xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอน อารมณ์กวี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
โอซือกับโจทาโรเดินตามกันไปนั่งพักที่ตรงโคนต้นไม้ใหญ่สองต้นที่โน้มตัวเข้าหากัน
“ต้นอะไรไม่รู้นะ ใหญ่จัง”
โจทาโรเอ่ยถาม
โอซือมองตามขึ้นไปแล้วบอกว่า
“ต้นเนมุไงล่ะ ในสวนของวัดชิปโปจิที่บ้านนอกก็มี ตอนเด็ก ๆ ข้ากับท่านมูซาชิเคยวิ่งเล่นและนั่งเล่นขายของกันใต้ต้นแทบทุกวัน พอถึงเดือนหกต้นเนมุก็จะออกดอก กลีบเป็นฝอยสีแดงอ่อนๆ เหมือนเส้นด้าย พอพลบค่ำใบที่เหมือนต้นถั่วก็จะหุบเข้าหากัน”
“เนมุ...นอนกลับ รู้ละเพราะหุบใบนอนหลับเองถึงเรียกว่าต้นเนมุ”
“แค่พ้องเสียงเท่านั้น แต่ใช้ตัวคันจิไม่เหมือนกันหรอก ตัวคันจิของต้นไม้นี้แปลว่าสุขด้วยกัน”
“ทำไมรู้ไหม”
“ไม่รู้ซี เนมุเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกกัน แล้วคงมีผู้มีความแตกฉานด้านอักษรจีนคิดตัวคันจิมาเทียบเสียงให้ แต่เจ้าไม่ต้องคิดเรื่องชื่อให้มากความหรอก ดูซิ...แค่เห็นต้นไม้สองต้นนี้ก็รู้แล้วว่าสุขด้วยกันแค่ไหน”
“อะไร้...ต้นไม้น่ะรึจะรู้ทุกข์รู้สุข”
“โจทาโร ต้นไม้ก็มีหัวใจนะเจ้า มองไปรอบ ๆ ตัวแล้วดูให้ดี ๆ เจ้าก็จะเห็นว่าต้นไม้ที่ยืนอยู่ทั่วทั้งป่า บางต้นดูมีความสุข บางต้นโดดเดี่ยวเศร้าสร้อย บางต้นระทมทุกข์กับบาดแผลร้องครางอยู่ต้นเดียว หมู่ไม้ที่กำลังงอกงามเติบโตเหมือนเจ้าก็ชวนกันร้องเพลงร่าเริงเบิกบาน และหมู่ไม้ใหญ่ที่ผ่านโลกมานานบางครั้งก็โกรธเกรี้ยวกับโลกที่ไม่เป็นธรรม แม้ก้อนหินก็ยังบอกอะไรเราได้ถ้าคิดจะฟัง แล้วจะว่าต้นไม้ที่อยู่ใกล้ชิดตัวเราเช่นนี้ไม่มีจิตวิญญาณกระไรได้”
“ฟังแล้วข้าชักจะเห็นจริง แล้วโอซือคิดยังไงกับต้นเนมุคู่นี้”
“ฉันมองว่าเป็นต้นไม้ที่น่าอิจฉา”
“ทำไมเหรอ”
“เจ้าจำบทกวีของกวีเอกฮาคุราคุเท็นสมัยราชวงศ์ถังที่เคยมีผู้รู้ท่านหนึ่งที่คฤหาสน์คาราซุมารุร่ายให้เราฟังได้ไหม”
“อือ พอจะจำได้”
“ข้าเห็นต้นไม้สองต้นนี้แล้วนึกถึงท่อนสุดท้ายของบทกวีที่ว่าเราจะไม่มีวันแยกจากกัน อยู่บนสวรรค์เราก็จะเป็นดั่งนกที่ขวาเป็นท่านซ้ายเป็นข้า อยู่บนดินเราก็จะเป็นดั่งต้นไม้ที่ประสานกายอยู่คู่กันดังนี้ ไม่มีใครอาจมาพรากให้จากกันได้”
