นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มูซาชิอุ้มแม่เฒ่าโอซูงิขึ้นหลังแม่วัวเดินผ่านสันเขาจากยอดชิเมงาทาเกะเข้าไปในป่าและลงไปที่ชิงะตรงหลังวัดมิอิพอดี
ระหว่างทางแม่เฒ่าบ่นไม่หยุดว่าเจ็บหลัง และร้องครวญครางเป็นครั้งคราวอยู่บนหลังแม่วัว
มูซาชิถือเชือกจูงแม่วัวเดินนำหน้าคิดอะไรลึกๆไปเรื่อย ๆ พอรู้สึกตัวและได้ยินเสียงครางจึงจะหันไปส่งเสียงถามอย่างอ่อนโยนเฉกเช่นเด็กควรใยดีต่อผู้เฒ่าเสียที
“แม่ใหญ่ไม่คุ้นกับวัวคงเหนื่อยเพลีย จัพักสักหน่อยก็ได้นะ เพราะเราต่างไม่มีอะไรที่ต้องเร่งด่วน”
แม่เฒ่าโอซุงิฟุบหน้านิ่งอยู่กับหลังแม่วัวไม่พูดไม่จาตอบโต้ และแน่นอนว่าบนใบหน้ายับย่นที่ฟุบอยู่นั้นจะต้องฉาบฉายไปด้วยความแค้นใจที่ไม่อาจเอาชนะคนที่ได้ชื่อว่าเป็นศัตรูที่ตนหมายมั่นมาเข่นฆ่าให้ดับสิ้น
ยิ่งมูซาชิทำดีด้วยเพียงใดนางก็ยิ่งแค้นใจจนแทบจะกลั้นใจตายลงไปตรงนั้น
ไม่ต้องมาทำดีฉาบหน้า ข้าไม่มีวันหลงลมไอ้เด็กเหลือขออย่างเจ้า เจ้าทำกรรมอะไรไว้ต่อข้า ข้าไม่มีวันลืมลืมจนกว่าจะชำระความแค้นนั้นให้หมดสิ้น
ยิ่งคิดก็ยิ่งเคียดแค้นชิงชังเจ้าหนุ่มร่างใหญ่กำยำที่เดินจูงแม่วัวดุ่มข้างหน้ามากขึ้นเป็นทวีคูณ
ส่วนเจ้าหนุ่มร่างใหญ่กำยำผู้นั้นเล่า แม้ตนเองก็ยังแปลกใจยิ่งนักที่ไม่ได้รู้สึกเกลียดชังแม่เฒ่าที่ดูเหมือนจะมีชีวิตอยู่เพื่อล้างแค้นตนเพียงอย่างเดียวผู้นี้ รุนแรงจนถึงกับถือว่าเป็นศัตรูคู่อาฆาตที่ต้องจองล้างจองผลาญกัน
ทั้งที่แม่เฒ่าผู้ชราภาพไร้พลังเรี่ยวแรงที่จะต่อกรกับตนผู้นี้เป็นศัตรูตัวสำคัญ ที่ตามมาจองล้างจองผลาญตนไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งวางแผนใช้เล่ห์กลขุดหลุมพรางหวังทำร้าย แต่จนถึงบัดนี้ใจของมูซาชิก็ยังไม่อาจถือเอานางเป็นศัตรู
จะว่าไปแม่เฒ่าโอซุงิก็ทำให้ตนเจ็บแสบมาแล้วหลายครั้งหลายครา ตั้งแต่ครั้งที่ตนกลับบ้านบ้านเกิดแล้วถูกนางอุบายหลอกล่อจนเกือบถูกเจ้าหน้าที่ทางการจับตัว แล้วยังไปโพนทะนาด่าประจานตนให้ได้อายท่ามกลางฝูงคนล้นหลามกลางลานวัดคิโยมิซุ แล้วยังอีกหลายช่วงหลายตอนกว่าจะถึงวันนี้ที่แม่เฒ่าเข้ามายุ่งเกี่ยวจนตนแทบจะเอาชีวิตไม่รอด
