นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ครั้นพระเห็นมูซาชิก้มหน้านิ่งอยู่จึงพูดต่อ
“อมนุษย์อย่างโยมแค่ย่างเท้าเข้ามาในร่วมเงาแห่งเขาฮิเอะอันศักดิ์สิทธิ์ที่พำนักของเราเหล่าสงฆ์สำนักพระพุทธจักรเพียงก้าวเดียวก็นำความจัญไรมาสู่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด แต่การที่มูซาชิผนวกรวมหนุ่มน้อยเยาว์วัยนัก เข้าไปในกลุ่มศัตรูนับร้อย และสังหารเสียเป็นคนแรกราวจะใช้เป็นสัญญาณแทนลั่นกลองรบนั้น เป็นการกระทำที่เรารับไม่ได้ ซามูไรของชาติเราไม่ใช่คนที่จะทำการอันโฉดชั่วเช่นนั้น ยิ่งแกร่งกล้ายิ่งเชี่ยวชาญการใช้อาวุธเท่าไรก็ยิ่งอ่อนโยนและเวทนาปราณีผู้อ่อนแอเพียงนั้น ทั้งยังหยั่งรู้ถึงสัจจธรรมบนวิถีแห่งดาบ
ไปให้พ้นจากเขาฮิเอะเสียโดยเร็วเถิดมิยาโมโตะ มูซาชิ ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้”
เหล่าพระนักรบระบายอารมณ์ด้วยการก่นด่าเจ้าหนุ่มนักดาบกันจนสะใจแล้วก็ชวนกันกลับไป
มูซาชิยืนก้มหน้าฟังคำผรุสวาทเงียบ ๆ แม้บางถ้อยคำจะกระทบใจจนเจ็บแปลบเจ้าหนุ่มก็ไม่ได้ลั่นวาจาตอบโต้ แต่ไม่ใช่ว่าหมดปัญญาเถียง
...ข้าทำถูกแล้ว ข้าเชื่อมั่นในความคิดของข้า และในภาวะเช่นนั้น ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากทำตามความเชื่อมั่นนั้นให้ถึงที่สุด
มูซาชิไม่ได้แก้ต่างให้ตัวเอง เพราะแม้จนบัดนี้เจ้าหนุ่มก็ยังยึดมั่นตามความเชื่อนั้นอย่างไม่เสื่อมคลาย
แต่ทำไมถึงต้องสังหารเจ้าหนุ่มน้อยเก็นจิโร
ประเด็นนี้มูซาชิคิดตกแล้ว คำตอบกระจ่างแจ้งอยู่ในใจตน
เราผิดตรงไหนที่สังหารเก็นจิโร ในเมื่อเจ้าหนุ่มคือคนที่ฝ่ายศัตรูเลือกขึ้นมาเป็นจอมทัพเข้าสู่สมรภูมิประลองยุทธ์ เป็นผู้นำธงสามเหล่าทัพ และไม่ใช่เท่านั้น...
ศัตรูแห่กันมาแทบจะหมดสำนัก ราวเจ็ดสิบหรืออาจมากกว่า แม้จะสู้สุดฤทธิ์เพียงใดอย่างมากก็คงเอาชนะได้แค่สิบคนหรืออย่างเก่งก็ยี่สิบ และสุดท้ายอีกห้าสิบที่เหลือก็จะได้โห่ร้องกันด้วยความยินดีปรีดาที่ดับเราได้...เมื่อเป็นเช่นนี้ ใยเราจะไม่ปั่นคอจอมทัพผู้นำธงสามเหล่าทัพเสียก่อนเป็นคนแรกเล่า
ถูกต้องแล้ว เราต้องทำเช่นนั้นเพื่อประกาศความเป็นผู้ชนะของเราด้วย
ใช่...เราต้องลงดาบแรกสังหารคนที่เป็นแกนหลักของกองทัพก่อนเป็นคนแรก แม้ในพริบตาต่อมาเราจะต้องตายตามกันไป แต่หลักฐานที่ชูชัยชนะของเราย่อมคงอยู่ให้ประจักษ์
ถ้าจะให้สาธยายเหตุผลที่ต้องฆ่า มูซาชิก็สามารถเปิดตำราพิชัยสงครามอันเป็นที่สุดของวิชาดาบออกชี้แจงได้อีกไม่สิ้นสุด
แต่เจ้าหนุ่มก็มิได้ปริปากโต้เถียงเหล่าพระนักรบแม้แต่คำเดียว
