นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มาตาฮาจิเดินดุ่มออกไปตามหาแม่ มูซาชิดูเวลาแล้วเห็นว่าเพิ่งเลยเที่ยงวัน ยังอีกนานกว่าจะพลบค่ำและหญิงนำสารจะกลับมา จึงล้มตัวลงนอนเหยียดยาวบนม้านั่งที่มุมหนึ่ง ตามอย่างแม่วัวที่นอนหลับสบายอยู่ที่โคนต้นท้อข้างร้านนั้นเอง
ไม่นาน เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ก็เคลิ้มหลับไปด้วยง่วงจากที่นอนไม่ค่อยหลับตลอดคืนอีกทั้งเมื่อเช้าก็ยังต้องตื่นขึ้นมาตั้งแต่รุ่งสาง และฝันเห็นผีเสื้อสองตัว ตัวหนึ่งที่คิดว่าเป็นโอซือ ขยับปีกบางบินลอดไประหว่างก้านบัวในสระใหญ่
ครั้นรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าบ่ายแล้ว แสงแดดสาดส่องผ่านห้องดินลึกเข้าไปในกระท่อม เสียงสรวลเสเฮฮาดังแว่วมาทำให้สงสัยขึ้นมาว่าตนนอนละเมอลุกขึ้นไปนอนที่อื่นหรือเปล่า
บริเวณหุบเขาข้างล่างนี้เป็นแหล่งตัดหิน พอได้เวลาพักดื่มน้ำชายามบ่าย บรรดาช่างตัดหินที่ทำงานอยู่บนพื้นที่ก็จะพากันขึ้นมากินขนมหวาน จิบน้ำชาพลางพูดคุยกันอย่างสนุก สนานบานใจ
“จะยังไงก็แล้วแต่ ข้าว่าทุเรศว่ะ”
“พวกโยชิโอกะเหรอ”
“ก็นั่นน่ะซี จะมีใครเสียอีกล่ะ”
“เสียหน้าป่นปี้ ไม่มีศิษย์คนไหนฉวยดาบลุกขึ้นมากู้ชื่อเสียงเลยรึ”
“ท่านอาจารย์เค็มโปยิ่งใหญ่เกินไป สร้างเกียรติยศชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วนครหลวงและแว่นแคว้น นักดาบไม่ว่าเก่งมาจากไหนก็ต้องสยบ แต่แล้วความยิ่งใหญ่ของโยชิโอกะก็สิ้นสุดเมื่อท่านผู้ก่อตั้งสำนักคนแรกจากโลกนี้ไป แต่ก็เป็นธรรมดาโลก อาชีพอะไรก็ตามจะรุ่งเรืองเฟื่องฟูก็แค่รุ่นแรก รุ่นที่สองไม่ถึงกับแย่แต่ไม่รุ่ง พอถึงรุ่นที่สามส่วนใหญ่ก็เริ่มตกต่ำ และรุ่นที่สี่น้อยคนนักที่จะมีเกียรติพอที่จะได้ฝังเถ้ากระดูกในหลุมศพเคียงข้าง บรรพบุรุษรุ่นแรกในสุสาน”
“แต่ข้านี่แหละจะทำให้ดู เห็นอย่างนี้ แต่อย่ามาหยามฝีมือกัน”
“พอ ๆ ข้ารู้ว่าเอ็งมีฝีมือ บรรพบุรุษเอ็งทำอาชีพตัดหินสืบต่อกันมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ตั้งแต่มนุษย์เริ่มใช้หินละมัง แต่นี่ข้ากำลังพูดกันถึงตระกูลโยชิโอกะ ถ้าคิดว่าข้าเพ้อ ก็ดูผู้สืบตระกูลท่านโชกุนฮิเดโยชิก็แล้วกัน จะได้เข้าใจว่ามันจริงอย่างที่ข้าพูดไหม”
จากนั้น หัวข้อสนทนาก็ย้อนกลับไปที่เหตุการณ์ที่สนต้นเดี่ยวเมื่อเช้าวันประลองยุทธ์