ทุกครั้งที่ถูกกระทำเจ้าหนุ่มโกรธแค้นยิ่งนัก บางครั้งถึงกับชักดาบขึ้นเงื้อง่าหมายจะฟาดฟันเสียให้ขาดเจ็ดท่อนแปดท่อนให้หาแค้น บางครั้งก็เกือบจะเค้นคอให้ตายคามือทั้งที่ยังหลับ แต่ก็ทำไม่ลง
จนกระทั่งครั้งนี้ แต่แม่เฒ่าโอซุงิดูอ่อนแรงลงไปมาก เมื่อคืนถูกตนเหวี่ยงตกลงไปจากระเบียงแค่นั้นเองก็ลุกไม่ขึ้น เสียงด่าทอเชือดเฉือนใจที่เคยได้ยินเป็นประจำก็เงียบไปกลายเป็นครางโอดโอยไม่หยุดมาจนบัดนี้ เห็นหังนั้นแล้วมูซาชิก็ใจอ่อน อยากทำอะไรสักอย่างเพื่อให้แม่เฒ่าฟื้นตัวขึ้นมาแข็งแรงดังเดิม
“หลังแม่วัวมันแข็ง แม่เฒ่าคงจะนั่งไม่สบาย เอาไว้ถึงโอสึแล้วคงจะหาพาหนะที่สบายกว่านี้ แม่เฒ่าทนอีก นิดนึงนะ แล้วนี่หิวรึเปล่าล่ะ ตั้งแต่เข้าไม่เห็นกินข้าวที่ห่อมาเลย กินน้ำไหม...อะไรนะ...ไม่เอา งั้นตามใจละกัน”
พอเดินตามสันเขาไปได้อีกสักครู่ก็เห็นเทือกเขาด้านโฮกุริกุอยู่ไกล ใกล้เข้ามาคือทะเลสาบบิวะอันกว้างใหญ่ราวท้องทะเล และทิวทัศน์อันงดงามทั้งแปดของภูมิภาคแถบนั้น
“พักกันเถอะนะ แม่เฒ่าลงจากหลังแม่วัว มานอนพักบนหญ้านุ่ม ๆ สักครู่จะได้สบายขึ้น”
มูซาชิว่าพลางจูงแม่วัวไปผูกไว้กับต้นไม้ และอุ้มแม่เฒ่าลงมา
2
“เบา ๆ สิ ข้าเจ็บ”
แม่เฒ่าโอซุงินิ่วหน้าร้องโอดโอย ยึดมือมูซาชิไว้แน่นขณะล้มตัวลงนอนคว่ำบนพื้นหญ้า
ผิวหนังเหี่ยวย่นของนางเป็นสีน้ำตาลราวสีดินและผมยุ่งกระเซอะกระเซิง ดูสภาพแล้วเหมือนคนเจ็บอาการหนักขืนปล่อยไว้น่าจะตายในไม่ช้า
“นายแม่ใหญ่ ไม่กินน้ำหน่อยเหรอ ไม่หยิบอะไรใส่ปากกินสักสักนิดดีกว่านะ”
มูซาชิชักชวนพลางลูบหลังลูบไหล่ให้ แม่เฒ่าจอมดื้อสะบัดตัวหนี ตวาดเสียงแหบแห้งว่าอย่ามายุ่ง พลางส่ายหน้าอยู่กับพื้นหญ้า น้ำก็ไม่เอา ข้าวก็ไม่กิน
“อย่างนี้ก็แย่น่ะซี”
เจ้าหนุ่มร่างใหญ่แทบหมดกำลังใจที่จะทำดีด้วย
“แม่ใหญ่ไม่ได้กินน้ำสักหยดมาตั้งแต่เมื่อคืน จะหายาให้กิน แถวนี้ก็ไม่มีบ้านคนเสียด้วย ขืนดื้ออยู่อย่างนี้จะยิ่งอ่อนเพลียสิ้นเรี่ยวแรงลงไปอีก แม่ใหญ่เชื่อข้า กินข้าวห่อนี่สักครึ่งหนึ่งก็ยังดี กินเถอะนะ ข้าขอร้อง”
