นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ถ้าคนที่นั่งสาธยายอยู่ตรงหน้าคือแม่ มาตาฮาจิจะต้องย่นจมูกใส่และทำหน้าเบื่อหน่ายคล้ายจะบอกว่าพูดอยู่ได้ ฟังเสียจนหูจะแฉะอยู่แล้วเช่นเคย แต่คำพูดของมูซาชิ เพื่อนที่ได้พบกันมานานถึงห้าปีกระทบแก่นใจเจ้าหนุ่มอย่างแรงจนน้ำตาร่วงพรู
“เข้าใจแล้ว ข้าเข้าใจและซึ้งในน้ำใจของเอ็งมาก ทาเกโซ”
มาตาฮาจิว่าพลางยกหลังมือขึ้นกดหลังตาเอาไว้
“วันนี้ ข้าจะถือเป็นวันที่หัวใจข้าเกิดใหม่ เท่าที่ครองชีวิตมาจนถึงวันนี่ข้ารู้ตัวว่าไม่มีทางที่จะเอาดีในเชิงดาบได้เลย จึงจะออกเดินทางผ่านแว่นแคว้นต่างต่าง ๆ มุ่งไปยังเอโดะ และถ้าโชคดีได้พบอาจารย์ดี ๆ ระหว่างการเดินทาง ข้าก็จะขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อจะได้มีวิชาความรู้ติดตัวสืบไป”
“ข้าดีใจที่เจ้าคิดได้เช่นนั้น และจะเดินทางไปกับเจ้าด้วย เพื่อช่วยกันหาอาจารย์ดี ๆ หรือไม่ก็ใครสักคนที่จะเป็นเจ้านายดี ๆ ของเจ้า เราไม่จำเป็นต้องตั้งความหวังเสียสูงส่งว่าจะได้เป็นไปผู้เชี่ยวชาญทางวิชาการยิ่งใหญ่อะไรขึ้นมาทันใจ อย่างน้อยในขั้นแรกก็ขอให้ได้เจอผู้มีวิชาสักคนเพื่อจะได้ฝึกฝนเรียนรู้ให้มีวิชานั้นติดตัวต่อไป”
“ข้ารู้สึกเหมือนได้เดินออกมาที่เส้นทางกว้างใหญ่มาก แต่ทีนี้...มันยังมีปัญหาอยู่อย่างนึงน่ะซี”
“ปัญหาอะไรเล่าให้ข้าฟังเดี๋ยวนี้เลย จากนี้ไปถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าแล้วเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถของทาเกโซ เพื่อนเจ้าคนนี้จะจัดการให้เรียบร้อยทุกเรื่อง เพื่อไถ่บาปที่ทำให้นายแม่ใหญ่โกรธและแค้นข้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“เรื่องมันพูดยากอยู่”
“เรื่องอะไรที่ยิ่งปิดบังเอาไว้เงามืดดำของมันจะยิ่งขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว พอรู้ตัวขึ้นมาก็สายเกินแก้ไปเสียแล้ว แต่ถ้าพูดออกมาเสียให้สิ้นเรื่อง มันก็จะกระอักกระอ่วนแค่ตอนที่พูดเท่านั้น อีกอย่างเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ยิ่งไม่มีอะไรต้องอับอายใหญ่ “
“งั้นบอกก็ได้”
“อืม”
“คนที่นอนอยู่ในร้านน้ำชาคือผู้หญิงที่เดินทางมากับข้า”
“ผู้หญิงเหรอ”
“ใช่ แล้วก็ จริง ๆ แล้ว คือ...ว้า...พูดยากจริง ๆ ด้วย”
“อะไรวะ ไม่สมกับเป็นลูกผู้ชายเลยเอ็งนี่”
“ทาเกโซ เอ็งอย่าโกรธข้าเลยนะ เพราะผู้หญิงคนนี้เอ็งก็รู้จักดี”
“อะไรนะ ข้าน่ะเหรอ”
“อาเกมิไง”
มูซาชิตกตะลึง นิ่งอึ้งไป