เจ้าหนุ่มช่างตัดหินคนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาคุยโอ่ว่าเช้าวันนั้นตนอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุพอดีและได้เห็นเหตุการณ์ถนัดชัดเจน และเริ่มเล่าถึงเหตุการณ์ที่ตนเป็นพยานรู้เห็นมากับตาอย่างคล่องปาก คนฟังพลอยสนุกตื่นเต้นตามไปด้วย แสดงให้เห็นได้ว่าเจ้าหนุ่มได้เล่าเรื่องนี้ให้ใคร ๆ ฟังมาแล้วหลายสิบหลายร้อยครั้ง
ยิ่งเมื่อถึงตอนที่นักดาบบุกเดี่ยวชื่อมิยาโมโตะ มูซาชิฟาดฟันกับศัตรูที่เงื้อดาบ ดาหน้ากันเข้ามาเกินร้อยด้วยแล้ว เจ้าหนุ่มยังออกท่าออกทางฟาดฟันราวกับเป็นมูซาชิตัวจริง
ดีที่ตอนเจ้าหนุ่มกำลังเล่าอย่างมันปากอยู่นั้น มูซาชิตัวจริงยังหลับสนิทอยู่ ถ้าตื่นขึ้นมาได้ยินเข้าคงขบขันแทบสำลักและคงทนแบกหน้าอยู่ตรงนั้นอีกไม่ได้
หนุ่มสำอางคนหนึ่งนั่งทำหน้าไม่สบอารมณ์ฟังอยู่บนม้ายาวอีกตัวที่ชายคาหน้าร้าน โดยมีพระนักรบสามรูปจากสำนักพุทธจักรและซามูไรกลุ่มหนึ่งที่พาเจ้าหนุ่มมาส่งถึงร้านน้ำชานี้เมื่อครู่ก่อน ยืนกำกับอยู่
หนุ่มสำอางร่างสูงเพรียวผู้นี้ งามสง่าทันสมัยทั้งทรงผมเกล้าแบบซามูไรและปล่อยผมหน้าละหน้าผาก และชุดเดินทางงดงามทันสมัยเท่าที่บุรุษจะพึงแต่งได้ ดาบเล่มยาวเกินขนาดที่คาดหลัง และดวงตาคมวาวราวเหยี่ยวเชิดชูบุคลิกให้เหนือกว่าหนุ่มรูปงามที่เที่ยวเดินอวดโฉมอยู่ในนครหลวง
แต่ใบหน้าหล่อเหลาที่บึ้งตึงของหนุ่มสำอางบนม้ายาวผู้นั้นทำเอาบรรดาช่างตัดหินเกรงขาม จึงพากันเดินถือถ้วยน้ำชาเลี่ยงเข้าไปในร้านทีละคนสองคนและคุยกันต่อ พอเจ้าหนุ่มคนที่เป็นพยานรู้เห็นเหตุการณ์ที่สมรภูมิสนต้นเดี่ยวเล่าจบ ทุกคนก็หันหน้าเข้าหากันและเริ่มวิพากษ์วิจารณ์เสียงเซ็งแซ่ เดี๋ยว ๆ ก็หัวเราะกันเกรียว แต่ที่ทุกคนกล่าวขวัญถึงไม่ขาดคือชื่อของมูซาชิจนฟังคล้ายท่องคาถา
“นี่แน่ะ ช่างตัดหิน”
ซาซากิ โคจิโร ร้องขึ้นอย่างสุดที่จะอดทน
2
ช่างตัดหินหันขวับมาทางโคจิโรแทบจะพร้อมกัน และต่างขยับตัวเพราะไม่รู่ว่าอีกฝ่ายจะมาไม้ไหน
ที่แน่ ๆ คือหนุ่มสำอางผู้นี้ไม่น่าจะธรรมดา เห็นได้จากการที่มีพระนักรบสองสามรูปจากสำนักพุทธจักรคุ้มกันมาส่งถึงที่นี่
“ขอรับ”
ทุกคนขานรับด้วยคำสุภาพและค้อมศีรษะให้แทบจะพร้อมกัน
“ใครนะที่ช่างรู้ดีนัก เล่าอะไรเป็นตุเป็นตะมาตั้งแต่เมื่อกี้ ไหนขอข้าดูหน้าหน่อยสิ”
โคจิโรยกพัดโครงเหล็กในมือขึ้นชี้กราดไปทางช่างตัดหินทั้งกลุ่มที่ยืนนิ่งมองหน้าสลอนอยู่ตรงนั้น
