xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอน ผีเสื้อกับสายลม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
“มาตาฮาจิ ตอนนี้เอ็งทำมาหากินอะไร”
“อาชีพน่ะเหรอ”
“เออ”

“ข้าเป็นคนไม่มีฝีไม้ลายมือไปสมัครราชการก็ไม่มีที่ไหนเขารับ ก็เลยยังไม่มีงานการอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอันอย่างคนอื่นเขา
“ก็เลยสนุกไปวัน ๆ อย่างนั้นสิ”

“เห็นเอ็งแล้วข้าอดคิดถึงความหลังไม่ได้ เพราะโอโคคนเดียว นางทำให้ทางเดินชีวิตของข้าผิดพลาดไปอย่างไม่มีทางกู้กลับ”
สองสหายพากันมานั่งลงที่ทุ่งหญ้า มองไกลออกไปชวนให้นึกถึงเชิงเขาอิบุกิที่บ้านเกิด

มูซาชินั่งขัดสมาธิลงบนพื้นหญ้า รู้สึกขัดใจอย่างบอกไม่ถูกกับความอ่อนแอขี้แพ้ของเพื่อนที่เห็นกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อยคนนี้
“เอ็งไปโทษโอโคได้ยังไงกันมาตาฮาจิ ผู้ชายที่คิดอย่างนั้นได้นับว่าโฉดเขลาที่สุด คนเราไม่ว่าใครก็ต้องจะสร้างชีวิตของตัวเองขึ้นมาทั้งนั้น คนอื่นจะมาสร้างให้ได้ยังไงกัน”

“ใช่ ข้ารู้ว่าข้ามันไม่ดีมาตั้งแต่ต้น แต่จะว่ายังไงดีละ...คือที่ข้าเป็นข้ามาจนทุกวันนี้ก็เพราะไม่อาจฝืนครรลองของชะตากรรมที่ผ่านเข้ามาในชีวิต ทำได้แค่ปล่อยให้มันฉุดลากไปเท่านั้น”

“แล้วอย่างนี้ เอ็งจะก้าวข้ามกระแสความเปลี่ยนแปลงของสังคมไปได้ยังไง ตอนนี้เอ็งลองไปเอโดะดูสิ เอ็งจะเห็นแต่ผู้คนจากแว่นแคว้นต่างๆหลั่งไหลกันเข้ามาแสวงโชคในดินแดนที่บุกเบิกใหม่ แต่ละคนหิวโซมีแต่ตาเท่านั้นที่คมวาวพร้อมหาช่องโหว่เพื่อประหัตประหารคู่ต่อสู้ คนธรรมดาสามัญไม่มีทางอยู่รอดไปได้”

“น่าเสียดาย ข้าน่าจะเริ่มฝึกฝนวิชาดาบเสียแต่เนิ่นๆ ไม่งั้นป่านนี้คงเก่งแล้ว”

“เอ็งไม่ต้องพูดเลย ปีนี้อายุเพิ่งยี่สิบสองเอง อยากจะเริ่มเรียนก็เริ่มได้เลยไม่สายเกินไป แต่มาตาฮาจิ คนอย่างเอ็งไม่เหมาะกับดาบ ข้าว่าควรเอาดีทางด้านวิชาการมากกว่า เล่าเรียนให้แตกฉานแล้วไปฝากเนื้อฝากตัวกับเจ้านายที่ดี ๆ จะได้เจริญก้าวหน้าเป็นขุนนาง ข้าว่านั้นเป็นวิถีชีวิตที่ดีที่สุดสำหรับเอ็ง”

“เออ ข้าจะพยายามอย่างเอ็งว่า”

มาตาฮาจิดึงหญ้าต้นหนึ่งขึ้นมาคาบเอาไว้ รู้สึกละอายตัวเองอยู่ลึก ๆ

ตนกับมูซาชิเกิดปีเดียวกันในตระกูลนักรบในหมู่บ้านท่ามกลางเทือกเขาเดียวกัน แต่เวลาห้าปีหลังจากที่แยกวิถีชีวิตไปคนละทางได้สร้างความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงระหว่างตนกับเพื่อนคนนี้ แตกต่างกันมาจนเสียดายวันเวลาที่ปล่อยให้ผ่านเลยไปเป็นวัน ๆ อย่างไร้ประโยชน์