เพราะแม้จะเชื่อมั่นว่าทำถูกต้องแล้วเพียงใด แต่ใครจะรู้ว่าตนต้องทุกข์ทรมานปานใดจากความเจ็บปวดบาดแผลที่ชอกช้ำอยู่ใจและความอัปยศอย่างเหลือประมาณ...นอนหลับแล้วตื่นอีกกี่ครั้งก็ต้องรับรู้ว่านั่นไม่ใช่ฝันร้าย ผู้ใดแม้หวาดผวากับภาพสยองขวัญครั้งนั้นเพียงใดก็ไม่เทียมเท่าความหวาดผวาแห่งตน
“เฮ้อ...หรือว่าถึงคราวที่เราจะต้องเลิกเดินทางร่อนเร่ฝึกวิชาดาบ”
มูซชิถอนใจและลืมตาขึ้นมองตรงออกไปข้างหน้า พบว่าพวกพระกลับไปหมดแล้วเหลือตนยืนอยู่คนเดียวที่หน้าซุ้มประตูวัด
กลีบสีขาวบอบบางของดอกซากุระภูเขาต้องสายลมยามเย็นปลิดปลิวและโรยลงมา เปรียบได้กับความตั้งใจอันแน่วแน่ของเจ้าหนุ่มที่ไม่เคยหวั่นไหวมาจวบจนวันนี้
“และไปใช้ชีวิตอยู่กับโอซือ”
พอคิดมาถึงตรงนี้ ภาพชีวิตอันผาสุกของคนเมืองก็แวบเข้ามาในห้วงคิด...สังคมที่แวดล้อมชีวิตความเป็นอยู่ของโคเอ็ตสึและโชยู
ไม่ได้...
เจ้าหนุ่มนักดาบสลัดหัวแรง ๆ พร้อมกับหันหลังกลับก้าวยาว ๆ กลับเข้าไปในวัดมุโดจิ
แสงตะเกียงในห้องพักสว่างและอบอุ่น แต่ก็จะพักอาศัยอยู่ได้ก็เพียงอีกคืนเดียวนี้เท่านั้น
ไม่มีอะไรต้องคิดให้มากเรื่อง ตั้งใจอุทิศตนถวายพระโพธิสัตว์เท่านั้นเป็นพอ คืนนี้เราจะต้องสลักรูปพระให้เสร็จแล้วประดิษฐานไว้ที่วัด
คิดได้ดังนั้น มูซาชิก็ทรุดตัวลงนั่งใกล้กับตะเกียง หยิบรูปพระโพธิสัตว์คันนอนที่สลักค้างไว้มาวางบนตัก จับมีดไว้มั่นในมือแล้วลงมือแกะสลักด้วยความตั้งใจ เศษไม้ใหม่ ๆ เริ่มเกลื่อนกระจายอีกครั้ง
ขณะเดียวกันนั้นเอง มีใครคนหนึ่งย่องขึ้นมาที่ระเบียงกว้างของวัดมุโดจิที่เปิดกว้างไม่มีธรรมเนียมที่จะต้องปิดหน้าต่างประตู แล้วคลานเงียบกริบไม่ผิดอะไรกับแมวขโมยเข้ามาจนถึงที่หมายแล้วลอบมองเข้าไปข้างใน
2
ไฟตะเกียงหรี่ลง
มูซาชิเติมน้ำมันตะเกียงแล้วจับมีดขึ้นมากระชับแน่นในมืออีกครั้ง
ป่าเขายามค่ำคืนเงียบสงัด ณ เวลานี้มีแต่เสียงไม้ที่ถูกปลายมีดแหลมคมแซะเป็นร่องรอย และเสียงเศษไม้ปลิวลงไปตกลงบนพื้นเบาหวิวกว่าเสียงเกล็ดหิมะ
จิตของมูซาชิจับนิ่งอยู่ที่ปลายมีด
ปกติเจ้าหนุ่มนักดาบผู้นี้ไม่ว่าจะจับทำอะไรใจก็จะจดจ่อไปที่สิ่งนั้นทันที และจะไม่วางมือจนกว่าจะเสร็จ
และยิ่งครั้งนี้ด้วยแล้ว ใครได้เห็นสีหน้าของเจ้ายามจรดปลายมีดลงไปบนเนื้อไม้เพื่อแกะสลักให้เป็นพระคันนอนนั้น จะต้องอดทึ่งไม่ได้กับความสงบนิ่งราวกับเป็นรูปสลักเสียเอง ขณะที่น่าจะเหน็ดเหนื่อยกับการเคลื่อนไหวมืออย่างไม่หยุดยั้ง
เสียงสวดภาวนาขอพรพระโพธิสัตว์ที่แต่แรกพึมพำเพียงเบา ๆ อยู่ในลำคอคอนั้น ค่อย ๆ ดังขึ้นจนก้องไปทั่วห้องในไม่ช้า และพอรู้ตัวก็รีบลดเสียงลงทันที นาน ๆ ครั้งจึงจะหยุดเติมน้ำมันตะเกียง แล้วดื่มด่ำอยู่กับรูปสลักในมือต่อไป
“อืม ดูเป็นรูปเป็นร่างพอจะใช้ได้แล้วละมัง”
มูซาชิยืดตัวขึ้นแล้วยื่นรูปสลักไม้ออกไปพิศดู พอดีกับเสียงพระตีระฆังใหญ่ที่หอด้านตะวันออกดังกังวาน