“โสโครก”
“อะไรนะ อะไรโสโครก”
“ไม่ต้องมายอกย้อน ถึงข้าจะล้มลงไปนอนหมดแรงอยู่ตามท้องทุ่ง เป็นเหยื่อนกเหยี่ยวหรือสัตว์ป่า ข้าก็ไม่ยอมให้ข้าวปลาอาหารที่สกปรกโสโครกของคนที่ข้าจ้องล้างแค้นอย่างเจ้า ผ่านเข้าคอไปด้ ไปให้พ้น อย่ามายุ่งกับข้า”
ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นปัดมือเจ้าหนุ่มที่ลูบหลังตนอยู่อย่างอ่อนโยนออกไปเต็มแรง แล้วตะปบมือลงขยุ้มต้นหญ้าเอาไว้พร้อมกับครางด้วยความคับแค้นใจที่ไม่มีแรงทำอะไรได้ดังใจ
มูซาชิไม่โกรธแต่กลับเห็นใจแม่เฒ่า คิดว่าถ้าสามารถทำให้นางรู้ความจริงและเลิกเข้าใจผิดได้เท่านั้นเอง นางก็จะเข้าใจความรู้สึกของตนได้ดี แต่ก็ต้องถอนใจเพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไง
ทางเดียวที่ทำได้ในตอนนี้คือดูแลนางด้วยความอ่อนโยนเหมือนกับเป็นแม่ที่กำลังเจ็บป่วย เจ้าหนุ่มจึงยอมทนความดื้อดึงเอาแต่ใจและวาจาเชือดเฉือนของแม่เฒ่าและทำอะไรๆให้ทุกอย่างเท่าที่จะทำได้
“แต่นายแม่ใหญ่ต้องกินอะไรบ้างนะ ขืนตายไปทั้งอย่างนี้ก็หมดสนุกน่ะซี ไม่อยากเห็นมาตาฮาจิเป็นใหญ่เป็นโตรึไง”
“ไม่ต้องมาพูดดี”
แม่เฒ่าแยกเขี้ยวยิงฟันทำท่าเหมือนจะกระโจนเข้ามาขย้ำถ้ามีแรง
“แล้วก็ไม่ต้องมาทำดีกับข้า จากนี้ไปมาตาฮาจิจะต้องได้ดีแน่ ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
“ใช่ ข้าก็คิดเหมือนกันว่ามาตาฮาจิต้องได้ดี เพราะฉะนั้นนายแม่จึงต้องรักษาเนื้อรักษาตัวให้แข็งแรง จะได้คอยให้กำลังใจลูกชายไง”
“มูซาชิ เจ้ามันคนสาระเลว ไม่ต้องมาใช้คำหวานกับข้า เสียเวลาเปล่า โทษของเจ้ายิ่งใหญ่นักยังไงๆข้าก็ไม่มีวันยกให้ เงียบไปเลย ข้าหนวกหู
แม่เฒ่าดื้อดึงชนิดฉุดไม่อยู่โดยแท้ ดูเหมือนยิ่งทำดีด้วยผลก็จะยิ่งเลวร้ายไปในทางตรงข้าม มูซาชิจึงหยิบห่อข้าวลุกขึ้นเงียบ ๆ เดินเลี่ยงไปให้พ้นสายตา ทิ้งแม่วัวกับแม่เฒ่าไว้ตรงนั้น
