นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โคจิโรพูดคล่องเป็นช่องเป็นฉากราวน้ำไหลผ่านแผ่นกระกระดานที่ตั้งตรงลงไปในลำธาร เช่นเดียวกับเมื่อครั้งสาธยายความต่อหน้าคณะสงฆ์ที่สำนักพุทธจักรบนภูเขาเอซัน
“เป็นธรรมดาที่ชาวบ้านทั่วไปจะคิดว่าคน ๆ เดียวย่อมสู้กับนักดาบหมู่มากหลายสิบได้ยาก แต่นักดาบหลายสิบที่ว่านั้นแต่ละคนเก่งบ้างไม่เก่งบ้างคละกันไป ไม่ได้หมายความว่ามีฝีมือเป็นหลายสิบเท่าของนักดาบบุกเดี่ยวผู้นั้นเสียเมื่อไร”
โคจิโรยกทฤษฎีขึ้นมาวิเคราะห์วิจารณ์อวดภูมิความรู้เชิงดาบ พูดเรื่อยลื่นไหลตามแต่ลิ้นจะพาไปไม่หยุดง่าย ๆ
ไม่ว่าจะเป็นการเล่นหมากรุกหรือการแข่งขันใดก็ตาม เป็นธรรมดาที่ผู้ดูซึ่งเป็นบุคคลที่สามจะเห็นความเป็นไปในสนามแข่งชัดกว่าคนที่กำลังต่อสู้กัน และในฐานะบุคคลที่สามโคจิโรซึ่งมีอคติกับมูซาชิอยู่แล้ว จึงสามารถจับผิดได้เท่าที่ต้องการ แม้มูซาชิจะได้ชัยชนะอย่างสง่างามเพียงใด
โคจิโรทั้งสบประมาททั้งประณามมูซาชิว่า การสังหารเด็กหนุ่มอ่อนวัยผู้ได้ชื่อว่าเป็นทายาทของตระกูลโยชิโอกะนั้น นอกจากจะเป็นการกระทำที่ชั่วช้าไร้มนุษยธรรมและเป็นบาปอย่างร้ายแรงแล้ว ยังผิดจริยธรรมของผู้อยู่บนวิธีแห่งดาบ อย่างมีมีทางที่จะให้อภัยได้
เท่านั้นยังไม่พอ เจ้าหนุ่มนักดาบทรงสำอางยังขุดเอาพฤติกรรมสมัยเด็กและวัยรุ่นของมูซาชิที่บ้านเกิดมาตีแผ่ เจาะลึกไปจนถึงเรื่องที่ทำให้แม่เฒ่าแห่งตระกูลฮนอิเด็นผูกใจเจ็บ ออกตามล่าล้างแค้นมาจนทุกวันนี้
“ถ้าไม่เชื่อก็ไปถามแม่เฒ่าฮนอิเด็นดูก็ได้ ระหว่างพักอยู่ที่คมปงจูโดข้าได้พบพูดคุยกับแม่เฒ่าจนสนิทสนมกัน จึงได้รู้เรื่องในวัยเด็กของนักดาบไร้ศีลธรรมผู้นี้ คิดดูเถิดว่าคนที่ทำให้หญิงเฒ่าชราอายุใกล้จะหกสิบโกรธเกรี้ยวถึงกับตามล้างแค้นคนนั้น จะมีดีตรงไหน อยากรู้นักเมื่อรู้เบื้องหลังอันดำมืดของคนที่วางท่าว่าเป็นนักดาบผู้หาญกล้าเช่นนี้แล้วจะยังมีคนสรรเสริญเยินยออยู่อีกไหม
เมื่อกี้ข้าฟังพวกเจ้ากล่าวขวัญชายผู้แล้วขัดใจนัก จึงได้ลุกขึ้นชี้แจงให้รู้ความจริงกันสักที ข้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าจะมีส่วนได้ส่วนเสียอะไรกับสำนักดาบโยชิโอกะ หรือว่ามีเรื่องบาดหมางอะไรกับนักดาบที่ชื่อมูซาชิผู้นี้เป็นการส่วนตัว แต่พูดในฐานะคนรักดาบและฝึกในวิชามาบนวิถีแห่งดาบจนรู้ซึ้งถึงจิตวิญญาณของนักดาบ เพื่อให้พวกเจ้าได้ประจักษ์ความเป็นจริง หวังว่าพวกเจ้าคงจะเข้าใจนะ ช่างตัดหินทั้งหลาย”
