MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ
นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ดวงตาของโอซือจับจ้องไปข้างหน้าผ่านระเบียงกระท่อมไปยังฟากฟ้าไกล
ส่วนโจทาโร พอกินขนมเสร็จก็ฉวยข้าวของติดตัวขึ้นมาถือไว้แล้วร้องชวน
“ไปกันเถอะ”
แต่โอซือยังนั่งเฉย ไม่มีทีท่าว่าจะขยับเขยื้อน
“เป็นอะไรไปรึ โอซือ”
หนุ่มน้อยชักจะหงุดหงิดที่อีกฝ่ายไม่กระตือรือร้นดังใจนึก
“โจทาโร ข้าว่าเราอย่าไปที่วัดมุโดจิดีกว่า”
“อ้าว”
อุทาน แล้วทำปากยื่นอย่างไม่สบอารมณ์ขึ้นมาจริง ๆ
“ทำไมล่ะ”
“ไม่ทำไมหรอก”
“อะไรกันเนี่ย ไม่เข้าใจจริง ๆ ที่ข้าไม่ชอบผู้หญิงก็เช่นนี้แหละ เหมือนกันไปหมด เห็นคิดถึงกันนักหนาขนาดที่ว่าอยากมีปีกจะได้บินไป แต่นี่อะไร พอรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหนก็กลับทำเป็นเฉยเสียงั้น อยากรู้นักว่าใจจริงเป็นไงกันแน่”
“โจทาโร เจ้าพูดถูก ถ้ามีปีกก็อยากจะบินไปหา”
“งั้นก็ไปกันสิ รีรออะไรอยู่”
“แต่โจทาโร ฟังข้าหน่อยเถิด เมื่อครั้งที่พบกับมูซาชิบนภูเขาอุริวก่อนการประลองยุทธ์ ข้าคิดว่านั่นเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายในชีวิต จึงได้เผยความในใจแก่เขาจนหมดสิ้น และท่านมูซาชิเองก็ยังบอกว่าเราจะไม่ได้พบกันอีกแล้วในโลกนี้”
“แต่ก็เห็นยังมีชีวิตอยู่กันดีทั้งสองคนนี่ ไปพบกันไม่ดีกว่ารึ”
“ไม่ดี”
“มีอะไรที่ทำให้ไปไม่ได้งั้นรึ”
“ใช่ เพราะมีอะไรหลายอย่างที่ฉันยังไม่เข้าใจ ฉันไม่รู้ว่าท่านมูซาชิคิดอย่างไรกับการประลองยุทธ์ที่สนต้นเดี่ยว มูซาชิคิดว่าตนได้ชัยชนะจริงหรือเปล่า และที่ถอยไปหลบอยู่ในเขตสำนักพุทธจักรบนเขาเอซันเพราะเกรงอันตรายหรืออย่างไร ทั้งยังคำที่ท่านพูดกับข้า ทั้งกิริยายามที่สลัดชายกิโมโนออกจากมือข้าที่รั้งเอาไว้แน่นนั่นอีก ข้าปลงใจน้อมรับความจริงแล้วว่าท่านมูซาชิปฏิเสธความรักที่ข้ามอบให้เขาจนหมดใจ ฉะนั้นแม้จะรู้ว่าอยู่ที่ไหน ข้าก็ไม่หาไม่ได้ หากท่านมูซาชิไม่เปิดใจรับข้า”
“อย่างนี้ ถ้าครูของข้าไม่เปิดใจเป็นสิบปี ยี่สิบปีสิบปี ยี่สิบปี โอซือจะทำยังไง”
“ข้าก็จะอยู่ของข้าอย่างนี้”
“นั่งมองท้องฟ้าไปวัน ๆ อย่างนี้น่ะรึ”
“ใช่”
“โอซือนี่แปลกคนจริง ๆ”
“โจทาโรอาจไม่เข้าใจ แต่ข้าเข้าใจดี”
“เข้าใจอะไร”
“หัวใจของมูซาชิไง หลังจากกันเป็นครั้งสุดท้ายที่ภูเขาอุริว ข้ารู้จักหัวใจของท่านมูซาชิลึกซึ้งยิ่งกว่าแต่ก่อนมากนักซึ่งทำให้ข้าเชื่อใจชายผู้นี้ ก่อนหน้านั้นข้ารักท่านมูซาชิอย่างชนิดยอมตายถวายชีวิต และต้องสารภาพกับเจ้าตรง ๆ เลยว่ามีความทุกข์เหลือทนตลอดมากับการที่ต้องจากพรากไม่ได้แนบชิดสนิทกาย แต่ถ้าถามว่าเชื่อใจเขาจริงไหม ข้าตอบไม่ได้เพราะไม่รู้ใจตัวเอง