ทางวัดปั้นข้าวใส่ไส้เต้าเจี้ยวดำห่อใบคาชิวะมาให้ มูซาชิกินอย่างอร่อย ถ้าให้กินจริง ๆ ก็จะกินได้จนหมด แต่ก็ขยักไว้ครึ่งหนึ่งด้วยความตั้งใจที่จะให้แม่เฒ่าได้ลิ้มรสอร่อยนั้นด้วย เจ้าหนุ่มห่อข้าวปั้นที่เหลือไว้ด้วยใบไม้ตามเดิมแล้วซุกไว้ในอกเสื้อ
พอจะเดินกลับไปที่เดิมก็ได้ยินเสียงคนพูดอยู่ใกล้ ๆ แม่เฒ่า เจ้าหนุ่มลอบมองออกไปจากหลังโขดหินก็เห็นหญิงคนหนึ่งซึ่งดูจากการแต่งกายและผมเผ้าที่รวบเอาไว้ลวก ๆ แล้วน่าจะเป็นชาวบ้านแถวนั้น
“นี่แน่ะยาย ที่บ้านข้าก็มีคนป่วยมานอนรักษาตัวอยู่ได้สักพักหนึ่งแล้ว ตอนนี้อาการดีขึ้นมาก ถ้าได้นมวัวไปดื่มก็น่าจะหายเร็วขึ้น พอดีข้ามีไหติดมือมาด้วย ขอข้ารีดนมนางวัวเอาไปหน่อยจะได้ไหม”
เสียงของนางหญิงชาวบ้านแหลมสูงได้ยินไปทั่ว
แม่เฒ่าเงยหน้าขึ้นมองและบอกว่า
“จริงสิ ข้าได้ยินมาว่านมของแม่วัวดีสำหรับคนที่ไม่สบาย แต่แม่วัวตัวนี้จะให้นมหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ดวงตาของแม่เฒ่าเป็นประกายสุดใสผิดกับเมื่อมองมูซาชิราวกับคนละคน
หญิงชาวบ้านพูดโต้ตอบกับแม่เฒ่าพลางก้มลงไปใต้ท้องแม่วัว แล้วเริ่มรีดนมวัวขาว ๆ จากเต้าใส่ไหสาเกเปล่า ที่อุ้มอยู่ ด้วยท่าทางทะมัดทะแมง
3
“ขอบใจนะยาย”
หญิงชาวบ้านคลานออกมาจากใต้ท้องแม่วัว อุ้มไหใส่นมวัวเอาไว้อย่างระมัดระวังและทำท่าจะเดินจากไป
“เดี๋ยวสิ เดี๋ยวก่อน”
แม่เฒ่าโอซุงิรีบยกมือขึ้นเรียกเอาไว้ แล้วมองไปรอบ ๆ พอไม่เห็นมูซาชิก็ทำท่าโล่งใจ
“นี่แน่ะหล่อน ขอข้าดื่มนมวัวสักอึกหนึ่งจะได้ไหม”
เสียงของนางแหบแห้งเพราะหิวน้ำเต็มที
หญิงชาวบ้านเห็นเป็นเรื่องเล็กน้อยมากจึงส่งไหนมวัวให้ แม่เฒ่ายกไหขึ้นและหลับหูหลับตาดื่ม น้ำนมสีขาวล้นออกมาทางมุมปากไหลผ่านหน้าอกหยอดลงไปบนพื้นหญ้า
แม่เฒ่าดื่มนมเข้าไปจนเต็มกระเพาะ ทำตัวสั่นและทำหน้าพะอืดพะอมคล้ายจะอาเจียนออกมา
“นมวัว รสชาติมันพิลึกยังไงไม่รู้ แต่อาจทำให้ข้าแข็งแรงขึ้นมาก็ได้”
“อ้าว ยายก็ไม่สบายเหมือนกันรึ เจ็บป่วยตรงไหนล่ะ”
“เจ็บป่วยอะไร้ ข้าไม่เป็นอะไรมากหรอก แค่เป็นข้าเป็นหวัดนิดหน่อยแล้วก็พลัดตกจากที่สูง”