“ประสานกาย ?...ยังไงเหรอ”
“คือต้นไม้สองต้นประสานกิ่งกับกิ่ง ลำต้นกับลำต้น และรากกับราก รวมตัวเป็นไม้ต้นเดียวกัน ร่วมสุขสันต์กันในฤดูใบไม้ผลิและเศร้าสร้อยเมื่อถึงฤดูกาลที่ใบไม้ร่วงทั้งบนสวรรค์และบนดิน”
“โธ่เอ๋ย นึกว่าอะไร ที่แท้ก็รำพันถึงตัวเองกับท่านมูซาชิ”
“โจทาโรนี่ เดี๋ยวเถอะ”
“จะเพ้อฝันยังก็ก็ตามใจละกัน”
“ฟ้าเริ่มสางแล้ว เมฆบนฟากฟ้ายามเช้าวันนี้งดงามเหลือเกิน”
“นกเริ่มส่งเสียงทักทายกันแล้วละ เดินลงไปสุดเนินเขานี้แล้วค่อยกินข้าวเช้ากันนะ”
“โจทาโร ไม่ท่องบทกวีบ้างรึ”
“จะให้ท่องบทอะไรล่ะ”
“พอพูดถึงท่านฮาคุราคุเท็น ยังมีอีกบทหนึ่งที่โจทาโรก็เคยท่องจำตอนอยู่ที่คฤหาสน์ จำได้ไหม”
“อ๋อโจคังโค จดหมายของเมื่อพ่อค้าน่ะเหรอ”
“ใช่ ๆ บทที่เมียพ่อค้าบนฝั่งแม่น้ำเขียนถึงผัวที่ล่องเรือเดินทางไปค้าขายแดนไกล ท่องให้ฟังหน่อยเถอะ ไม่ต้องใส่ทำนองเสนาะก็ได้”
โจทาโรพยักหน้าแล้วเริ่มท่องบทกวีจีนโบราณ ด้วยเสียงของเด็กชายที่มีกังวานแจ่มใสมีจังหวะจะโคนน่าฟังยิ่งนัก จดหมายของเมียพ่อค้าบนฝั่งแม่น้ำที่เป็นภาษาโบราณนั้นพอจะจับใจความได้ว่า
ตอนที่ยังเป็นเด็กหญิงไว้ผมม้าข้าชอบไปเก็บดอกไม้ที่ประตูใหญ่
ท่านใช้ไม้ไผ่ต้นยาวค้ำกายเดินโย่ง ๆ มาที่ข้า
ด้วยท่วงท่าองอาจของทหารม้า
แล้วเล่นกับลูกบ๊วยเขียว ๆ ที่เกลื่อนอยู่
สองเด็กน้อยอาศัยอยู่ในหมู่บ้านโจคัง
ไม่มีใครแคลงใจหรือสงสัยอะไรต่อกัน
โจทาโรท่องรวดเดียวจบก่อนถามว่า
“บทนี้ใช่ไหม”
“ใช่ เพราะจัง ท่องต่ออีกสิ”
ข้าเป็นเมียท่านเมื่ออายุสิบสี่
ข้าไม่หัวเราะเลยเพราะเขินอาย
ได้แต่ก้มหน้าและมองฝาเรือน
แม่ท่านจะเรียกสักพันครั้งก็ไม่เหลียวมามอง
เมื่ออายุสิบห้าข้าเริ่มเลิกขมวดคิ้ว
และตั้งใจแล้วว่าจะอยู่กับท่านไปชั่วกาลนาน
จนกายเป็นเถ้าถ่านไปด้วยกัน
ไม่เคยนึกว่าจะต้องปีนป่ายขึ้นไปบนยอดเขา
และตั้งตาคอยการกลับของท่านเยี่ยงนี้
เมื่ออายุสิบหก…
โจทาโรชะงัก หันมาจ้องหน้าโอซือที่กำลังเคลิ้มฟังทำตาลอย แล้วตัดบทว่า
