นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มูซาชิหยิบพู่กันออกมาจากกล่องเครื่องเขียนที่ถือติดตัวและเริ่มเขียนจดหมายถึงโอซือ ดังที่ตั้งใจไว้หลายวันระหว่างพำนักอยู่ที่วัดมูโดจิแล้วว่าจะเขียนถึงเพิ่งจะได้โอกาสเดี๋ยวนี้เอง
“เจ้าช่วยเอาไปส่งอย่างที่บอกด้วยนะ”
มูซาชิส่งจดหมายให้หญิงชาวบ้านแล้วโหนตัวขึ้นขี่หลังแม่วัว ปล่อยให้นางเดินช้า ๆ ตามสบายไปก่อน ขณะนึกย้อนไปถึงตัวอักษรไม่ที่ตนลากพู่กันจารึกลงไปบนแผ่นกระดาษในจดหมายที่ไหว้วานให้หญิงชาวบ้านเป็นม้าเร็วถือเอาไป พลางคาดเดาความรู้สึกของโอซือเมื่อได้รับ
“คิดว่าจะไม่ได้เจอหน้ากันอีกเสียแล้ว”
เจ้าหนุ่มนักดาบกระซิบกับตัวเองขณะแย้มยิ้ม ตาเป็นประกายแจ่มใส
ใบหน้าของมูซาชิฉาบฉายไปด้วยอารมณ์เริงร่า มีชีวิตชีวายิ่งกว่าสรรพสิ่งใด ๆ บนผืนพิภพที่เฝ้าคอยคิมหันตฤดู ยิ่งกว่าสรรพสิ่งใดที่แข่งกันแต่งแต้มสีสันให้ท้องฟ้ายามใกล้สิ้นดูใบไม้ผลิ
และใจเจ้าก็ยิ่งพองโตขึ้นอีกเมื่อคิดเลยเถิดไปว่า
“...เมื่อพบกันครั้งสุดท้ายอาการโอซือดูย่ำแย่และป่านนี้อาจล้มหมอนนอนเสื่ออยู่ก็ได้ ตาพอเห็นจดหมายของข้า เชื่อได้เลยว่าเจ้าหล่อนจะต้องลุกขึ้นทันที และพาเจ้าหนุ่มน้อยโจทาโรเร่งรุดตามมา”
แม่วัวหยุดดมหญ้าเป็นบางครั้ง เจ้าหนุ่มเห็นดอกหน้าสีขาวก็เผลอคิดว่าดาวดวงน้อยร่วงหล่นลงมากระพริบแสงแวบวับดารดาษอยู่บนพื้นพสุธา
ใจของมูซาชิยามนี้ระริกระรี้ นึกถึงแต่ความสุขที่รออยู่เบื้องหน้า แต่อยู่ ๆ ก็เกิดฉุกขึ้นมาให้ขุ่นใจเปล่า ๆ ปลี้ ๆ
“นายแม่ใหญ่ล่ะ”
มูซาชิมองไปทางหุบเขา
“หรือว่าจะกลิ้งตกลงไปบาดเจ็บอยู่คนเดียวข้างล่างนั่น”
ถ้าไม่อารมณ์ดีขนาดนี้ก็คงไม่คิดเป็นห่วง
เจ้าหนุ่มนึกถึงเนื้อความของจดหมาย แล้วใบหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเมื่อคิดว่าถ้าเกิดพลั้งเผลอไปถึงมือใครคงจะต้องเขินอายกันบ้าง
เมื่อครั้งที่สะพานฮานาดะ เจ้าเป็นฝ่ายเฝ้าคอย
แต่ครั้งนี้ถึงคราวที่ข้าต้องคอยเจ้าบ้าง
ข้าเดินทางล่วงหน้ามาถึงโอสึ
ผูกแม่วัวไว้กับสะพานการาฮาชิที่เซตะ
รอคอยที่จะได้พูดคุยกับเจ้า
มูซาชิท่องจดหมายที่ตนเขียนถึงโอซือคนจำขึ้นใจ ทั้งยังร่างคำพูดคุยเมื่อได้พบกับสาวเจ้าอยู่ในใจ
พอเดินมาถึงสันเขาด้านหนึ่งก็เห็นแถบธงของร้านน้ำชาปลิวไสว