โคจิโรคงจะคอแห้งที่สาธยายมานาน จึงฉวยถ้วยชาขึ้นมาดื่มรวดเดียวเกลี้ยงแล้วหันไปปรารภกับกลุ่มพระนักรบที่มาด้วย
“บ่ายจัดแล้วนะท่าน”
“จริง ถ้าไม่รีบออกเดินทาง จะมืดเสียก่อนถึงวัดมิอิ”
พอพระนักรบคนหนึ่งเตือน ทุกคนก็ลุกขึ้นจากแคร่ที่นั่งอยู่นานจนเป็นเหน็บไปตาม ๆ กัน เตรียมออกเดินทางส่วนพวกช่างซึ่งยังงง ๆ กันอยู่และนิ่งฟังเงียบ ๆ มาตลอดก็ถือโอกาสนั้น ลุกขึ้นด้วยความรู้สึกโล่งอกเหมือนหลุดออกมาจากลานพิพากษาโทษ และพากันเดินกลับลงไปทำงานที่หุบเขาตามเดิม
เงาม่วงอมเทาทาบทับทั่วหุบเขา เสียงนกน้อยกู่หากันคล้ายชวนกลับรัง
“ลาก่อนนะท่าน”
“หากผ่านมาคราวหน้า อย่าลืมแวะไปที่สำนักนะท่าน”
หลังฟังคำสาธยายซ้ำสอง และเห็นว่าพาโคจิโรมาส่งที่จุดเริ่มต้นของการเดินทางเรียบร้อยแล้ว พระนักรบจึงพากันลากลับสำนัก
“ยาย”
เจ้าหนุ่มนักดาบทรงสำอางร้องบอกเข้าไปในกระท่อม
“ข้าวางเงินค่าน้ำชาไว้ตรงนี้นะ แล้วก็ขอเชือกชนวนติดมือไปสักสองสามเส้นด้วย เตรียมไว้จุดกับหินเหล็กไฟเวลาเดินป่าตอนค่ำมืด”
แม่เฒ่านั่งยอง ๆ เอาฟืนใส่เตาไฟเตรียมหุงหาอาหารร้องตอบออกมา
“เชือกชนวนรึ ข้ามัดเป็นฟ่อนแขวนไว้ตรงมุมห้องนั่นแน่ะ หยิบไปใช้ตามสบายเลย”
โคจิโรก้าวยาว ๆ เข้าไปในกระท่อม ตรงไปที่มุมห้องแล้วดึงเชือกชนวนออกมาจากฟ่อนสองสามเส้น ความแรงของพลังหนุ่มทำให้ตะปูที่ฟ่อนเชือกชนวนหลุดตามมือมา และเชือกชนวนหลุดจากฟ่อนกระจายลงไปที่แคร่ตรงนั้น
โคจิโรยื่นมือออกไปจะคว้าไว้ด้วยสัญชาตญานของนักดาบ แต่ก็ต้องชะงักสายตาอยู่ที่เท้าคู่หนึ่งของใครสักคนที่ตนไม่ได้ทันสังเกตนอนอยู่บนนั้น เจ้าหนุ่มค่อย ๆ เบนสายตาไล่จากเท้าขึ้นไปจนถึงใบหน้า แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวรู้สึกเหมือนถูกชกเข้าที่ยอดอกอย่างแรงจนแทบล้มผางลงไป
มูซาชินอนหนุนท่อนแขนแทนหมอนอยู่บนแคร่ ลืมตาขึ้นมาจ้องมองเขม็ง
2
โคจิโรผงะเบี่ยงตัวออกมาด้วยท่วงท่าของนักดาบที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี
“หือ ?”