ตอนพบกันที่สะพานใหญ่โกโจมูซาชิได้ว่าอาเกมิไม่ใช่สาวบริสุทธิราวดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ในทุ่งหญ้าคนเดียวกับได้พบกันครั้งแรก แม้จะไม่ถลำลึกลงไปจนได้ชื่อว่านางโลมเหมือนโอโคแม่บุญธรรมของนาง แต่ก็ปราดเปรียวราวนกน้อยที่โฉบเฉี่ยวไปมาใกล้กองไฟน่ากลัวอันตรายยิ่งนัก จำได้ว่าตอนที่อาเกมิซบหน้าลงสารภาพความในใจและร้องไห้กระซิกกับอก เจ้าหนุ่มเหลือบไปเห็นนักดาบร่างสะโอดสะองไว้ผมปรกหน้าในชุดกิโมโนโอ่อ่าสีสันสมสมัย มองมาจากด้านโน้นของสะพานด้วยสายตาคล้ายริษยา
ครั้นได้ยินว่าเพื่อนมากับอาเกมิ เจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่ก็ถึงกับอึ้ง เพราะนึกห่วงขึ้นมาทันทีว่าการเดินทางไปด้วยกันของผู้หญิงที่มีเบื้องหลังสับสนและเป็นคนไม่คงเส้นคงวาอย่างอาเกมิ กับผู้ชายอ่อนแออย่างมาตาฮาจิไม่น่าจะราบรื่น และคงถึงวันที่จะตกจมลงไปในห้วงเหวอันมืดดำไปด้วยกัน
มูซาชิยังสงสัยอยู่ไม่หายว่า ทำไมผู้หญิงที่มาติดพันกับมาตาฮาจิ ล้วนแต่เป็นหญิงอันตรายทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นโอโคหรืออาเกมิ
มาตาฮาจิมองหน้าเพื่อนที่นิ่งเงียบอยู่ แล้วตีความเอาเองตามประสา
“โกรธรึ แต่ที่ข้าบอกเอ็งตรง ๆ เพราะคิดว่าเก็บเป็นความลับไว้ไม่ดี ก็ไม่แปลกหรอกที่เจ้ารู้แล้วจะรู้สึกแย่”
“พูดอะไรบ้า ๆ ”
เจ้าหนุ่มชายตามองเพื่อนอย่างเวทนา พยายามรักษาสีหน้าให้เป็นปกติเมื่อบอกว่า
“ที่ข้านิ่งไปเพราะมองเอ็งแล้วจนปัญญาไม่รู้จะว่ายังไงถูก จะว่าเอ็งเกิดมาเป็นคนโชคร้าย หรือว่าเอ็งสร้างโชคร้ายขึ้นมาเองก็รู้สึกว่าจะใช่ทั้งสองอย่าง ข้าไม่เข้าใจว่าโอโคทำเอ็งย่ำแย่ถึงขนาดนั้นแล้ว ทำไมถึงมายุ่งกับอาเกมิอีก”
มูซาชิยิ่งพูดก็ยิ่งเจ็บใจที่เพื่อนบ้าบอได้ปานนั้น เมื่อเห็นเพื่อนทำหน้าไม่พอใจมาตาฮาจิจึงเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟังโดยไม่ปิดบัง ตั้งแต่พบกับอาเกมิในโรงเตี๊ยมที่ซันเน็นซากะ แล้วไปพบกันอีกครั้งบนภูเขาอุริวในตอนกลางคืน จนกระทั่งเกิดเหตุที่ทำให้ชวนกันหนีไปเอโดะโดยทิ้งแม่เฒ่าผู้เป็นแม่ไว้ตรงนั้น
“แต่คงเพราะทำบาปทิ้งแม่ไว้คนเดียวบนภูเขาอุริว กรรมเลยตามสนอง คือแผลที่ขาของอาเกมิตอนตกเหวเกิดอักเสบขึ้นจนเดินไม่ได้ เลยต้องนอนพักฟื้นอยู่ที่ร้านน้ำชาหหลายนวันมาแล้ว ข้าเสียใจที่ทำกับแม่เยี่ยงนั้นแต่ก็ทำอะไรไม่ได้แล้ว”
มาตาฮาจิถอนหายใจยาว ก็น่าเสียใจหรอกเพราะเจ้าหนุ่มน่าจะรู้ตัวแล้วว่า ตนเลือกนกที่เล่นกับไฟ แทนที่จะอยู่กับแม่ผู้เปี่ยมไปด้วยความปราณี
2
แม่เฒ่าร้านน้ำชาเดินหลังคุ้มค่อม ย่องแย่งเข้ามาทัก
“มานั่งคุยกันอยู่ตรงนี้เองรึ”
นางทำท่าจะถามอะไรแต่ก็ไม่ถาม กลับเอามือไคว้หลัง แหงนหน้ากวาดตามองไปทั่วฟ้าคล้ายสำรวจอากาศ
มาตาฮาจิเป็นฝ่ายถามขึ้นทันที
“อาเกมิ อาเกมิเป็นอะไรไปรึ”
เจ้าหนุ่มหน้าแดงเรื่อขึ้นนิดๆ
“นางไม่ได้อยู่บนฟูกน่ะนาย”
“ไม่อยู่รึ”
“เมื่อกี้ข้ายังเห็นนอนซมอยู่ แต่ตอนนี้ไม่อยู่แล้วนะ”
มูซาชิสังหรณ์ใจขึ้นมายังบอกไม่ถูก
