xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอน ฝนพรำพรมกลีบดอกฟูจิ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
ต้นหลิวเก่าแก่ยืนต้นอยู่บนเกาะนาคาโนะชิมะที่เชื่อมสะพานเล็กยาวยี่สิบสามช่วงซี่ลูกกรงสะพานกับสะพานใหญ่ยาวเก้าสิบหกช่วงซี่ลูกกรงสะพานเชื่อมถึงกัน
สะพานคาราฮาชิที่เซตะมีอีกชื่อหนึ่งที่ชาวบ้านและผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาเรียกกันจนติดปากว่าสะพาน หลิวเขียว คงเป็นเพราะต้นหลิวเก่าแก่ที่โดดเด่นเป็นหมุดหมายอยู่ตรงนั้นนั่นเอง
“โอ๊ะ มาแล้ว”
โจทาโรวิ่งออกจากร้านน้ำชาบนเกาะนาคาโนะชิมะ มาเกาะราวสะพานชี้มือไปทางหนึ่งส่วนอีกมือหนึ่งกวักเรียกโอซือที่อยู่ในร้านน้ำชา
“ครูของข้ามาแล้ว โอซือ...โอซือออกมาเร็ว ๆ ครูของข้าขี่วัวมา เท่ชะมัด”
โจทาโรร้องพลางกวักไม้กวักมือและซอยเท้าราวกับกำลังเต้นระบำนกกระจอก คนที่เดินทางผ่านมาพากันมองจนเหลียวหลังด้วยความสงสัยว่าเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ถ้าจะเสียสติไปแล้ว
“จริงด้วย”
โอซือลุกรี้ลุกรนจนน่ากลัวว่าจะล้มกลิ้งออกมาร้านน้ำชา ปราดเข้าไปยืนเคียงข้างเจ้าหนุ่มน้อยแล้วส่งเสียงร้องเรียกพร้อมกัน
“ครู”
“มูซาชิ”
คนหนึ่งถอดหมวกฟางออกโบก ส่วนอีกคนโบกมือเปล่า ๆ ให้มูซาชิบนหลังแม่วัวที่เยื้องย่างเข้ามาใกล้จนเห็นใบหน้าของมูซาชิที่ยิ้มกว้างไม่อยุดด้วยความปิติยินดี
ไม่นานทั้งสองก็เห็นมูซาชิลงจากหลังแม่วัวและผูกนางไว้กับต้นหลิวเก่าแก่ แล้วเดินยิ้มกว้างเข้าไปหาคาที่เฝ้ารอคอยตนอยู่
โอซือซึ่งโบกไม้โบกมือเต้นไปกับโจทาโรพร้อมกับส่งเสียงกู่เรียกราวเสียสติเมื่อครู่ก่อน กลับสงบเสงี่ยมเป็นโอซือคนเดิมเมื่อชายในดวงใจเดินมาหยุดยืนอยู่ชิดใกล้ พูดอะไรไม่ออกได้แต่ส่งยิ้มหวานเยิ้มทางดวงตาคู่งาม ปล่อยให้โจทาโรพล่ามพูดอยู่คนเดียว
“ท่านมูซาชิครูของข้า บาดแผลหายดีแล้วรึ เราเห็นท่านขี่แม่วัวมาแต่ไกลจึงห่วงอยู่ว่าท่านเดินไม่ได้เพราะยังเจ็บปวดบาดแผลจากการต่อสู้ครั้งนั้น อะไรนะ...ทำไมเรามาถึงที่นี่เร็วนักน่ะรึ เรื่องนี้ครูถามโอซือดีกว่า แต่ขอบอกเลยว่าถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวกับมูซาชิละก็ แม่นางโอซือคนนี้เป็นต้องดื้อดึงขึ้นมาทันที ใครจะว่ายังไงไม่ยอมฟังทั้งนั้น ทันทีที่ได้จดหมายจากท่านครูเท่านั้นแหละ แม่นางก็มีกำลังวังชาขึ้นมาอย่างที่เห็นนี่แหละท่าน”
“อืม งั้นรึ..”