แต่ตอนนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าเชื่อแล้วว่าแม้เราจะตายจากกัน ต้องจากพรากกันไปคนละทิศละทาง แต่ใจของเราจะแนบชิดกันเหมือนขนนกที่ประสานกันเป็นปีก เหมือนกิ่งไม้ที่ก่ายเกยอยู่เคียงกัน เช่นนี้ใจข้าจึงไม่เดียวดายอีกต่อไป แต่จะส่งใจไปเฝ้าภาวนาให้ท่านมูซาชิก้าวไปจนบรรลุจุดหมายบนวิถีแห่งดาบ”
เห็นยืนฟังเงียบๆ อยู่ดี ๆ ที่ไหนได้ ทันทีที่โอซือพูดจบ เจ้าหนุ่มน้อยโจทาโรก็เดือดเป็นฟืนเป็นไฟ กระทืบเท้าเร่า ๆ ร้องลั่น
“โอซือโกหก พวกผู้หญิงไม่มีใครพูดจริงสักคน ตามใจเลยนะ แล้วอย่ามาบ่นคิดถึง คิดถึง ให้ข้าได้ยินอีก จากนี้ไป จะมาโศกเศร้าโอดโอยยังไง ข้าไม่รู้ด้วยแล้ว”
จะไม่ให้เจ้าหนุ่มเจ็บใจได้ยังไง ในเมื่อความพยายามซอกแซกเที่ยวตามหามูซาชิ ทั้งในเมืองและป่าเขาจนสายตัวแทบขาดมาหลายต่อหลายวันเพื่อความสุขของโอซือ ไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิงไปเช่นนี้
ใครคนหนึ่งเดินถือคบไฟแสงแดงวอมแวม เดินมุ่งหน้าเข้ามาที่กระท่อม หลังตะวันลับขอบฟ้าไปได้ไม่นาน
2
ซามูไรจากคฤหาสน์คาราซูมารุยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้โจทาโร
“ท่านมูซาชิคงคิดว่าโอซือยังอยู่ที่คฤหาสน์จึงให้คนถือจดหมายฉบับนี้มา ท่านประมุขรู้เข้าจึงมีบัญชาให้นำส่งถึงมือโอซือโดยด่วน ข้าจึงนำจดหมายฉบับนี้มาพร้อมกับคำของท่านประมุขที่ว่า ขอให้โอซือรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง”
ซามูไรเสร็จธุระของตนแล้วก็หันหลังกลับไป
โจทาโรมองแวบเดียวก็ร้องออกมาด้วยความดีใจ
“จดหมายของท่านมูซาชิจริง ๆ ด้วย ข้าจำลายมือได้ ถ้าตายไปที่สนามรบสนต้นเดี่ยวครูเราคงเขียนจดหมายฉบับนี้ไม่ได้ แหม...ทีโอซือละก็เขียนถึง แต่ที่เราไม่เห็นเขียนสักคำ”
โอซือได้ยินเสียงคนเจรจากันจึงออกมาดู
“โจทาโร จดหมายที่คนของคฤหาสน์นำมาให้ ส่งมาจากท่านมูซาชิไม่ใช่รึ”
“ใช่ แล้วจะทำไม”
โจทาโรทำเกเรเอาจดหมายซ่อนหลังเสีย
“ไม่ใช่กงการอะไรของโอซือนี่”
“เอามาให้ข้าดูเร็ว”
“ไม่ให้”
“อย่าแกล้งกันได้ไหม เอามานี่”
ว่าพลางโอซือก็ทำหน้าคล้ายกับจะร้องไห้ โจทาโรเห็นเข้าก็ใจอ่อนจึงยื่นจดหมายให้ตรงหน้าด้วยท่าทางประชดประชันเต็มที่
“เอ้า อยากได้นักก็เอาไป คิดถึงเขาใช่ไหมล่ะ ทีข้าชวนไปหาละก็ทำใจแข็ง ทำท่าโน่นท่านี้ทั้งที่คิดถึงเขาจะตายอยู่แล้วเนี่ย”
โอซืออยู่ในอารมณ์ที่ไม่มีหูจะฟังเสียงอะไรอีกแล้ว
นางถือกระดาษจดหมายสีขาวแผ่นนั้นตรงไปส่องกับแสงตะเกียงทันทีที่ได้รับมาจากมือโจทาโร
ดวงไฟวันนี้ดูสว่างไสวไร้เงาเถ้าละออง...หรือว่าจะรู้สึกไปเองด้วยใจที่เพริดแพร้ว เบิกบานราวดอกไม้บานสล่างอยู่เต็มอก
....................................