ถ้าจะบ้านนี้แหละ
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่ลงจากหลังแม่วัว มือหนึ่งประคองไหนมวัวที่รับฝากหญิงชาวบ้านมาไว้อย่างระมัดระวัง พลางร้องถามเข้าไปข้างใน
“มีใครอยู่บ้างไหม”
แล้วทรุดตัวลงนั่งบนพื้นชานหน้าบ้าน แม่เฒ่าคนหนึ่งที่กำลังก่อไฟในเตาดิน เห็นเข้าก็รินน้ำชาที่ปล่อยไว้จนเย็นชืดมาวางไว้ให้
มูซาชิเล่าให้แม่เฒ่าฟังโดยละเอียดว่าพบกับหญิงชาวบ้านคนนั้นกลางทาง และได้วานไปทำธุระพร้อมกับยื่นไหนมวัวให้
แม่เฒ่าได้แต่พยักหน้ารับทุกถ้อยคำ แต่คงจะหูตึงเพราะพอส่งไหใส่นมวัวให้ แกก็ถามหน้าเหรอหราว่า
“นี่มันอะไรรึพ่อหนุ่ม”
มูซาชิจึงบอกว่านั่นคือนมชองแม่วัวซึ่งตนขี่มา หญิงชาวบ้านซึ่งเป็นนางเมียของเจ้าของโรงเตี๊ยมที่นี่รีดมาให้คนเจ็บที่เป็นลูกค้า จงเอาไปให้คน ๆ นั้นดื่มโดยเร็ว
“อะไรนะ อ๋อ นมวัวรึ”
แม่เฒ่าทำหน้าบอกไม่ถูกว่าเข้าใจหรือไม่ ขณะยืนมือมารับไหนมสดมาประดองไว้ด้วยสองมือ ทำท่าคล้ายหวาด ๆ และตะโกนเข้าไปข้างใน
“ท่านเจ้าค่ะ ช่วยคืบคลานออกมาตรงนี้หน่อยเถิด ใครมาก็ไม่รู้ ข้าทำอะไรไม่ถูก”
2
คนที่แม่เฒ่าเรียกไม่ได้อยู่ข้างในกระท่อม
“ตะโกนอะไรโหวกเหวก มีอะไรรึแม่เฒ่า”
เสียงส่งเสียงถามออกมาจากด้านหลังก่อนเดินช้า ๆ ออกมาจากด้านข้างร้านน้ำชา
แม่เฒ่าส่งไหนมวัวให้ ชายคนนั้นรับมาโดยไม่สนใจฟังว่าแม่เฒ่าจะบอกว่าอย่างไรและไม่ก้มลงดูน้ำนมในไหด้วย ได้แต่พุ่งสายตาซึมกระทือคู่นั้นมาที่ใบหน้าด้านข้างของมูซาชิ พอดีกับเจ้าหนุ่มร่างใหญ่หันขวับมาทางนั้นเมื่อได้ยินเสียงคุ้นหู
“เฮ้ย”
ชายทั้งสองอุทานออกมาแทบจะเป็นเสียงเดียวกันและก้าวเข้ากันโดยไม่รู้ตัว
“มาตาฮาจิ”
มูซาชิตะโกนลั่น
ชายผู้นั้นคือฮนอิเด็น มาตาฮาจินั่นเอง
มาตาฮาจิเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนเก่า และตะโกนเสียงลั่นไม่แพ้กัน
“ทาเกโซ เอ็งจริง ๆ ด้วย”
มาตาฮาจิเรียกเพื่อนด้วยชื่อเดิมที่ติดปากมาตั้งแต่เด็ก และพอมูซาชิยื่นมือออกไปเพื่อนก็โผเข้าไปสวมกอดทันที ไหน้ำนมที่ถืออยู่หลุดจากมือตกลงไปแตกอยู่กับพื้น น้ำนมสีขาวหกกระจาย
“ไม่ได้เจอกันมากี่ปีแล้ววะ”
“ก็ตั้งแต่สงครามเซกิงาฮาระนั่นแหละเพื่อน จากนั้นก็ไม่ได้เจอกันเลย”
“ถ้างั้น...”
