ามสันเขาเต็มที อยากถึงเอโดะเร็ว ๆ จะได้รื่นเริงบันเทิงใจกับเขาบ้าง จริงไหมโอซือ”
โอซือส่งเสียงตอบลงมาจากหลังแม่วัว
“ไม่หรอกโจทาโร ข้าชอบเดินทางอยู่ในที่ที่ร้างผู้คนอย่างนี้ไปนาน ๆ กี่วันก็ได้”
“เชอะ ก็ใช่น่ะซี ตัวเองไม่ต้องเดินนี่ ท่านครูดูนั่นสิ ตรงนั้นมีน้ำตกด้วย”
“จริงด้วย งั้นเราพักกันสักหน่อยดีกว่า เจ้าช่วยจูงแม่วัวไปผูกไว้ตรงนี้ทีเถอะ”
มูซาชิเดินนำโอซือตามเสียงน้ำตกเข้าไปในทางแคบ ๆ จนถึงหน้าผาที่น้ำตกลงสู่แอ่งข้างล่าง กระท่อมร้างหลังหนึ่งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกหญ้าชุ่มน้ำค้างงามสร้างไปทั่ว
“...มูซาชิ”
โอซือมองตัวอักษรบนป้ายแล้วเบนสายตายตาขึ้นมายิ้มกับมูซาชิ
น้ำตกคู่รัก
น้ำตกลงจากหน้าผาแยกเป็นสายเล็กกับสายใหญ่แล้วไปรวมเป็นกระแสเดียวกันข้างล่าง สายที่น้ำตกลงไปเอื่อย ๆ นั้นดูก็รู้ว่าคือน้ำตกหญิง
โจทาโรเริงร่าเมื่อเห็นน้ำตก ลืมความเบื่อหน่ายเหน็ดเหนื่อยกับการขึ้นเขาลงห้วย ซึ่งทำให้ต้องบ่นอิดออดและขอหยุดพักมาตลอดทาง พอเห็นแอ่งน้ำที่มีน้ำตกลงมาไม่ขาดสายก็รีบรุดวิ่งซอกแซกลงไประหว่างหินผา มิใยว่าจะชนกับอะไรตรงไหน และพอไปถึงแอ่งน้ำที่ไม่ลึกพอจะแหวกว่าย ก็กระโจนลงไปเตะน้ำวักน้ำสาดกระจายด้วยความสนุกสุดเหวี่ยง
“โอซือ ดูนี่สิ มีปลาด้วย”
ไม่มีเสียงตอบลงมา
“ข้าจะจับด้วยก้อนหินนี่แหละนะ เฮ้ย โดนหินเข้าทีเดียว นอนหงายแหงแก๋เลย”
ไม่นานก็มีเสียงร้องลั่นมาจากอีกทิศทางหนึ่ง
“โว้ย...”
แล้วก็เงียบไป
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ซาซากิ โคจิโร นักดาบรูปงามทรงสำอาง เวลาดี ๆ ก็แต่งกายล้ำสมัยเดินเชิดอกผึ่งผายสะพายดาบไปตามถนนให้สาว ๆ มองจนเหลียวหลัง แต่ยามเมามายร่ำสุราจนหมดไหก็กลายเป็นไอ้ขี้เมาข้างถนน ปากโวโอหังเผยสันดานเดิมออกมาหมดสิ้น
“มาตาฮาจิ ทำไม ทำมาย ดื่มเหล้าจากจอกข้าไม่ได้รึไงฮึ”
“ขอตัวก่อนนะ ข้าต้องไปละ”
โคจิโรคว้าข้อมือมาตาฮาจิมับแล้วตวาดเสียงเขียว
“ไม่ได้”
“แต่ มูซาชิ...”