ก่อนที่จะได้พบกันวันนี้ มาตาฮาจิได้ยินกิตติศัพท์ความเป็นนักดาบลือนามของมูซาชิมาตลอด ความที่เป็นเพื่อนกันมาแต่เด็กทำให้คิดปรามาสว่า มันก็เด็กบ้านนอกเหมือน ๆ กัน จะเก่งกาจสักเท่าไรเชียว แต่พอมาเจอกันเข้าจริง ๆ หลังห้าปีผ่านไป ก็พบว่ามูซาชิเติบโตเป็นนักดาบที่สง่างามมีรัศมีเปล่งประกายน่าเกรงขาม ไม่เหลือคราบของเจ้าหนุ่มบ้านนอกคนเดิมที่ชวนกันออกรบในสมรภูมิเซกิงาฮาระครั้งนั้น ทุกย่างก้าวของมูซาชิดูมีพลังอาจหาญเกินกว่าที่ตนจะเผยอขึ้นไปตีตัวเป็นเพื่อนเหมือนแต่ก่อนกาล ความยิ่งใหญ่ของมูซาชิทำให้ความรู้สึกขัดแย้งกับเพื่อนคนนี้ที่ค้างคาอยู่ในใจมาตาฮาจิเสมอมามลายหายไป และในเวลาเดียวกันก็ทำให้กำลังใจและความเชื่อมั่นในตัวเองพลอยหมดไปด้วย ได้แต่นั่งคอตกสำนึกตัวและโทษตัวเองที่ใช้ชีวิตผิดพลาดตลอดมา

“เฮ้ย คิดอะไรอยู่ คุยกันอยู่ดี ๆ ทำไมทำตัวห่อเหี่ยวอย่างนั้นละ “

มูซาชิตบบ่ามาตาฮาจิแล้วรู้สึกได้ถึงความท้อแท้ของเพื่อน

“เอ็งจะมานั่งคิดอะไรเอาป่านนี้ ห้าปีผ่านไปแล้วถึงมันจะเสียเปล่าก็ไม่เห็นเป็นไร ถือเสียว่าเกิดช้าไปห้าปีก็เท่านั้นเอง แต่ข้าว่าเอ็งลองคิดทบทวนดูดี ๆ ก่อนดีกว่านะ บางทีห้าปีที่เอ็งคิดว่าหมดไปอย่างเปล่าประโยชน์นั้น จริง ๆ แล้วอาจเป็นช่วงที่เอ็งได้เรียนรู้อะไร ๆ ที่มีคุณค่ามากก็ได้ เพียงแต่เอ็งไม่รู้ตัวเท่านั้น”

“ข้าอายเต็มทน เอ็งอย่าพยายามปลอบเลย”

“เออ มัวแต่ดีใจที่ได้พบเอ็งเลยพูดอะไร ๆ เสียมากมาย เลยลืมบอกเอ็งว่าข้าเพิ่งแยกทางกับนายแม่ใหญ่แม่ของเอ็งเมื่อกี้นี้เอง”
“อะไรนะ แม่อยู่แถวนี้เหรอ”

“ข้าได้ต่อกรกับแม่เอ็งแล้ว สงสัยจริง ๆ ว่าทำไมตอนเกิดมาเอ็งถึงไม่ได้เอาเลือดความแข็งแกร่งและอดทนขอแม่ติดตัวออกมาสักนิดนึงวะ”

2
เห็นลูกที่อ่อนแอไม่เอาถ่านผิดพ่อผิดแม่อย่างมาตาฮาจิเพื่อนของตนคนนี้แล้วมูซาชิอดที่จะเวทนาแม่เฒ่าโอซุงิไม่ได้ว่าช่างเป็นแม่ที่โชคร้ายอะไรเช่นนั้น

โตมาด้วยกันแท้ ๆ ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้

เจ้าหนุ่มนักดาบมองเพื่อนที่นั่งคอตกอย่างคนหมดอาลัยตายอยากด้วยสายตาห่วงใย มาตาฮาจิไม่ใช่คนอื่นไกลปัญหาของเพื่อนก็เหมือนของตนเอง อยากจะบอกว่า