“บทกวีเอาไว้แค่นี้ก่อน ข้าหิวจนท้องร้องแล้ว รีบลงไปกินข้าวเช้าที่โอสึกันเถอะ”


2
อากาศและพื้นดินยังชื้นหมอกและน้ำค้าง
ควันไอน้ำจากหม้อหุงข้าวพวยขึ้นต้อนรับอรุณรุ่งจากเรือนเล็กเรือนใหญ่ในเมือง ราวกับควันจากสนามรบ เห็นย่านโรงเตี๊ยมตั้งแต่ด้านเหนือของทะเลสาบไปจนถึงอิชิยามะสลัวลางอยู่ในม่านหมอกยามเช้า ล่างลงไปจากเมืองโอสึ
ความเบื่อหน่ายจากการเดินทางอยู่บนหลังแม่วัวมาตลอดคืนบนภูเขา ทำให้เจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่อดอุทานออกมาดัง ๆ ไม่ได้เมื่อเห็นตัวเมืองพร้อม ๆ กับทิวทัศน์อันตื่นตาตื่นใจยามรุ่งอรุณ จนต้องขยี้ตามองอีกครั้ง
ณ เวลาเดียวกันนี้ โอซือกับโคจิโรน่าจะกำลังเดินข้ามเขาชิงะมาทางทะเลสาบ และใจคงลิงโลดไปด้วยความหวัง เมื่อเห็นหลังคาบ้านเรือนของเมืองโอสึ
มูซาชิกับแม่วัวออกจากร้านน้ำชาที่สันเขา และกำลังอยู่บนทางระหว่างเนินเขาด้านหลังวัดมิตสึอิกับเนินบิโซจิ ของซุ้มประตูจีน
ไม่รู้ว่าโอซือกับโคจิโรมากันทางไหน แต่คำนวณเวลาและทิศทางดูแล้วก็ไม่แปลกอะไรที่จะมาพบกันตรงนี้ก่อนที่ไปถึงจุดนัดพบที่เซตะริมทะเลสาบ ถึงกระนั้นก็ยังไม่มีวี่แวว
มูซาชิไม่ได้ผิดหวังอะไร เพราะแค่คิดว่าอาจได้พบกันกลางทางเท่านั้นเอง
เมื่อไม่พบได้พบกันกลางทาง เจ้าหนุ่มก็ย้อนคิดไปถึงรายงานของนางเมียร้านน้ำชาซึ่งเป็นคนนำจดหมายนัดไปส่งให้โอซือที่ว่า นางไม่ได้พบกับโอซือโดยตรงเพราะโอซือไม่ได้อยู่ที่คฤหาสน์แล้ว แต่คนที่นั่นรับฝากจดหมายเอาไว้บอกว่าจะจัดการเอาไปส่งให้ถึงมือ
เมื่อเป็นเช่นนี้ จดหมายตนน่าจะถึงมือโอซือเมื่อคืน แต่สุขภาพร่างกายนางน่าจะยังไม่ดีนัก คงต้องใช้เวลาเตรียมตัวเดินทางมากหน่อยอย่างเร็วก็คงออกเดินทางกันเช้านี้ และกว่าจะถึงที่นัดพบก็คงจะราวค่ำ ๆ วันนี้
 เจ้าหนุ่มนักดาบวาดภาพอยู่ในใจและคิดว่าไม่จำเป็นต้องรีบเร่ง แม่วัวก็ไม่ได้เชื่องช้ามีเวลาทันถมเถ
แม่วัวร่างใหญ่เดินฝ่าน้ำค้างยามดึกมาจนเปียกชื้นไปทั้งตัว พอเห็นสีของใบหญ้าสด ๆ ยามเช้าก็แวะเข้าไปและเล็มและเคี้ยวเอื้องดูน่าอร่อย มูซาชิไม่ว่าอะไรปล่อยนางทำตามใจชอบ