“ไอ้บ้าเอ๊ย พูดออกมาได้ เจ้าคนเดียวเนี่ยนะจะไปต่อกรกับมูซาชิ มันไม่ผิดอะไรยื่นคอเข้าไปรับคมดาบหรอกนะจะบอกให้”
“เราสองคนเลิกเป็นอริกันแล้ว และข้ากำลังเดินทางมุ่งหน้าไปเอโดะกับมูซาชิเพื่อนสนิทแต่เยาว์วัย หวังพึ่งพาเพื่อนตั้งเนื้อตั้งตัว จะได้เป็นผู้เป็นคนกับเขาเสียที”
“อะไรนะ พึ่งพามูซาชิงั้นรึ น่าหัวเราะ”
“ใคร ๆ ก็มองว่ามูซาชิเป็นคนไม่ดี แม่ข้าคนหนึ่งละที่พูดกรอกหูข้าไม่หยุดหย่อน บัดนี้ข้าประจักษ์แก่ใจแล้วว่าแม่ข้าเข้าใจมูซาชิผิดอย่างมหันต์ ข้าเข้าใจเพื่อนดีแล้วและรู้ตัวด้วยว่าที่ผ่านมาประพฤติตัวเหลวแหลกสิ้นดี จากนี้ไปข้าจะกลับตัวและดำเนินตามรอยเพื่อนผู้แสนดีคนนี้ ถึงจะช้าแต่ก็คิดว่ายังไม่สายที่จะตั้งใจเริ่มต้นใหม่”
“ฮะ ฮะ ฮ้า”
โคจิโรตบมือ หัวเราะลั่นห้อง
“โอ๊ย เจ้านี่มันหัวอ่อนสุด ๆ แม่เจ้ารำพันให้ฟังข้าไม่เชื่อหู จนมาได้ยินจากปากเจ้าจริง ๆ จึงเข้าใจว่าทำไมแม่เฒ่าถึงได้ทุกข์ใจล้นเหลือ ก็เจ้ามันงี่เง่าอย่างไม่มีใครเทียบในสามโลก รู้แล้วอย่างนี้ข้าไม่แปลกใจหรอกที่เจ้าหลงคารมคนเจ้าเล่ห์อย่างมูซาชิจนงมงายเช่นนี้”
“ไม่นะ มูซาชิเพื่อนข้าไม่ใช่คนอย่างนั้น”
“เงียบเลย ไม่ต้องพล่าม ข้าถามเจ้าคำเดียวเลยว่ามีใครบ้างไหมที่ทรยศหักหลังแม่ของเจ้าจนทำให้ต้องลากสังขารออกตามล่าล้างแค้นอยู่ทุกวันนี้ทั้งที่เฒ่าชราแทบจะเดินไม่ไหว แม้แต่ข้าเอง ซาซากิ โคจิโร ที่เป็นคนนอกฟังแล้วยังถึงกับต้องให้สัญญาว่า เมื่อถึงคราวที่แม่เฒ่าได้โอกาสประดาบล้างแค้น ข้าจะเป็นตัวช่วย”
“ไม่รู้ละ ท่านจะพูดยังไงก็ตามใจ ปล่อยมือข้าเสียที ข้าจะไปที่เซตะเดี๋ยวนี้...สาว ๆ เสื้อผ้าข้าแห้งรึยัง หมาด ๆ อยู่ก็ได้เอามาเร็ว”
“อย่านะ”
โคจิโรหันไปตะโกนห้าม และจ้องหน้ามาตาฮาจิด้วยดวงตาที่ฉ่ำไปด้วยฤทธิ์สุรา
“สาว ๆ ที่นี่ไม่ฟังคำเจ้าหรอก นี่แน่ะมาตาฮาจิ ข้าจะบอกให้ ถ้าเจ้าคิดจะตามติดไปกับมูซาชิละก็ ขอแนะนำให้ไปพบและเปิดใจฟังคำแม่ผู้ชราของเจ้าอีกสักครั้ง ข้ามั่นใจว่าแม่เฒ่าจะไม่ยอมให้เจ้าทำอะไรขลาดเขลาสิ้นคิดอย่างนั้นแน่นอน”
“ข้าเที่ยวตามหาแม่แต่ก็ไม่เจอตัวสักที จนได้พบกับมูซาชิและปรับความเข้าใจกันได้แล้ว จึงตัดสินใจไป เอโดะกับเพื่อนแสนดี ตั้งใจว่าจะประพฤติตนเป็นคนดี ทำมาหากินเป็นหลักเป็นฐาน แก้ไขปัญหหาบรรดามีด้วยตัวเอง จะพึ่งพาก็เพียงมูซาชิที่คอยช่วยเหลืออยู่”