เอ็งดีกว่าข้าไม่รู้ว่าเท่าไรที่มีแม่ เอ็งไม่รู้หรอกว่าใจข้าอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวเพียงใดที่ต้องจากพรากกับแม่ตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก
คิดดูก็แล้วกัน

อะไรเล่าที่เป็นเหตุให้แม่เฒ่าที่แก่ชราปูนนี้ต้องออกเดินทางสมบุกสมบันข้ามป่าเขาลำน้ำใหญ่เล็กด้วยความยากลำบากสุดแสน เพื่อตามไล่ล่าล้างแค้นมูซาชิที่นางปักใจเชื่อว่าเป็นศัตรูชีวิตที่เลวร้ายให้สมแค้น และจะจองล้างจองผลาญไปจนเจ็ดชาติ
ไม่ใช่เพราะความรักเอ็นดูมาตาฮาจิลูกชายสุดที่รักคนนี้หรอกหรือ

ไม่มีอะไรที่เหนือไปกว่านั้น แม่เฒ่าเข้าใจมูซาชิผิดก็เพราะความรักลูกชายอย่างงมงาย หลับหูหลับตารักเหมือนคนตาบอดที่ไม่ยอมฟังคำชี้แนะของคนตาดี...เท่านั้นเอง เท่านั้นจริง ๆ

มูซาชิรู้จักแม่เพียงภาพเลือนรางในความฝัน แต่ก็ไม่ใช่จะไม่รู้ว่าแม่นั้นรักลูกเพียงใด เจ้าหนุ่มเข้าใจความรู้สึกของแม่เฒ่าดีและอดอิจฉาเพื่อนไม่ได้ด้วยซ้ำ มูซาชิก็เป็นปุถุชนคนหนึ่งที่ย่อมขึ้งโกรธและอาฆาตมาดร้ายยามที่ตนถูกแม่เฒ่าสาปแช่งรุนแรง ไล่ตามทำร้าย ข่มขู่สารพัด แต่ก็ชั่วครู่ชั่วยาม พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็ต้องเจ็บแปลบอยู่ในอกกับความอาภัพของตนที่ไม่มีแม่คอยใยดีกับตนเยี่ยงนี้

ต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้นายแม่ใหญ่คลายความเคียดแค้นเราลงบ้าง แต่จะทำยังไงดีล่ะ

มูซาชิมองสภาพของมาตาฮาจิตรงหน้าขณะถามเองตอบเองอยู่ในใจ

ทางเดียวคือเจ้าลูกชายของแม่เฒ่าคนนี้จะต้องเป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาเหนือมูซาชิให้ได้ เพื่อที่แม่เฒ่าจะได้กลับไปบ้านเกิดด้วยความภาคภูมิ ยืดอกอวดชาวบ้านได้เต็มที่ว่าลูกชายตนมีสติปัญญาความสามารถเหนือ มูซาชิมากมายนัก ความภาคภูมินั้นจะยิ่งใหญ่กว่าการได้ตัดหัวมูซาชิเพื่อสังเวยความแค้นเป็นไหน ๆ

คิดได้ดังนั้น เปลวไฟในใจของมูซาชิก็ลุกโชติช่วงขึ้นมาด้วยความรักที่มีต่อมาตาฮาจิผู้เป็นเพื่อน เช่นเดียวกับเมื่อจับดาบ และเช่นเดียวกับเมื่อจับมีดสลักเสลาท่อนไม้ให้เป็นรูปพระโพธิสัตว์คันอน

“นี่แน่ะ มาตาฮาจิ เอ็งเคยคิดบ้างไหม”

ความจริงที่ตระหนักอยู่ในอกทำให้คำพูดนั้นอ่อนโยนอย่างที่เพื่อนรักพึงเอ่ยต่อกัน

“เอ็งมีแม่แสนดีอย่างแม่เฒ่า เอ็งเคยคิดบ้างไหมที่จะทำอะไรสักอย่างให้แม่น้ำตาซึมด้วยความยินดี ข้าที่เป็นลูกกำพร้าแม่มองเอ็งแล้วอดเสียดายแทนเอ็งไม่ได้ที่มีแม่แสนดีเยี่ยงนั้น ที่ข้าว่าน่าเสียดายนั้นไม่ใช่จะกล่าวหาว่าเอ็งไม่เคารพนับถือบุพการี แต่ข้าเสียดายที่เอ็งเกิดมาท่ามกลางความสุขสมบูรณ์ที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะมีได้ แต่เอ็งกลับเหยียบขยี้ความสุขที่เหนือกว่าใคร ๆ นั้นด้วยเท้าของตัวเอง