“มาตาฮาจิ เอ็งไปดูซิ”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่บอกเพื่อน แล้ววิ่งตามเข้าไปในร้านน้ำชาด้วยอีกคน และพอเยี่ยมหน้าเข้าไปในห้องซึ่งจัดไว้ให้เป็นที่นอนของนางก็พบว่าแม่เฒ่าไม่ได้พูดปด
“หมดกัน”
มาตาฮาจิเบิกตาโพลงและร้องลั่น
“ผ้าคาดกิโมโนก็ไม่มี รองเท้า แล้ว...แล้วเงินค่าเดินทางของข้า โธ่ โธ่”
“เครื่องแต่งตัวของนางล่ะ”
“ไม่มีเหลือ แม้แต่หวีหรือปิ่นปักผม นางทำได้ยังไง ทิ้งข้าไว้คนเดียวได้ยังไง โธ่ โธ่”
ใบหน้าของชายที่สาบานน้ำตานองหน้าว่าจะทำตัวเป็นคนเอาการเอางานเมื่อครู่ก่อนนั้น บัดนี้บึ้งตึงด้วยความแค้นใจ
แม่เฒ่าตามเข้ามาที่ห้องดินแล้วเปรยขึ้นคล้ายพูดกับตัวเองว่า
“ข้านึกแล้ว แต่จะบอกท่านลูกค้าก็ยังไงอยู่ก็เลยดูอยู่เงียบ ๆ ท่านไม่รู้อะไร แม่นางที่มากับท่านจริง ๆ แล้วไม่ได้ป่วยเป็นอะไรเลย นางทำมายาแกล้งเป็นป่วยจะได้นอนอยู่เฉย ข้ามองแล้วรู้ทันทีแค่ไม่พูดเท่านั้นเอง”
มาตาฮาจิไม่สนใจฟัง เจ้าหนุ่มผลุนผลันออกไปที่ข้างร้านน้ำชาแล้วมองไปทางสันเขาที่เห็นเส้นทางเดินขาว ๆ คดเคี้ยวไปข้างหน้า
แม่วัวที่นอนอยู่บนพื้นดินใต้ต้นท้อซึ่งดอกเหี่ยวแห้งจนเป็นสีดำ ๆ ส่งเสียงร้องคล้ายหาวออกมายืดยาว
“มาตาฮาจิ”
“... ... ...”
“เอ็งไปยืนอยู่ตรงนั้นทำไม”
“อะไรนะ”
“จะมามัวเหม่อลอยไปใย เรามาอวยพรให้อาเกมิพบชีวิตที่ดีและสงบสุข ในที่ๆนางหนีไปไม่ดีกว่ารึ”
“อือ”
สายลมหมุนอ่อน ๆ พัดพาผีเสื้อน้อยสีเหลืองอ่อนตัวหนึ่งผ่านใบหน้าเรียบเฉยไร้ความรู้สึกของเจ้าหนุ่ม แล้วหายเลยไปทางหน้าผา
“ข้าดีใจมากที่ได้ยินคำพูดของเอ็งเมื่อกี้ เอ็งตัดสินใจอย่างนั้นจริง ๆ นะ”
“ใช่สิ ถ้าไม่ใช่แล้วเอ็งจะให้ข้าทำยังไง”
มาตาฮาจิพูดคล้ายกระซิบลอดไรฟันที่ขบกันแน่น
มูซาชิจับข้อมือเพื่อนแน่น ดึงเข้ามาเพื่อกระตุ้นให้รู้สึกตัวและเบนสายตาเหม่อที่ลอยไปไกลกลับมา
“เส้นทางของเอ็งเปิดกว้างรออยู่แล้วข้างหน้านั่น ลืมทิศทางที่เอ็งพาอาเกมิหนีมาเสียให้หมดมาตาฮาจิ เพราะมันไม่ใช่ทางของเอ็ง เอ็งต้องรีบใส่รองเท้าแล้วออกเที่ยวตามหานายแม่ใหญ่ที่ข้าเห็นเดินลงไปในป่าระหว่างซากาโมโตะกับโอซุให้ทัน อย่าไม่ทิ้งแม่อีก เข้าใจนะมาตาฮาจิ ไปเดี๋ยวนี้เลย”
มูซาชิสั่งพลางหยิบรองเท้าฟาง ผ้าคาดน่อง และสิ่งอื่น ๆ ที่เป็นชุดเดินทางของเพื่อนส่งให้ พร้อมกับถามว่า
“ต้องการเงินสำหรับเดินทางบ้างไหมล่ะ เอ้า...ข้าให้ ถึงจะน้อยนิดแต่ก็คิดว่าคงจะช่วยได้บ้างดีกว่าเดินไปตัวเปล่า ๆ ถ้าเอ็งตั้งใจจะไปเอโดะจริง ข้าก็จะล่วงหน้าไปก่อน เจ้าไปหาแม่ให้พบแล้วตามไปทีหลังแล้วกัน ข้าเองก็อยากพบนายแม่ใหญ่พร้อมหน้ากับเอ็ง เพื่อจะได้ปรับความเข้าใจกันเสียที ข้าจะจูงแม่วัวนี้ไปด้วยและจะรอเอ็งอยู่ที่สะพานคาราฮาชิที่เซตะ เอ็งต้องหาแม่ให้เจอ