“พวกเจ้าก็เหมือนกัน เข้ามาใกล้ ๆ นี่สิ ไม่ต้องกลัวข้าทำอะไรหรอก”
“ขอรับ ขอรับ”
“ข้านั่งฟังอยู่ตลอด ดูเหมือนพวกเจ้าจะหลงใหลได้ปลื้มกับมิยาโมโตะ มูซาชิกันเสียเหลือเกิน แต่ขืนพร่ำพูดคะนองปากไปเรื่อยแบบนี้ เกิดอะไรขึ้นภายหลังข้าไม่รู้ด้วยนะ”
“ฮะ อะไรนะ”
“มูซาชิมีดีตรงไหน คนหนึ่งในพวกเจ้าอาจเห็นเหตุการณ์วันนั้นมากับตาจริงอย่างที่เล่าเป็นคุ้งเป็นแคว แต่ข้าแน่ใจว่าไม่มีใครจะได้เห็นอย่างถ่องแท้เท่าข้า ซาซากิ โคจิโรผู้ได้รับการต่างตั้งให้เป็นพยานการประลองยุทธ์คนนี้อีกแล้ว ข้าเฝ้าดูการต่อสู้อย่างใกล้ชิดและพินิจพิจารณาพฤติกรรมของทั้งสองฝ่ายด้วยความเป็นธรรม
หลังจากนั้น ข้าได้ขึ้นไปที่สำนักพุทธจักรบนภูเขาฮิเอะ เชิญพระสงฆ์ทั้งสำนักมาชุมนุมกันที่โบสถ์ใหญ่ คงบนจูโด เล่าความเป็นไปของเหตุการณ์ให้ฟังจนหมดสิ้นพร้อมแสดงความคิดเห็นและความรู้สึกของข้าที่มีต่อการประลองยุทธ์ครั้งนี้ให้รับรู้โดยทั่วกัน ยิ่งกว่านั้นข้ายังเวียนไปบรรยายตามวัดบริวารอย่างทั่วถึงด้วย”
ช่างตัดหินเงียบกริบไปทั้งกลุ่ม
“พวกเจ้าไม่มีความรู้เรื่องวิถีแห่งดาบ มองการต่อสู้แค่แพ้ชนะแล้วก็สรรเสริญผู้ชนะกันไปตามลมปากของคนเล่าที่อ้างว่าเห็นการต่อสู้มากับตาตัวเอง ถ้าจะให้เชื่อว่านักดาบอย่างมูซาชิมีฝีมือเป็นเลิศในปฐพีอย่างไม่มีผู้ใดเทียมทันอย่างที่พวกเจ้าโจษย์ขานกัน คำบรรยายแสดงความคิดเห็นของซาซากิ โคจิโรที่ภูเขาฮิเอะก็จะกลายเป็นเรื่องโกหกทั้งสิ้น
ปกติเวลาได้ยินใครคุยโวกันจริงบ้างไม่จริงว่างแบบเอามันเข้าว่า ถึงจะรู้ข้อเท็จจริงข้าก็ไม่ถือสาอะไร แต่เรื่องนี้ข้าคงปล่อยไปไม่ได้ ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อก็คงต้องถามพระสงฆ์แห่งสำนักพุทธจักรที่มากับข้าสามรูปนี้ เพราะการหลงเชื่อผิด ๆ เป็นอันตรายต่อสังคมยิ่งนัก...ข้าจะเฉลยความจริงให้พวกเจ้าฟัง จงเอียงหูเข้ามาดี ๆ”
“ข...ขอรับ”
“ข้าจะวินิจฉัยให้พวกเจ้าฟัง เริ่มจากจุดมุ่งหมายของมูซาชิที่เป็นคนริเริ่มให้มีการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ซึ่งก็คือการพยายามทำให้ชื่อของตัวเองมีราคาสูงขึ้น โดยการพุ่งเป้าไปที่สำนักดาบโยชิโอกะอันเป็นอันดับเอกในนครหลวง มูซาชิวางแผนก่อเหตุพิพาทขึ้นอย่างแยบยล และสุดท้ายก็สามารถทำให้สำนักโยชิโอกะเข้าทางตามแผน นี่คือความคิดเห็นของข้า”
ช่างตัดหินทำหน้าฉงนแต่เงียบกริบกันเช่นเคย