หากข้ามีแม่อย่างนายแม่ใหญ่ จิตใจข้าคงจะเบิกบานและอบอุ่น ชีวิตข้าคงจะสดใสกว่านี้หลายเท่านัก และไม่รู้ว่าเพลาฝึกฝนวิชาดาบ เวลาตั้งใจจะทำอะไรจะมีแรงบันดาลใจเข้มแข็งขึ้นสักปานใด เพราะตระหนักดีว่าพ่อแม่จะปิติยินดีกับความสำเร็จของลูกจากใจจริง และในทางกลับกันก็ไม่มีอะไรที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้เราบรรลุถึงความสำเร็จ ที่แข็งแกร่งไปกว่าการตระหนักรู้ว่ามีคนเฝ้าคอยชื่นชมความสำเร็จนั้น

เอ็งอาจคิดว่าข้ามานั่งสาธยายปรัชญาบ้า ๆ บอ ๆ แต่ขอให้รู้ว่าข้าหมายความเช่นนั้นทุกคนพูด ขอให้เอ็งตรองดูดี ๆ ข้าเป็นนักดาบพเนจรเหมือนนกที่เหินฟ้าอยู่เดียวดาย มองลงมาเห็นทิวทัศน์งดงาม ตรงนั้นก็ดีตรงนี้ก็สวย แต่ก็ไม่รู้ว่าจะหันไปบอกกับใคร ยามนั้นใจข้าอ้างว้างสุดพรรณนา”

มาตาฮาจินิ่งฟัง

มูซาชิหยุดเมื่อพูดมาถึงตรงนี้แล้วเอื้อมมือไปจับข้อมือเพื่อนไว้แน่น

“มาตาฮาจิ ข้าคิดว่าเอ็งก็เข้าใจและรู้ทั้งรู้ทุกอย่างที่ข้าสาธยายไปทั้งหมดนั่น และอยากขอร้องในฐานะที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ให้เอ็งรื้อฟื้นความรู้สึกเมื่อครั้งที่เราถือทวนวิ่งออกจากหมู่บ้านด้วยความหวังที่จะได้เข้าร่วมในกองทัพไปสงครามที่เซกิงาฮาระ เรามารื้อฟื้นความรู้สึกในตอนนั้นขึ้นมาศึกษาด้วยกันอีกครั้งนะมาตาฮาจิ

ทุกวันนี้แม้ดูเหมือนจะไม่มีการรบพุ่งกัน สงครามที่เซกิงาฮาระก็สิ้นเชื้อไปแล้ว แต่สงครามชีวิตที่อยู่เบื้องหลังสันติภาพยังคุกรุ่นเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายและเล่ห์กล หนทางที่จะเอาชนะและเอาชีวิตรอดอยู่ในสังคมเช่นนั้นได้มีอยู่ทางเดียวคือปรับปรุงตนเองให้เข้ากับยุคสมัยเสมอ ข้าอยากให้เอ็งลุกขึ้นมาถือทวนวิ่งโลดไปข้างหน้าอีกครั้งและสู้ชีวิตอย่างจริงจัง ขอให้เจ้าศึกษาหาความรู้เพื่อจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในสังคม ถ้าเอ็งตั้งใจจริง ข้าก็จะช่วยอย่างเต็มความสามารถที่มีอยู่ หรือจะให้ข้าเป็นทาสเจ้าก็ยอมถ้าเจ้าให้คำสาบานกับฟ้าและดินว่าจะทำเช่นนั้นจริง”

น้ำตาของมาตาฮาจิร่วงเผาะลงบนมือที่ประสานกันอยู่กับเพื่อน

ร้อนราวน้ำที่อุ่นจัด


กำลังโหลดความคิดเห็น