“พูดจามีเหตุมีผลเหลือเกินนะ นี่ถ้าไม่เห็นหน้าโทรม ๆ ของเจ้า ข้าต้องคิดว่ามูซาชิมาพล่ามอยู่ข้าง ๆ...เอาละ ไว้พรุ่งนี้เราค่อยออกตามหาแม่เฒ่าด้วยกัน ก่อนจะไปไหนหรือทำอะไรควรฟังความเห็นของแม่เสียก่อน ตอนนี้มาดื่มกันให้หายคอแห้ง คิดเสียว่านั่งดื่มเป็นเพื่อนโคจิโรก็แล้วกัน เอ้า รับจอกสุราไปเสียที”
ก็เพราะที่นี่คือซ่องนางโลม มีหรือที่สาว ๆ จะปล่อยให้ลูกค้าหนุ่มเสื้อผ้าเปียกนายนี้หลุดมือไป และยิ่งท่าน โคจิโรร้องห้ามมาด้วยเช่นนี้ แม้เส้อผ้าจะแห้งหมาดใส่ออกถนนได้แล้ว แต่ก็ไม่มีสาวคนไหนไปหยิบมาสนอง
จนพลบค่ำย่างเข้ายามราตรี
แต่แรกมาตาฮาจิก็อิดออดไม่ยอมรับจอกสุรา พอถูกโคจิโรรุกหนักเข้าก็หมดปัญญาที่จะทัดทาน อีกทั้งเมื่อสิ้นแสงตะวันร่างกายก็เริ่มร้องขอสุรา ทีนี้พอเมาลายก็ออก...อยากให้ดื่มนักรึ ก็ได้...ซดให้ดูเสียเลยจะได้รู้ว่าใครเป็นใคร มาตาฮาจิเริ่มดื่มจอกแรกเมื่อพลบค่ำและต่อเนื่องไปโดยที่โคจิโรไม่ต้องคะยั้นคะยออีก
กว่าจะล้มพับไปก็รุ่งสาง และรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีเมื่อเลยเที่ยงวัน
โคจิโรยังนอนหลับสนิทอยู่ในห้องข้าง ๆ เมื่อคืนหิมะตกเป็นครั้งแรกของปี วันนี้แสงแดดจึงแจ่มจ้าเป็นสองเท่า และพอนึกถึงของมูซาชิขึ้นมา มาตาฮาจิก็แค้นใจตัวเองจนอยากจะอาเจียนสุราที่ดื่มมาตลอกคืนออกให้หมด
เจ้าหนุ่มหัวอ่อนลงบันไดมา แล้วรีบสวมใส่เสื้อผ้าแห้งผากที่สาว ๆ หยิบออกมาให้ ผลุนผลันออกประตูไปราวกลับหนีใครสักคน แล้ววิ่งตรงไปยังสะพานเซตะ
น้ำในแม่น้ำเซตะขุ่นเป็นสีดินแดง กลีบดอกไม้ที่ยังเหลืออยู่ในสวนของวัดอิชิยามะลอยมาตามกระแสน้ำ ช่อฟูจิบนชั้นไม้ระแนงที่ร้านน้ำชาร่วงโรย ดอกยามาบุกิก็ทิ้งกลีบเกลื่อน
มูซาชิบอกว่าจะผูกแม่วัวคอยอยู่ แต่มองไปรอบ ๆ ไม่ว่าจะที่เชิงสะพานหรือที่เกาะกลางแม่น้ำก็ไม่เห็นสักตัว มาตาฮาจิจึงไปถามเจ้าของร้านน้ำชาได้ความว่า
ถ้าคนที่เจ้าถามหาคือเจ้าหนุ่มนักดาบที่ขี่แม่วัวมาละก็ เมื่อวานข้าเห็นนั่งคอยอยู่ตรงนี้จนข้าปิดร้าน แต่คิดว่าไม่ได้ไปไหนหรอก คงไปหาโรงเตี๊ยมพักเพราะเมื่อเช้าก็เห็นมานั่งตรงนี้อีก ทำหน้าคล้ายกับว่าเฝ้าคอยใครสักคนที่สำคัญ เจ้าหนุ่มคอยอยู่พักใหญ่ ๆ ก็ถอดใจขอกระดาษมาเขียนจดหมาย ผูกไว้กับกิ่งหลิวข้างร้าน บอกข้าว่าฝากให้คนที่มาถามหาด้วย แล้วก็ขี่แม่วัวจากไป
เจ้าของน้ำชาว่าพลางชี้มือไปที่ต้นหลิว มาตาฮาจิตามไปก็เห็นจดหมายที่ว่านั้นผูกอยู่ที่กิ่งต้นหลิวมองไกล ๆ เหมือนมีผีเสื้อราตรีเกาะอยู่