มูซาชิเองก็จนคำพูดได้แต่พยักหน้าช้า ๆ พร้อมกับส่งยิ้มให้ไม่หยุด แต่พอรู้ตัวว่าที่ร้านน้ำชายังมีแขกคนอื่นอีกด้วยก็ชักเขินที่การพบกันของตนกับหนุ่มน้อยและสาวงาม คงจะดูเหมือนฉากรักจำพรากในละครเร่ จึงชวนกันเลี่ยงเข้าไปหลังร้านที่มีห้องพักเล็ก ๆ ที่มีชานนั่งเล่นร่มครึ้มไปด้วยดอกฟูจิสีม่วงเป็นพวงระย้าลงมาจากคานไม้ระแนง
โอซือยังเขินอายไม่พูดจา ฝ่ายมูซาชิเป็นคนพูดน้อยอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบ จึงมีแต่เสียงของโจทาโรที่พูดอยู่คนเดียวด้วยใจใสซื่อที่เปี่ยมสุขกับการพบกันอีกครั้งของคนอันเป็นที่รัก กับเสียงของเหล่าผึ้งและแผลงภู่ที่มาไต่ตอมดอกฟูจิ เท่านั้นเอง
“อ้าว หลบมาอยู่กันตรงนี้นี่เอง ไม่ได้การละ ดูนั่นสิท้องฟ้าเหนือวัดอิชิยามะมืดครึ้มไปหมด ฝนกำลังจะตก เข้ามาข้างในนี้เถอะ”
เจ้าของร้านน้ำชาเยี่ยมหน้าออกมาบอก พร้อมกับรีบม้วนมูลี่ขึ้นและเลื่อนประตูไม้กันฝนออกมาปิดให้มิดชิด ฝนกำลังจะตกจริง ๆ ด้วย ท้องฟ้ามืดครึ้มและลมที่โชยกลิ่นฝนก็เริ่มหวีดหวิว ดอกฟูจิสีม่วงโชยกลิ่นหอมเย็นชื่นใจยามกลีบดอกต้องลมไหวพริ้วราวชายแขนเสื้อของโยคิฮินางเอกในวรรณคดีจีนเมื่อยามจะสิ้นใจ
ลมหอบเอาฝนจากภูเขาอิชิยามะมาโปรยปรายลงมาทักทายกลีบบอบบางของดอกฟูจิ
“โอ๊ะ ฟ้าร้อง นี่เป็นครั้งแรกของปีเลยนะ โอซือเข้าไปข้างในกันเถอะเดี๋ยวเปียก ท่านครูด้วย”
โจทาโรจัดการให้คู่รักทั้งสองหลบฝนเข้าไปข้างในห้อง ด้วยท่าทางเริงร่า
“ฝนตกแล้วชื่นใจจัง ตกลงมาได้จังหวะดีแท้ พอดีเลยจริง ๆ”
ไม่รู้ว่าอะไรที่ว่าพอดีเลยจริง ๆ แต่ก็ไม่น่ามีความหมายลึกซึ้งอะไรในเมื่อคนพูดคือโจทาโร แต่คนที่มีความในใจอย่างมูซาชิก็รู้สึกขัดเขินที่จะเข้าไปข้างในตามคำชวน โอซือก็หน้าแดง สุดท้ายทั้งคู่ก็เลยยืนเปียกฝนเป็นพื่อนดอก ฟูจิอยู่ตรงนั้นเอง
“แย่เลยว่ะ”
ใครคนหนึ่งเอาเสื่อฟางคลุมหัวดูเหมือนกับเป็นร่มคันใหญ่ วิ่งฝ่าสายฝนเข้ามาหลบใต้ซุ้มประตูศาลเจ้าชิโนะ มิยะ ปัดละอองฝนออกจากผมพลางถอนใจด้วยความโล่งอก
“อยู่ ๆ ก็เทลงมายังกับฝนฤดูร้อน”
ฝนตกหนักแค่ไม่กี่อึดใจก็แทบมองไม่เห็นทิวเขาชิเมงาทาเกะ ทะเลสาบ และบริเวณอิบุกิ ได้ยินแต่เสียงฝนสาดซ่าระคนเสียงฟ้าร้องครืนคราน สายฟ้าฟาดเปรี้ยงแสดงว่าฟ้าผ่าตรงไหนสักแห่งใหล้ ๆ นั้นเอง
“โอ๊ย”
มาตาฮาจิเป็นคนกลัวฟ้าร้องฟ้าผ่าและฟ้าคะนองทุกชนิดร้องลั่น พร้อมกับยกมือขึ้นปิดหูแน่นและซุกตัวเบียดกับรูปปั้นเทพเจ้าแห่งสายฟ้าข้างซุ้มประตูนั้นเอง