ที่สะพานฮานาดะ
ข้าทิ้งให้เจ้าเฝ้ารอ
แต่ครานี้
ข้าจูงแม่วัวมาผูกอยู่
ที่ริมทะเลสาบเซตะ
จดหมายจากมูซาชิ
ลายมือสะท้อนจิตใจที่แข็งแกร่งมั่นคงของคนเขียน...และกลิ่นน้ำหมึก
ที่เห็นหมึกดำสะท้อนแสงตะเกียงเป็นประกายราวสีรุ้งนั้น จริง ๆ แล้วเป็นประกายจากหยาดน้ำบนขนตาของนางต่างหาก
หรือว่าฝันไป
ความดีใจสุดซึ้งจูงใจโอซือล่องลอยไปยังโลกต่างมิติ เมื่อครั้งที่จักรพรรดิ์ราชวงศ์ฮั่นสูญเสียหยางกุ้ยเฟยพระชายสุดที่รัก ที่ถูกรถศึกทับเสียชีวิตระหว่างการสู้รบกับพวกกบฎอันลู่ซาน ด้วยโหยหาอาดูรไม่เสื่อมคลาย พระองค์จึงบัญชาให้ผู้ทรงความรู้ทางจิตวิญญาณออกตามหาดวงวิญญาณของนางไปทั่วสารทิศ ตั้งแต่ยอดเขาเผิงไหลไปจนถึงขุมนรกลึกสุดจนสุดท้ายก็ได้พบนางในปราสาทบนทะเล โอซือรู้สึกเหมือนได้สวมวิญญาณของหยางกุ้ยเฟยเมื่อได้รับสารจากพระสวามีในมหากาพย์จีนโบราณบทนั้น
นางอ่านจดหมายสั้น ๆ ฉบับนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้เบื่อ
“ข้ารู้ดีว่าเวลาสำหรับคนที่เฝ้าคอยนั้นมันนานหนักหนาเพียงไร ใช่...ข้าต้องรีบไปหาท่านมูซาชิโดยเร็ว”
โอซือตั้งใจจะบอกกับโจทาโร แต่ด้วยความที่ดีใจจนล้นอกเลยทำให้ฟังดูเป็นการพูดเองเออเองอยู่คนเดียว
โอซือไม่รอช้ารีบ เดี๋ยวเดียวก็เก็บข้าวเสร็จพร้อมออกเดินทาง แต่ก็ไม่ลืมที่จะเขียนคำขอบคุณเจ้าของกระท่อม พระวัดกินกากูจิ และคนอื่น ๆ ที่ช่วยดูแลวางเอาไว้ให้คนละฉบับ
และพอหันไปก็เห็นโจทาโรยังนั่งขัดสมาธิทำหน้างออยู่กลางห้อง
“โจทาโรไปได้เลยนี่ เมื่อกี้เห็นเก็บของหมดแล้ว รีบออกมาเถอะ จะได้ปิดประตูหน้าต่างกระท่อมให้เรียบร้อย”
“ไม่รู้ไม่ชี้ จะไปไหนรึ”
หนุ่มน้อยโจทาโรยังงอนอยู่ นั่งนิ่งชนิดเอาแชลงมางัดก็คงไม่เขยื้อน
3
“โจทาโรโกรธข้ารึ”
“โกรธแน่นอน ไม่ต้องมาถาม”
“โกรธทำไม”
“ก็โอซือเล่นเอาแต่ใจตัวเองไม่นึกถึงหัวอกข้าเลย ข้าเที่ยวหาท่านมูซาชิแทบตาย พอพบแล้วมาชวนไปหา กลับไม่ไปเสียเฉย ๆ แล้วนี่มันอะไรกัน...”
“แต่ข้าอธิบายเหตุผลให้ฟังแล้วนี่นา ไม่เข้าใจข้าเลยรึ แล้วตอนนี้ท่านมูซาชิเป็นคนเรียกมา ข้าถึงได้ดีใจและโลดแล่นไปพบ ข้าผิดตรงไหนรึ”
“ได้จดหมายมาก็อ่านคนเดียว ไม่ให้ข้าอ่านด้วย”
“อ๋อ เรื่องนี้เอง ขอโทษนะโจทาโร”
“ไม่ต้องพูดมาก ข้าไม่อยากอ่านแล้ว”
“น่า อย่าโกรธข้าเลยนะ อ่านจดหมายนี่ดูสิ แปลกจะตายที่ท่านมูซาชิเขียนจดหมายถึงข้า นี่เป็นครั้งแรกเลยนะ ท่านพูดถึงเมื่อครั้งที่ปล่อยให้ข้ารอเก้อด้วยน่ารักจัง และนี่ก็เป็นครั้งแรกอีกที่ท่านมูซาชิไม่เคยพูดอะไรซึ้ง ๆ กับข้า ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความสุขท่วมท้นอกใจเช่นนี้มาก่อน โจทาโรหายโกรธข้าเถอะ เรามาดีกันนะ แล้วช่วยพาข้าไปที่เซตะหน่อยเถอะ”
“... ... ...”