มูซาชิอุทานเป็นคำถามแล้วยิ้มยิงฟันขาว ขยับตัวขึ้นนั่งทำท่าคล้ายกับว่าเพิ่งรู้สึกตัวตื่น ก่อนลงจากแคร่เดินยิ้มออกจากกระท่อมไปหยุดอยู่ข้าง ๆ โคจิโรซึ่งยืนอยู่ตรงชายคา มองไปยังอีกฝ่ายด้วยดวงตาเป็นประกายสุกใสตรงออกมาจากใจ ฝ่ายโคจิโรพยายามจะยิ้มตอบแต่ใจไม่อาจฝืนตาม ใบหน้าจึงตึงขึงไม่อาจสร้างรอยยิ้มออกมาได้
โคจิโรชาไปทั้งตัวเมื่อสบกับดวงตาคมวาวเป็นประกายของมูซาชิ รู้สึกว่ากำลังถูกยิ้มเยาะที่ตนผงะออกไปตั้งท่ารับอย่างฉับไวด้วยสัญชาตญานนักดาบเมื่อครู่ก่อน แล้วยิ่งคิดว่ามูซาชิจะต้องได้ยินทุกคำพูดที่ตนสาธยายให้พวกช่างตัดหินฟังด้วยแล้ว ก็ยิ่งอึดอัดอยู่ในอกจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี
แต่นักดาบเหนือชั้นอย่างโคจิโรหรือจะยอมให้ความรู้สึกเช่นนั้นครองใจอยู่ได้นาน แค่ไม่ถึงอึดใจก็ปั้นหน้าเป็นเจ้าหนุ่มนักดาบทรงสำอางได้ตามเดิม
“อ้าว ท่านมูซาชิ อยู่ที่นี่เองรึ”
“ยินดีที่ได้พบท่านอีก”
“เช่นกัน ข้าอยากจะบอกว่าเชิงดาบของท่านตอนนั้นไร้เทียมทานโดยแท้ ไม่นึกเลยว่ามนุษย์เราจะมีฝีมือได้ขนาดนี้ ทั้งยังไม่มีริ้วรอยบาดแผลเลยสักนิด ขอแสดงความยินดีด้วย”
โคจิโรกล้ำกลืนความเสียหน้าอย่างยับเยินของตนเองเอาไว้ในส่วนลึก ขณะเอ่ยคำหวานที่สวนทางกับความรู้สึก ซึ่งแม้แต่ตนเองก็ยังรังเกียจว่าช่างน่าอายอะไรเช่นนั้น
มูซาชิยังยิ้มไม่หยุด รู้ตัวว่าท่าทีที่แสดงออกนั้นไม่ตรงกับใจ แต่เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ก็อดถามตัวเองไม่ได้ทำไมตนถึงอยากประชดประชันโคจิโร ทุกครั้งที่ได้เห็นใบหน้าและท่าทางของเจ้าหนุ่มนักดาบทรงสำอางคนนี้
มูซาชิปั้นหน้าให้ดูดีดังเดิมขณะพูดจากด้วยถ้อยคำที่สุภาพเกินตัว
“ข้าต้องขอขอบคุณท่านเป็นอย่างยิ่งที่กรุณามาเป็นพยานเพื่อความเที่ยงธรรมของการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ทั้งยังซึ้งในน้ำใจของท่านที่ได้ยินท่านวิเคราะห์วิจารณ์พฤติกรรมต่าง ๆ นา ๆ ของข้าได้น่าฟังนัก ข้าตระหนักดีว่าคุณค่าของตนในมุมมองของตนเองนั้น แตกต่างอย่างมากกับคุณค่าของตนในมุมมองของสังคม แต่ก็มีโอกาสน้อยนักที่จะได้ยินเสียงที่สังคมพูดถึงตนเอง คำพูดของท่านช่วยเปิดตาข้าให้สว่างจากฝันกลางวัน และย้อนกลับมาดูตัวเองด้วยสายตาเดียวกันกับคนในสังคม ข้าจะจดจำเอาไว้ไม่มีลืม”
จะจดจำเอาไว้ไม่มีลืม...โคจิโรขนลุกซู่ไปทั้งตัว