ไม่นานม่านเมฆก็เปิดออกให้แสงแดดส่องลงมาเหมือนกับฝนตกห่าใหญ่เมื่อกี้เป็นเรื่องโกหก
ฝนหายแล้ว ผู้คนออกมาเดินไปมาตามเดิม มาตาฮาจิได้ยินเสียงเครื่องสายชามิเซ็งดังแว่วมาจึงเดินไปทางนั้น ไม่นานผู้หญิงนางหนึ่งแต่งกายคล้ายนางโลมก็เดินยิ้มข้ามถนนตรงเข้ามาหา คล้ายกับว่ามีธุระจะพูดด้วย

2
มาตาฮาจิไม่รู้จักผู้หญิงที่เดินเข้ามาทักตนคนนี้มาก่อน
“ท่านชื่อมาตาฮาจิใช่ไหม”
เจ้าหนุ่มขมวดคิ้วถามว่ามีธุระอะไรกับข้ารึ และได้คำตอบว่าแขกของข้าบังเอิญมองเห็นท่านจากข้างบนนั้น จึงให้ข้ารีบลงมาตามขึ้นไป
มาตาฮาจิกวาดสายตาไปรอบ ๆ จึงได้รู้ว่าละแวกศาลเจ้าแห่งนี้มีบ้านที่เปิดเป็นสำนักนางโลมอยู่หลายแห่ง
“ท่านคงมีธุระต้องรีบไป แต่แขกของข้าบอกว่าอยากพบมากขอให้แวะขึ้นไปนิดหนึ่งก็ยังดี”
ว่าแล้วนางก็รีบดึงไม้ดึงมือเดินนำหน้าลิ่วไปยังสำนักนางโลมใกล้ ๆ นั้น โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะยังลังเลอยู่อย่างไร พอไปถึงผู้หญิงอีกหลายนางก็เข้ามารุมล้อมปรนนิบัติอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง บ้างก็ล้างเท้าและเช็ดให้ บ้างก็จัดแจงถอดเสื้อผ้าที่เปียกฝนให้
มาตาฮาจิได้แต่สงสัยว่าใครคือเพื่อนที่อยากพบตนนักหนา ถามก็ไม่มีใครตอบ บอกว่าขึ้นไปข้างบนก็รู้เอง
แต่เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้วเจ้าหนุ่มก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบอกว่า เสื้อผ้าของข้าเปียกฝนคงต้องขอยืมของที่นี้ผัดเปลี่ยนแล้วรอให้ของข้าแห้งก่อน วันนี้ข้ามีนัดที่สะพานคาราฮาชิจึงโอ้เอ้อยู่ไม่ได้ พอผ้าแห้งก็ต้องไปทันทีอย่ามายื้อยุดเอาไว้ เข้าใจนะ
เจ้าหนุ่มย้ำแล้วย้ำอีกหลายครั้ง
“เจ้าค่ะ ๆ พอได้เวลาอันสมควรแล้ว จะเข้าไปเรียกท่านนะจ้าคะ”
นางโลมทั้งกลุ่มช่วยกันดันตัวเจ้าหนุ่มขึ้นบันไดไป
มาตาฮาจิคิดแล้วคิดอีกก็นึกไม่ออกว่าแขกของนางโลมที่คอยอยู่ข้างบนนั้นคือใครกันแน่ แต่จะเกรงไปใยเพราะตนก็ใช่ย่อยเสียเมื่อไหร่ อย่างน้อยก็ไม่ใช่ไก่อ่อนให้พวกนางล่อมาชน ยิ่งได้เข้ามาอยู่ในบรรยากาศที่คุ้นชินเช่นนี้ก็กรุชุ่มกระชวนขึ้นมาทันที
“โอ้ สุนัขเทพ สหายเรา”
พอได้ยินเสียงทัก มาตาฮาจิก็หน้าตื่นและหยุดชะงักคิดว่าคนบนนั้นทักผิดคนเสียแล้ว แต่พอมองไปที่เจ้าของเสียงที่นั่งขัดสมาธิยิ้มอยู่กลางห้อง จึงรู้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิด แต่ก็พูดไม่ออกได้อุทานออกมา
“เอ๊ะ ท่าน...”