“หมายความว่า เพื่อนข้าออกเดินทางล่วงหน้าไปแล้ว งั้นรึ”
มาตาฮาจิใจหาย รีบตรงเข้าไปปลดปีกผีเสื้อราตรีออกจากกิ่งหลิว
2
ต้นฤดูร้อนที่คิโซจิ แมกไม้ในป่าแตกใบอ่อนชุ่มชื้นไปทั่ว
มูซาชิเดินทางด้วยอารมณ์ปลอดโปร่ง ปล่อยให้แม่วัวเดินผ่านทางนาคาเซ็นโดไปเรื่อย ๆ ตามฝีเท้าของมัน
ข้าจะไปรอข้างหน้า ตามมาแล้วกัน
มาตาฮาจิออกเดินทางทันทีเพื่อให้ทันเวลาตามความในจดหมายน้อยที่มูซาชิเขียนผูกไว้กับกิ่งหลิว แต่ไปถึง คุซาซุก็ไม่เจอ เดินต่อไปอีกถึงฮิโกเนะ ถึงโทริอิโมโตะ ก็ยังไม่เจอ
“หรือว่า เราจะเดินเลยมา”
คิดได้ดังนั้น เจ้าหนุ่มจึงนั่งลงมองคนที่เดินผ่านไปมาที่ไหล่เขาซุริบาจิอยู่ครึ่งวัน แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเพื่อน
มาตาฮาจิถามคนที่ผ่านไปมาว่าเห็นนักดาบขี่แม่วัวมาตามทางบ้างหรือเปล่าแต่ก็ไม่ได้เรื่อง เพราะมีคนเดินทางที่ขี่ม้าหรือวัวกันไม่น้อย และอีกอย่างที่ทำให้ไม่ได้เรื่องก็คือ มาตาฮาจิคิดว่ามูซาชิเดินทางคนเดียวจึงถามเจาะจงไปเช่นนั้น ขณะที่มูซาชิมาเป็นขบวนทั้งแม่วัว โอซือ และโจทาโร
ครั้นมาถึงมิโนจิแล้วก็ยังไม่พบกัน มาตาฮาจิก็นึกถึงคำพูดของโคจิโร
“เราหัวอ่อน เชื่อคนง่าย จริงอย่างที่เขาว่างั้นเหรอ”
พอเริ่มลังเล อะไร ๆ ที่ตั้งใจเอาไว้ก็รวนไปหมด
มาตาฮาจิเดินย้อนกลับไปบ้าง ลองเลี้ยวไปทางนั้นบ้างทางนี้บ้าง หารู้ไม่ว่าการทำเช่นนั้นสุดท้ายแล้วก็จะคลาดกันไปก็คลาดกันมากับคนที่ต้องการพบ เสียเวลาไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ
แต่ก็ยังดีที่โชคไม่ร้ายจนเกินไป เพราะไม่รู้ว่าหลังออกตามหายไม่รู้ว่ากี่วันมาแล้ว มาตาฮาจิก็ได้พบกับมูซาชิที่เดินทางล่วงหน้ามาที่โรงเตี๊ยมหลังริมสุดบนเส้นทางผ่านนาคาซุคาวะ
แม้มาตาฮาจิก็ยังแปลกใจตัวเองที่ตามหามูซาชิด้วยความมุ่งมั่นแรงกล้ามาได้หลายวันเช่นนี้ แต่พอเห็นหลังของมูซาชิไว ๆ สีหน้าของเจ้าหนุ่มก็เปลี่ยนไป คิ้วขมวดเข้าหากันด้วยความฉงน
ช้าก่อน คนที่นั่งอยู่บนหลังแม่วัวนั่นมัน...โอซือ แม่นางน้อยแห่งวัดชิปโปจิ นี่
และคนที่จับเชือกจูงแม่วัวเดินไปนั่นล่ะ...ก็มูซาชิน่ะซี
นี่มันอะไรกัน
โจทาโรเดินมาข้าง ๆ แต่แม่วัวบังอยู่มาตาฮาจิจึงมองไม่เห็น และเข้าใจผิดอย่างไม่มีปัญหาเลยว่าสองหนุ่มสาวหนีตามมาอยู่ด้วยกันจริงตามที่ถูกแม่และผู้คนที่บ้านเกิดฝังหัวมา