“แล้วโจทาโร ไม่อยากพบท่านมูซาชิหรือไง”
“... ... ...”
โจทาโรปิดปากเงียบ ลุกขึ้นหยิบดาบไม้คู่มือมาเหน็บเอว ฉวยห่อผ้าขึ้นคาดเฉลียงหลัง แล้วกระโจนแผล็วออกไปนอกกระท่อม
“จะไปก็รีบไปสิ ร่ำไรอยู่นั่นแหละ จะปิดประตูกระท่อมแล้วนะ ออกมาไม่ได้ไม่รู้ด้วย”
“คนอะไรไม่รู้ น่ากลั๊ว”
จากนั้นโอซือกับโจทาโรก็พากันเดินไปตามทางข้ามเขาชิงะท่ามกลางความมืดยามราตรี โจทาโรยังงอนอยู่จึงไม่ชวนคุยเช่นเคย
โจทาโรเดินดุ่ม ๆ นำไปข้างหน้า เดี๋ยวกับเด็ดใบไม้มาเป่าเสียงหวีดหวิว เดี๋ยวก็ร้องเพลงบ้าน ๆ ที่คุ้นหู ไม่มีอะไรก็เตะก้อนกินเล่นไปเรื่อย ๆ
โอซือรู้ว่าเจ้าหนุ่มแสนงอนคนนี้หมดฤทธ์และอยากคุยแล้วแต่ก็ยังวางท่าอยู่
“โจทาโร ลืมไปว่าข้าหยิบอะไรดี ๆ ติดมือมาด้วย สนใจไหม”
“อะไรรึ”
“ลูกกวาดซาซะอาเมะไง”
“อือ”
“เมื่อวานซืน คนที่บ้านท่านคาราซุมารุเอาขนมมาให้เยอะแยะ มีลูกกวาดเหลืออยู่ก็เลยเอามาด้วย”
“... ... ...”
โอซืออุตส่าห์ง้อและชวนคุยด้วยแล้ว โจทาโรก็ยังเดินดุ่มไปเงียบ ๆ แม้จะเอาหรือไม่เอาก็ยังไม่ตอบ
“โจทาโรไม่กินรึ ข้าจะได้กินด้วย”
โอซือกลั้นใจเร่งฝีเท้าขึ้นไปเดินข้าง ๆ และพอได้กินลูกกวาดซาซะอาเมะเจ้าหนุ่มน้อยก็อารมณ์ดีขึ้นนิดหนึ่ง
โจทาโรถามเอ่ยถามขณะเดินผ่านสายหมอกยามรุ่งสางข้ามผ่านยอดเขาชิงะ
“คงจะเหนื่อยละสิ โอซือ”
“ใช่น่ะซี ก็มีแต่ทางขึ้นเขาตลอด”
“จากตรงนี้ไปเป็นทางลงเขา เดินสบายแล้วละ โอ๊ะ...นั่นไงสะเลสาบ”
“นั่นทะเลสาบนิโอะ-โนะ-อูมิ แล้วเซตะล่ะอยู่ตรงไหน”
“โน่นไง” โจทาโรชี้ไปทางหนึ่ง “ครูบอกว่าจะรออยู่ที่นั่น แต่จะไปถึงได้เร็วขนาดนั้นเลยรึ”
“แต่กว่าจะถึงเซตะ เราต้องเดินอีกกว่าครึ่งวันเลยนะ”
“จริง มองลงไปจากตรงนี้นึกว่าอยู่ใกล้ ๆ”
ว่าแล้วทั้งสองก็ตกลงกันพักเหนื่อย โจทาโรอารมณ์ดีดังเดิมออกเดินซอกแซกหาที่นั่งพัก
“โอซือ โอซือ มานั่งใต้ต้นไม้นี้เถอะ หญ้าแห้งดีไม่เปียกน้ำค้าง”
โจทาโรกวักมือและส่งเสียงเรียกมาจากตรงที่ต้นไม้ใหญ่สองต้นที่โน้มตัวเข้าหากัน