แม่วัวเดินเยื่องย้ายมาจนถึงทางถนนที่มีประตูจีนอยู่ตรงข้ามกับบ้านเรือน และมีซากุระต้นใหญ่เก่าแก่ที่คงจะมีชื่อเสียงของท้องถิ่นนี้ สายตาของมูซาชิไปสะดุดอยู่ที่บทกวีที่สลักอยู่บนแท่นหินใต้ต้น
บทกวีของใครกันนะ
แต่แรกก็นึกไม่ออก แต่พอแม่วัวเดินผ่านไปไม่กี่ก้าวก็คิดขึ้นมาได้
ใช่แล้ว เป็นบทกวีในไทเฮกิ วรรณกรรมสมัยคามาคุระนั่นเอง
ไทเฮกิเป็นวรรณกรรมเชิงบันทึกประวัติศาสตร์ที่มูซาชิโปรดปรานมากเล่มหนึ่งสมัยเด็ก บางช่วงตอนถึงกับจำ ได้ขึ้นใจ
กวีบทที่เห็นบนท่านหินใต้ต้นซากุระเรียกความจำสมัยเด็กของเจ้าหนุ่มร่างใหญ่บนหลังแม่วัว ให้กลับคืนมาเป็นช่องเป็นฉาก และท่องบทกวีตอนหนึ่งในไทเฮกิออกมาอย่างคล่องปาก
พระสงฆ์อาวุโสแห่งวัดชิงา ยันตัวไว้ด้วยไม้เท้า ขนคิ้วทั้งคู่ที่ชิดกันเป็นเลขแปดเปียกน้ำค้าง ขณะที่กำลังเพ่งสมาธิมองภาพพระโพธิสัตว์คันนอนบนคลื่นทะเลสาบอยู่นั้นเอง นางโลมสถานเริงรมย์เคียวโกคุประจำราชสำนัก กลับจากสวนดอกไม้เดินผ่านมาและพอดีสบสายตากัน ไฟพิศสวาสปะทุขึ้นทันใด พระคุณเจ้าตะบะแตก ศีลธรรมและจรรยาบรรณถูกเผาผลาญมอดไหม้...
“ตรงนี้ลืม ไม่รู้ต่อไปเป็นยังไง”
มูซาชิข้ามไปอีกตอนหนึ่งที่จำได้ดี
ท่านเจ้าคุณกลับกุฏิในป่า รีบคลานเข้าไปสวดภาวนาต่อหน้าพระพุทธรูป ขณะที่ภาพของนางโลมติดตรึงอยู่ในใจ แม้จะเปล่งเสียงพร่ำเรียกชื่อพระพุทธองค์ แต่ก็ได้ยินเป็นเสียงหายใจที่สะท้านไปด้วยกิเลส หมู่เมฆบนฟากฟ้าเหนือขุนเขายามอาทิตย์อัสดงก็ดูคล้ายหวีประดับเรือนผมของนาง และเมื่อมองเหม่อออกไปมองจันทร์ก็เห็นเป็นใบหน้างามสคราญแย้มยิ้มลงมา
ด้วยความกลัวว่าถ้าไม่สลัดกิเลศตัณหาที่รุมเร้าออกไปให้พ้นก็จะเป็นตราบาปติดตัวไป ไม่ได้ไปผุดไปเกิดในพิภพที่ดี จึงคิดว่าควรไปพบนางที่สำนักนางโลมในราชสำนัก พอตกลงใจได้ดังนั้น ท่านเจ้าคุณก็ถือไม้เท้ายันกายเดินไปจนถึงพระราชวัง และปักหลักยืนคอยนางอยู่ที่สนามเตะบอลทั้งวันและทั้งคืน
“พ่อหนุ่ม พ่อหนุ่มนักเดินทางบนหลังแม่วัว หยุดหน่อย”
มูซาชิหันไปทางเสียงเรียก และเพิ่งรู้ว่าตัวขี่แม่วัวเข้ามาอย่างสง่าผ่าเผยอยู่กลางเมือง


กำลังโหลดความคิดเห็น