ภาพโอซือบนหลังแม่วัวที่มูซาชิเดินจูงไปนั้นแม้จะเห็นเพียงด้านหลัง ความสุขสมรักก็เรืองรองและแทบจะได้กลิ่นอายอันหอมหวานโชยมา
ถึงจะเคยชิงชังริษยาแต่ก็ไม่มีคราวใดที่มาตาฮาจิเห็นมูซาชิเป็นปีศาจร้ายเหมือนวันนี้
“ยิ่งคิดก็ยิ่งเวทนาตัวเอง ทำไมถึงได้โง่เขลาเชื่อคนง่าย เป็นเหยื่อคนเจ้าเล่ห์ให้หลอกลวงมาตลอดอย่างนี้ เจ้าทาเกโซลวงเรามาตั้งแต่ชวนไปออกรบที่เซกิงาฮาระจนกระทั่งถึงวันนี้ แต่ทาเกโซ ไอ้เพื่อนทรยศ...อย่าคิดนะว่าข้าจะซื่อบื้อยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้เอ็งเหยียบย่ำจมดินตลอดไป คอยดูเถอะ แล้วจะได้เห็นกัน”
โจทาโรร้องเอะอะ
“ร้อน ๆ เดินภูเขามาก็มาก ไม่เคยเหงื่อแตกขนาดนี้ ที่ที่ที่ไหนรึท่านครู”
“ภูเขาตรงนี้ชันที่สุดในคิโซะ สุดเนินนี้ขึ้นเป็นเป็นสันเขามาโงเมะ”
“เมื่อวานเราเดินผ่านสันเขาตั้งสองลูกแน่ะ”
“ใช่มิซากะกับโทมางาริ”
“ข้าเบื่อเดินข้ามสันเขาเต็มที อยากถึงเอโดะเร็ว ๆ จะได้รื่นเริงบันเทิงใจกับเขาบ้าง จริงไหมโอซือ”
โอซือส่งเสียงตอบลงมาจากหลังแม่วัว
“ไม่หรอกโจทาโร ข้าชอบเดินทางอยู่ในที่ที่ร้างผู้คนอย่างนี้ไปนาน ๆ กี่วันก็ได้”
“เชอะ ก็ใช่น่ะซี ตัวเองไม่ต้องเดินนี่ ท่านครูดูนั่นสิ ตรงนั้นมีน้ำตกด้วย”
“จริงด้วย งั้นเราพักกันสักหน่อยดีกว่า เจ้าช่วยจูงแม่วัวไปผูกไว้ตรงนี้ทีเถอะ”
มูซาชิเดินนำโอซือตามเสียงน้ำตกเข้าไปในทางแคบ ๆ จนถึงหน้าผาที่น้ำตกลงสู่แอ่งข้างล่าง กระท่อมร้างหลังหนึ่งโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางทุ่งดอกหญ้าชุ่มน้ำค้างงามสร้างไปทั่ว
“...มูซาชิ”
โอซือมองตัวอักษรบนป้ายแล้วเบนสายตายตาขึ้นมายิ้มกับมูซาชิ
น้ำตกคู่รัก
น้ำตกลงจากหน้าผาแยกเป็นสายเล็กกับสายใหญ่แล้วไปรวมเป็นกระแสเดียวกันข้างล่าง สายที่น้ำตกลงไปเอื่อย ๆ นั้นดูก็รู้ว่าคือน้ำตกหญิง
โจทาโรเริงร่าเมื่อเห็นน้ำตก ลืมความเบื่อหน่ายเหน็ดเหนื่อยกับการขึ้นเขาลงห้วย ซึ่งทำให้ต้องบ่นอิดออดและขอหยุดพักมาตลอดทาง พอเห็นแอ่งน้ำที่มีน้ำตกลงมาไม่ขาดสายก็รีบรุดวิ่งซอกแซกลงไประหว่างหินผา มิใยว่าจะชนกับอะไรตรงไหน และพอไปถึงแอ่งน้ำที่ไม่ลึกพอจะแหวกว่าย ก็กระโจนลงไปเตะน้ำวักน้ำสาดกระจายด้วยความสนุกสุดเหวี่ยง
“โอซือ ดูนี่สิ มีปลาด้วย”
ไม่มีเสียงตอบลงมา
“ข้าจะจับด้วยก้อนหินนี่แหละนะ เฮ้ย โดนหินเข้าทีเดียว นอนหงายแหงแก๋เลย”
ไม่นานก็มีเสียงร้องลั่นมาจากอีกทิศทางหนึ่ง
“โว้ย...”
แล้วก็เงียบไป