มูซาชิกล่าวทักทายยืดยาวตามมารยาทด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ และจบลงด้วยวลีสุดท้าย ที่สะท้านสะเทือนเข้าไปในใจโคจิโร ราวกับคำท้าประลองยุทธ์ล่วงหน้าเอาไว้
ความจริงแล้วมูซาชิยังอยากพูดต่อว่า
นักรบซามุไรเฉกเช่นเราและท่านต่างก็เป็นผู้รักความจริงและไม่ให้อภัยผู้กล่าวเท็จ เป็นนักดาบที่มุ่งหน้าไฝ่หาและฝึกฝนวิชาพร้อมกันไปกับการแสวงสัจธรรมอันถ่องแท้ไร้เมฆหมอกมาบดบัง การโต้เถียงวิวาทด้วยวาทะนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าสาดโคลนเข้าใส่กันผลสุดท้ายก็จบลงโดยไม่เกิดประโยชน์ และยิ่งกรณีนี้ด้วยแล้ว ไม่ใช่ปัญหาเล็กน้อยที่จะทำความเข้าใจกันได้โดยง่าย อย่างน้อยในส่วนของตน มูซาชิถือว่าการประลองยุทธ์ที่สนต้นเดี่ยวเป็นเหตุการณ์ที่มีความสำคัญยิ่งต่อชีวิต และเชื่อมั่นว่าเป็นการแผ้วถางทางให้ก้าวหน้าไปบนวิถีแห่งดาบ ไม่คิดว่าตนทำผิดหรือไร้มนุษยธรรม
แต่ถ้อยคำที่โคจิโรสาธยายให้พวกช่างตัดหินฟังนั้นแม้จะมีการเสริมแต่งให้เร้าใจบ้าง แต่ก็เห็นได้ชัดว่าเจ้าหนุ่มนักดาบร่างสำอางผู้นี้มองการกระทำของมูซาชิในวันนั้นว่าเป็นสิ่งผิดและไร้มนุษยธรรม
ฝากไว้ก่อน แต่อย่าคิดว่าจะลืม
มูซาชิไม่ได้พูดออกมา แต่ดูเหมือนโคจิโรผู้มีเลือดนักดาบเข้มข้นไม่แพ้กันจะอ่านใจอีกฝ่ายหนึ่งออก
แม้อารมณ์จะปั่นป่วนแต่โคจิโรก็วางมาดสงบสง่าเอาไว้ ซึ่งก็ไม่ได้ยากเย็นอะไรเพราะการโผงผางออกมาโดยไม่คิดหน้าคิดหลังนั้นไม่ใช่นิสัยอยู่แล้ว คิดว่าถึงยังตัวเองก็พูดออกมาตามที่เห็นไม่ได้ดัดแปลงให้ผิดไปจากความเป็นจริง และแม้จะได้เห็นฝีมืออันแกร่งกล้าของมูซาชิด้วยตาตนเอง เจ้าหนุ่มก็ไม่ได้คิดว่ามูซาชิเหนือกว่าตนแต่อย่างใด
“อืม ข้าจะจำเอาไว้ ว่าแต่ท่านเถิด มูซาชิ...อย่าลืมวาจาที่ได้ลั่นไว้ก็แล้วกัน”
มูซาชิไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มแล้วพยักหน้า
3
โจทาโรเปิดประตูหลังสวนตรงเข้ามา ส่งเสียงดังลั่นเข้าไปในตัวเรือน
“โอซือ ข้ากลับมาแล้ว”
ก่อนทรุดตัวลงนั่งริมลำธาร และล้างเท้าเปื้อนโคลนจนสะอาด
ลูกนกนางแอ่นในรังเหนือป้ายที่เขียนด้วยสีขาวว่าซังเก็ตสึอัน เลอะเทอะไปด้วยขี้นก ร้องจิ๊บ ๆ พลางมองลงมาที่หนุ่มน้อยที่กำลังล้างเท้าอยู่ริมลำธาร
“อู้ย น้ำเย็นจัง เย็นจังเลย”
โจทาโรร้องพลางทำหน้านิ่วคิ้วขมวด แต่ก็ยังส่ายเท้าอยู่ในน้ำไม่ขึ้นมาเช็ดให้แห้ง
ลำธารน้ำใสสายนี้ไหลรินลงมาจากสวนของวัดกินคาคุจิ และเมื่อไหลผ่านเรือนหลังคามุงหญ้าอัดหนาหลังนี้ก็ยิ่งใส แม้น้ำจะเย็นเยียบแต่พื้นดินก็อุ่นสบาย ดอกซุมิเระกลีบบางน่ารักขึ้นอยู่เป็นดง หนุ่มน้อยหรี่ตามองไปรอบ ๆ ดูอย่างมีความสุขอยู่คนเดียว