“ที่ข้าคิดเช่นนั้นก็เพราะ มูซาชิเลือกสำนักดาบโยชิโอกะซึ่งใคร ๆ ก็รู้ว่ากำลังอ่อนแอไม่มีพลังแข็งแกร่งของสมัยท่านเค็มโปเจ้าสำนักคนแรกเหลืออยู่เลยแม้แต่เงา เหมือนต้นไม้แก่ที่กำลังจะแห้งตาย เหมือนคนป่วยที่ใกล้หมดลมแบบปล่อยไว้ก็ตายเอง เป็นคู่ประลองยุทธ์
ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าสำนักดาบโยชิโอกะกำลังอ่อนแอมาก นักดาบที่พอมีฝีมืออาจโค่นล้มลงได้ง่าย ๆ แต่ก็ไม่มีใครทำ เพราะโยชิโอกะทุกวันนี้เหลือแต่ชื่อ ไม่มีฤทธ์เดชที่จะท้าทายฝีมือคนที่อยู่บนวิถีแห่งดาบอีกต่อไป คือชนะไปก็เท่านั้น และอีกอย่างคงเป็นเพราะบารมีของท่านเค็มโปช่วยค้ำจุนเอาไว้ พวกนักดาบนครหลวงจึงมองด้วยสายตาของซามูไรอันทรงเกียรติโดยแท้ ว่าควรอนุรักษ์สำนักดาบโยชิโอกะเอาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ของเจ้าสำนักคนแรก
แต่มูซาชิไม่ใช่เช่นนั้น นักดาบพเนจรผู้นี้เจรจาจาบจ้วง ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่โต เขียนป้ายท้าทายประลองยุทธ์ไปปักที่ถนนใหญ่กลางนครหลวง พร้อมทั้งกุเรื่องขึ้นให้เป็นข่าวโคมลอยแพร่สะพัดไปทั่ว และสุดท้ายก็สร้างละครฉากใหญ่แสดงฤทธ์เดชเพิ่มค่าตัวได้สมใจ”
ช่างตัดหินทำหน้าฉงนอีก
“มูซาชิเป็นคนจิตใจต่ำช้า ขี้ขลาด และเลวร้ายอย่างที่จาระไนเท่าไรก็ไม่หมด เมื่อครั้งที่ประลองยุทธ์กับ เซจูโรก็ดี ดับเด็นชิจิโรก็ดี เจ้านั่นไม่เคยมาตรงเวลานัดสักครั้ง และที่สนต้นเดี่ยวก็เช่นกัน มูซาชิไม่มาสู้ซึ่ง ๆ หน้าแต่กลับอ้อมเข้าทำร้ายข้างหลัง”
ช่างตัดหินเงียบ
“ก็ใช่ ถ้ามองในแง่ของจำนวน ฝ่ายโยชิโอกะมากันเป็นโขยงส่วนมูซาชิมาคนเดียว แต่เบื้องหลังการมาคนเดียวนั้นมีแผนการสร้างชื่อเสียงให้ตนเองแฝงอยู่อย่างแนบเนียน ภาพนักดาบบุกเดี่ยวสู้กับศิษย์สำนักดาบเป็นร้อยย่อมเรียกคะแนนความเห็นใจอย่างท่วมท้นจากสังคม แต่ในสายตาของข้า ชัยชนะของมูซาชิครั้งนั้นไม่มีอะไรมากไปกว่าเล่นชนะเพื่อนตอนเป็นเด็ก แล้วก็เล็ดลอดพ้นไม้เรียวผู้ใหญ่ไปได้ด้วยความว่องไวคน ๆ นี้มองยังไงก็ไม่มีค่ามากไปกว่าพวกสิบแปดมงกุฎเจ้าเล่ห์
แต่ข้าก็ยอมรับในระดับหนึ่งว่ามูซาชิเป็นคนบึกบึนและเจ้าพลัง แต่นั่นไม่ใช่คำชมสำหรับนักดาบผู้มีวิชาเป็นเลิศ แต่ถ้าจะให้มอบความเป็นเลิศให้ ข้าก็ขอให้ตำแหน่งนักหนีตีนผี ให้ก็แล้วกัน เพราะเท่าที่เห็นคน ๆ นี้ดีเลิศอยู่อย่างเดียวคือ ฝีเท้าที่วิ่งหนีได้เร็วราวปีศาจ