“ใช่ ห้าปีแล้ว เพราะตอนนี้ข้าอายุยี่สิบสอง”
“ข้าก็ยี่สิบสองเหมือนกัน”
“ก็ใช่น่ะซี เราเกิดปีเดียวกันนี่หว่า”
เพื่อนรักที่จากกันไปนานกอดกันแน่นท่ามกลางกลิ่นหอมหวานของนมสด ซึ่งอาจช่วยให้เจ้าหนุ่มทั้งสองระลึกได้ว่าเป็นพื่อนกันมาตั้งแต่ปากยังไม่สิ่นกลิ่นน้ำนมแม่
“เอ็งมีชื่อเสียงใหญ่โตมากนะทาเกโซ ข้าคงเรียกเอ็งอย่างนั้นไม่ได้แล้ว เพราะจะฉุดเจ้าให้ต่ำลงเยี่ยง มาตาฮาจิ ชายที่สุดจะไม่เอาไหนคนนี้ ข้าต้องเรียกเอ็งว่าท่านมูซาชิเหมือนคนอื่นเขา ถึงจะไม่ได้พบหน้าเอ็งมานานแต่ก็ได้ยินเขาเล่าลือความเก่งกล้าสามารถเต็มสองหูมาตลอด จนกระทั่งวีรกรรมของเอ็งที่สนต้นเดี่ยว”
“อย่าพูดให้ข้าละอายใจตัวเองเลย ข้ายังเป็นนักดาบอ่อนหัด ที่มีชื่อให้เขาเลื่องลือกันได้ก็เพราะพบแต่คู่ต่อสู้ที่ด้อยฝีมือกว่าเท่านั้นเอง แต่มาตาฮาจิ คนเจ็บที่หญิงชาวบ้านบอกข้าว่ามานอนพักฟื้นอยู่ที่ร้านน้ำชาของนางคือเอ็งเองรึ”
“อืม... ความจริงข้าเดินทางออกจากนครหลวงกำลังจะไปเอโดะ แต่เผอิญมีอะไรนิดหน่อยก็เลยมาพักอยู่ที่นี่ได้ราวสิบวันแล้วละมัง”
“อ้าว แล้วคนเจ็บที่ว่านั่นล่ะ”
“คนเจ็บเหรอ...”
มาตาฮาจิอ้ำอึ้ง
“อ๋อ คนที่มากับข้าน่ะ”
“งั้นเหรอ โล่งใจไปที เห็นเอ็งท่าทางแข็งแรงดีข้าก็ดีใจ ข้าได้ข่าวจากเอ็งครั้งหนึ่งระหว่างทางจากยามาโตะไปนารา โจทาโรเอาได้จดหมายของเอ็งมาให้”
“... ... ...”
มาตาฮาจิหลบตาลงทันที ไม่กล้าสู้หน้ากับมูซาชิ เมื่อคิดขึ้นได้ว่าตนไม่ได้ทำตามที่เขียนไว้ในจดหมายฉบับนั้นให้บรรลุความเป็นจริงแม้แต่คำเดียว
มูซาชิเอื้อมมือไปแตะไหล่เพื่อน
รู้สึกตื้นตันใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเมื่อนึกถึงความหลังเมื่อครั้งก่อน
เจ้าหนุ่มไม่ได้คิดถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างตนกับเพื่อนที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาห้าปีเลยแม้แต่น้อย ได้แต่อยากพูดคุยกันให้สมกับที่ไม่ได้พบกันมานาน
“มาตาฮาจิ คนที่มากับเจ้าคือใครรึ”
“เปล่า คือไม่มีอะไรหรอก ไม่ใช่คนสำคัญอะไร แค่...”
“งั้นเราไปตรงโน้นดีไหม คุยกันตรงนี้คงไม่ค่อยดี”
“อือ ไปสิ”
มาตาฮาจิดูเหมือนจะคิดเช่นนั้นเหมือนกัน จึงเดินตามมูซาชิไปทันที