โจทาโรนั่งเล่นน้ำอยู่ครู่หนึ่งก็ขึ้นมาเช็ดเท้ากับใบหน้านุ่ม ๆ ตรงนั้นจนแห้ง และเดินอ้อมไปทางชานชายคาด้านหน้า เรือนหลังนี้เป็นเรือนเล็กอยู่ที่มุมหนึ่งของบริเวณกินคาคุจิ ซึ่งว่างอยู่พอดีตอนที่ท่านคฤหาสน์คาราซุมารุฝากให้โอซือมาพักพิงรักษาอาการเจ็บป่วย และนางก็ได้เข้ามาอยู่ตั้งแต่วันที่จากกับมูซาชิที่ภูเขาอุริว
โอซืออยู่ที่นี่ในวันประลองยุทธ์ที่สนต้นเดียว
วันนั้น โจทาโรที่เฝ้าดูแลโอซืออย่างใกล้ชิดราวกับแม่นมของเจ้าหญิงสูงศักดิ์ รับอาสาไปสืบข่าวที่สนามประลองยุทธ์ซึ่งต้องเดินไปกลับไกลพอดู แล้วกลับมาเล่าให้โอซือฟังข้างหมอน เล่าละเอียดเสียจนนางรู้สึกเหมือนได้ไปเห็นกับตา
โจทาโรเชื่อว่าข่าวดีจากมูซาชิในสนามประลองยุทธ์เป็นยาขนานเอกที่รักษาโรคภัยที่รุมเร้าโอซืออยู่ได้ดีกว่ายาใด ข้อพิสูจน์ให้เห็นได้ชัดก็คือ ตั้งแต่รู้ว่ามูซาชิรอดปลอดภัย หน้าตาของโอซือก็มีเลือดฝาดและสดชื่นแจ่มใสขึ้นทุกวัน วันนี้ดูแข็งแรงขึ้นมากถึงขนาดลุกขึ้นมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ
ที่ผ่านมาโอซือเศร้าซึมจนโจทาโรอดเป็นห่วงไม่ได้ว่า หากมูซาชิตายที่สนต้นเดี่ยวนางคงจะตรอมใจตายตาม
“หิวจัง โอซือทำอะไรอยู่รึ”
โอซือเงยหน้าขึ้นส่งสายตารับคำทักทายของหนุ่มน้อยผู้ปราดเปรียวอยู่เสมอ
“เปล่า ข้านั่งอยู่อย่างนี้มาตั้งแต่เช้า”
“ไม่เบื่อรึไง”
“ไม่เบื่อหรอก ไม่ต้องลุกขึ้นไปกระโดดโลดเต้นเหมือนเจ้า นั่งปล่อยใจไปโน่นไปนี่เพลิน ๆ ก็สนุกพอแล้ว ว่าแต่เจ้าเถอะ หายไปไหนตั้งแต่เช้ามืดฮึ โจทาโร ในกล่องตรงโน้นมีขนมที่มีคนเอามาให้ ไปกินเสีย”
“ขนมเหรอ ดีจัง แต่เอาไว้ที่หลังก็ได้ ข้ามีเรื่องสำคัญมาบอกโอซือ รับรองต้องดีใจแน่ ๆ”
“เรื่องอะไร”
“ก็ท่านมูซาชิน่ะซี”
“อะไรนะ”
“ท่านมูซาชิอยู่ที่ภูเขาเอซันนี่เอง”
“เอซันรึ”
“ก็ใช่นะสิ ท่านมูซาชิเที่ยวตามหาเราทุกวัน เมื่อวาน เมื่อวานซืน และก็หลายวันก่อนหน้านั้น จนกระทั่งวันนี้ ข้าได้ยินมาว่าท่านมูซาชิพักอยู่ที่วัดมุโดจิ”
“จริงเหรอ งั้นก็หมายความว่ามูซาชิรอดปลอดภัยจากการประลองยุทธ์จริง ๆ”
“รู้แล้วอย่างนี้เราต้องรีบไปที่นั่นเร็วที่สุดเลย เดี๋ยวท่านไปไหนอีกก็จะคลาดกันเสียเปล่า ๆ ข้ากินขนมแล้วจะรับเตรียมตัวทันที โอซือก็เตรียมตัวให้พร้อม จะได้ไปที่วัดมุโดจิเดี๋ยวนี้เลย เร็วเข้า”