“จริงด้วย เราต้องไปลาเจ้าอาวาส และเจรจาขอให้ช่วยรับฝากรูปสลักไว้ภายในคืนนี้”
แม้รูปสลักจะยังดูหยาบเพราะไม่มีเวลาพอที่จะขัดเกลาอย่างประณีต แต่ก็เป็นผลงานที่มูซาชิจารึกจิตวิญญาณและน้ำตาแห่งความอัปยศลงไปทุกในร่องรอยสลัก ขณะสวดภาวนาขอพรจากพระโพธิสัตว์ให้แก่ดวงวิญญาณของเด็กหนุ่มผู้ล่วงลับ
และแล้วมูซาชิก็ถือรูปพระโพธิสัตว์ที่สลักเสร็จออกจากห้องพัก เพื่อไปเจรจาขอฝากเอาไว้ที่วัดมุโดจิเป็นการอุทิศผลบุญให้แก่ดวงวิญญาณของเก็นจิโร และเป็นสัญลักษณ์แสดงความเศร้าสลดของตนไปชั่วกาลนาน
ครู่หนึ่งต่อมาเณรน้อยก็เข้ามาในห้องและเก็บกวาดเศษไม้จนสะอาด ปูฟูกให้เมื่อสังเกตเห็นว่าเจ้าของห้องยังไม่ได้หลับนอน ก่อนแบกไม้กวาดกลับไป
แต่พอเณรน้อยคล้อยหลัง
อะไรกันนั่น...ประตูบานเลื่อนของห้องที่ไม่น่าจะมีใครอยู่กลับแง้มออกนิดหนึ่งแล้วปิดกลับเข้าไปตามเดิม
ไม่นานมูซาชิก็กลับมาโดยไม่รู้ตัวว่าได้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นในห้องพักของตน
พอมาถึงก็เอาหมวกฟาง รองเท้าฟางและเครื่องใช้อื่น ๆ สำหรับการเดินทางที่เจ้าอาวาสคงจะให้มา วางเรียงไว้ข้างหมอน ดับตะเกียงแล้วล้มตัวลงนอนบนฟูก
ห้องพักไม่ได้ปิดหน้าต่างลมจึงพัดผ่านเข้ามาตรง ๆ ทั้งสี่ด้าน แสงสว่างจากภายนอกจับบานประตูเลื่อนเป็นสีขาวเรืองรองเหมือนสีบุก สะท้อนเงาต้นไม้ไหวไปมาราวคลื่นในทะเล
เสียงมูซาชิกรนเบา ๆ แสดงว่าหลับแล้ว และยิ่งหลับสนิทเสียงกรนก็ยิ่งผ่อนยาวออกไป
ทันใดนั้นเอง ฉากกั้นตรงมุมห้องก็ขยับนิดหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็มีเงาดำ ๆ หลังโก่งเหมือนแมวขโมยคลานเดี๊ยะเข้ามาใกล้ แต่แล้วก็ต้องชะงักอยู่ตรงนั้นเมื่อจู่ ๆ เสียงกรนของมูซาชิก็หยุดกึก
เงานั้นฟุบตัวลงแนบกับพื้นแบนราบยิ่งกว่าฟูก นิ่งนับจังหวะหายใจของอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้น
และอึดใจต่อมา เงานั้นก็ลอยตัวขึ้นราวก้อนนุ่นสีดำแล้วตกทับลงไปบนตัวมูซาชิ
“ตายเสียเถอะ ไอ้ชั่ว”
เจ้าหนุ่มตกใจตื่นพลิกตัวไปทางหนึ่งด้วยสัญชาตญาณ ปลายมีดที่พุ่งเข้ามาสุดแรงเกิดเฉียดคอหอยไปอย่างหวุดหวิด ส่วนผู้ลอบสังหารอย่างอุกอาจถูกจับทุ่มไปโหม่งประตูบานเลื่อน หมดท่าลงไปกองอยู่กับพื้นแล้วกลิ้งตกจากระเบียงลงไปในความมืดพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
มูซาชิตกใจไม่น้อยที่ถูกจู่โจมขณะที่กำลังหลับสบาย แต่ก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความงุนงงที่ร่างศัตรูที่ตนเพิ่งเหวี่ยงเข้าไปที่ประตูนั้นทำไมถึงได้เบาสิ้นดี ถ้าเป็นแมวสักตัวก็จะไม่สงสัยเลย เจ้าหนุ่มไม่เห็นหน้าเพราะเจ้านั่นโพกผ้าคลุมหน้าเอาไว้เช่นเดรียวกับพวกหัวขโมย แต่ผมสีฟางที่โพลนอยู่ในความมืดนี่ซี...