“อ้าว ลืมแล้วรึ ซาซากิ โคจิโร ยังไงเล่า”
“แล้วใครรึ ที่ท่านเรียกว่าสุนัขเทพ”
“ก็ท่านน่ะซี”
“ถ้าหมายถึงข้าละก้อ เรียกเสียใหม่ ข้าชื่อมาตาฮาจิ แห่งตระกูลฮนอิเด็น”
“ทำไมข้าจะไม่รู้ แต่พอมองออกไปเห็นท่านเดินมาจากทางโน้น ก็นึกขึ้นมาได้ถึงครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ที่เห็น ท่านนั่งนิ่งหน้าเคร่งขรึมราวกับเทพเจ้าอยู่กลางฝูงสุนัขเร่ร่อนในความมืดที่รคคุโจมัตสึบาระ ก็เลยเรียกด้วยความเคารพว่าสุนัขเทพไง”
“หยุดเลย อย่ามาตลก ตอนนั้นข้าเข้าตาจนจริง ๆ”
“แต่วันนี้ข้าคิดว่าจะชดเชยให้ก็เลยให้เด็กลงไปเรียกท่านขึ้นมา อย่ามัวร่ำไร ขึ้นมานั่งตรงนี้...ใครอยู่ตรงนั้นเอาจอกสาเกมาให้ท่านเดี๋ยวนี้เลย”
“ข้าอยู่นานไม่ได้และก็ดื่มไม่ได้ด้วย เพราะจะต้องไปตามนัดที่เซตะ
“ใครรอท่านอยู่ที่เซตะรึ”
“มิยาโมโตะ เพื่อนสมัยเด็กของข้า”
มาตาฮาจิพูดยังไม่ทันจะขาดคำ โคจิโรก็สวนขึ้น
“อะไรนะ มูซาชิน่ะรึ อ้อ...คงนัดกันที่ร้านน้ำชาบนไหล่เขาละซี”
“ทำไมถึงได้รู้ดีนัก”
“ข้ารู้หมดละ ทั้งประวัติความเป็นมาของท่านและของมูซาชิด้วย แม่เฒ่าโอซูงิมารดาของท่านข้าก็รู้จัก เคยพบกันวัดบนเขาเอซัน และแม่เฒ่าก็ได้ระบายความทุกข์ยากลำบากใจให้ข่าฟังจนหมด”
“อะไรนะ ท่านน่ะรึได้พบพูดคุยกับแม่ข้า จริง ๆ แล้วข้าเดินตามหาแม่มาตั้งแต่เมื่อวานป่านนี้ยังไม่เจอเลย”
“มารดาของท่านเป็นแม่เฒ่าที่จิตใจเข้มแข็งน่านับถือยิ่งนัก พระที่วัดทุกคนเห็นใจนางกันทั้งนั้น ข้าเองให้สัญญาว่าจะช่วยเป็นดาบสำรองเวลาที่นางประลองยุทธ์กับมูซาชิคู่อาฆาต ถึงกับยกดาบขึ้นชนกันเอาไว้พร้อมคำสัญญา”
โคจิโรล้างจอกสาเกของตนยื่นให้
“มาตาฮาจิ ข้าล้างความบาดหมางหมดสิ้นแล้ว จงดื่มสาเกจากจอกเดียวกันนี้เถิด อย่าหาว่าอวดตัวหรืออะไรเลยนะ เจ้ามีซาซากิ โคจิโรอยู่ด้วยทั้งคน จะไปกลัวอะไรกับศัตรูอย่างมูซาชิ”
ทว่า มาตาฮาจิไม่ยื่นมือออกมารับ


กำลังโหลดความคิดเห็น