แม่เฒ่าโอซุงิพูดพลางยันตัวลุกขึ้นยืนเอง ไม่ได้ครางโอดโอยเหมือนคนเจ็บอย่างเมื่อตอนถูกอุ้มขึ้นหลังแม่วัวเลยสักนิด
“นี่หล่อนรู้ไหม”
มาเฒ่าก้มตัวลงกระซิบกระซาบ ขณะเดียวกันก็กวาดตาคมวาวมองไปทั่ว ๆ ให้แน่ใจว่ามูซาชิไม่ได้อยู่แถวนั้น ก่อนถามต่อว่า
“ทางบนภูเขาสายนี้ ถ้าเดินตรงไปจะไปออกที่ไหน”
“อ๋อ ไปถึงเนินเขาด้านบนของวัดมิอิน่ะยาย”
“วัดมิอิ อ๋อที่โอสึใช่ไหม ถ้าไม่ใช่ทางนี้ หล่อนรู้ทางลัดอะไรบ้างไหม”
“ก็มีอยู่ แต่ว่ายายจะไปไหนเนี่ย”
“จะไปไหนก็ช่างข้าเถอะ ข้าก็แค่อยากหนีให้พ้นคนชั่วที่มันคอยตามจับข้าไม่เลิกเท่านั้นแหละ”
“ถ้างั้นยายก็เดินตรงไปนิดหนึ่ง แล้วจะเห็นทางเล็ก ๆลงไปทางเหนือ ยายเดินลงไปก็จะถึงทางที่คั่นระหว่างโอสึกับซากาโมโตะ”
“อย่างนั้นรึ” แม่เฒ่าท่าทางตื่นเต้นเมื่อบอกว่า
“ถ้ามีใครตามหลังข้ามาแล้วถามว่าข้าไปทางไหน หล่อนต้องบอกว่าไม่รู้นะ”
สั่งแล้วนางก็ออกวิ่งโขยกเขยกเหมือนตั๊กแตนที่กำลังรีบผ่านหน้าหญิงชาวบ้านที่ยังง ๆ อยู่ ไปทางที่รู้มา
มูซาชิมองตามไป ยิ้มขื่น ๆ ขณะออกมาจากหลังโขดหินและเดินตามหลังหญิงชาวบ้านที่ถือไหนมไปจนทันกัน แล้วเรียกเอาไว้ หญิงชาวบ้านคนซื่อตกใจหน้าตื่นเกือบจะหลุดปากออกมาว่าไม่รู้ ทั้งที่ยังไม่ถูกถาม
มูซาชิไม่ติดใจที่พูดถึงแม่เฒ่า แต่ถามว่า
“บ้านหล่อนอยู่แถวนี้รึ เป็นชาวนาหรือว่าคนตัดไม้”
“บ้านข้าน่ะรึ บ้านข้าเป็นร้านน้ำชาอยู่ทางสันเขาข้างหน้านี้”
“ร้านน้ำชางั้นรึ งั้นก็ดีเลย เจ้าช่วยวิ่งไปทำธุระที่นครหลวงให้ข้าทีได้ไหม ข้าจะให้ค่าขนม”
“ไปก็ได้ แต่ที่บ้านข้ามีคนเจ็บนอนพักอยู่”
“อ๋อนมในไหนี่น่ะรึ ข้าจะเอาไปให้คนเจ็บเอง แล้วจะรออยู่ที่ร้านน้ำชาของเจ้า ถ้าออกเดินทางตอนนี้น่าจะกลับมาถึงก่อนมืดค่ำ”
“ท่านไม่ได้หรอกข้านะ”
“ไม่ต้องกลัวหรอก ข้าไม่ใช่คนร้ายหรืออะไรสักหน่อย และแม่เฒ่าคนนั้นก็ไม่ต้องห่วง วิ่งได้อย่างนั้นแล้วแปลว่าแข็งแรงดี ไม่ต้องไปยุ่งกับแกหรอก รอเดี๋ยวนะ ข้าจะเขียนจดหมายให้เจ้าถือไปที่บ้านท่านคาราสุมารุที่นครหลวงแล้วก็รอเอาคำตอบกลับมา ข้าจะรออยู่ที่ร้านน้ำชาของเจ้า