เจ้าหนุ่มขมวดคิ้วพลางคว้าดาบยาวคู่มือจากข้างหมอนเผ่นจากระเบียงตามลงไปพร้อมกับตะโกนก้อง
“จะหนีไปไหน”
แล้วทำเป็นวิ่งกวดตามเสียงฝีเท้าผู้คุกคามไปในความมืด พร้อมกับร้องท้าทายสำทับไปว่า
“ไหน ๆ ก็ไปมาหาสู่กันแล้ว กลับมาทักทายกันหน่อยเป็นไร”
เจ้าหนุ่มได้แต่ส่งเสียงขึงขังไปเท่านั้น แต่ไม่ได้คิดที่จะเอาเรื่องจริงจังอะไร
“หยุดเลย ถึงหนีก็ไม่พ้นคมดาบข้า”
มูซาชิวิ่งไปได้สักครู่ก็วิ่งหัวเราะกลับมาที่เงาตะคุ่มบนพื้นดิน มีมีดปลายแหลมคมวาววับตกอยู่ไกลออกไป
3
“อ้าว แม่ใหญ่โอซูงิ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
เจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่ปราดเข้าไปประคองแม่เฒ่าที่ถูกตนเองเหวี่ยงจากระเบียง ตกลงมาร้องนอนครางเสียงขรมอยู่บนพื้นดิน ท่าทางจะเจ็บมากอยู่ นางขยับตัวตั้งท่าจะหนีเมื่อเห็นมูซาชิวิ่งย้อนกลับมาแต่ก็ขยับตัวไม่ไหวแม้แต่จะยันตัวลุกขึ้นนั่ง
มูซาชิไม่คาดคิดเลยว่า ผู้ลอบฆ่าหมายบั่นศีรษะตนนั้นจะไม่ใช่พวกโยชิโอกะ หรือแม้แต่พวกพระนักรบ แต่กลับกลายเป็นแม่ของเพื่อนที่สนิทกันมาแต่ครั้งยังเยาว์
“ข้าสงสัยมานานเต็มทีว่าใครกันที่ให้ร้ายป้ายสีข้าอย่างไม่มีดี ถึงกับไปฟ้องเจ้าสำนักแห่งเขาฮิเอะให้ขับไล่ข้าออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้ก็แม่เฒ่าโอซูงิคนบ้านเดียวกันนี้เอง อ๋อ...ใช่ซิ คำพูดของคนชราแข็งแรงปราดเปรียวราวกับนางกวางคนนี้ ใครได้ยินเข้าไปแค่คำสองคำก็เชื่อกันแล้ว และก็คงใส่จริตให้ใคร ๆ เขาเห็นใจด้วยแน่ ๆ ...พอให้แล้วจนช่ำใจแล้วก็ออกเดินทางตามไล่ล่าข้า แฝงตัวเข้ามาที่นี่ยามค่ำคืนพอได้จังหวะก็เผ่นโผนเข้าใส่หมายปลิดชีวิตข้า ใช่ไหมล่ะแม่ใหญ่โอซูงิ”
แม่เฒ่าครางเสียงแหบอยู่ในลำคอ หมดแรงที่จะดื้นขัดขืน
“ข้าไม่น่าพลาดเลย เจ็บใจนัก เจ้ามูซาชิ ข้าคงสิ้นท่าแต่เพียงนี้ สุดท้ายตระกูลฮนอิเด็นของเราก็ไม่มีวาสนาที่จะได้เป็นนักรบอย่างใคร เขาถึงทีของเจ้าแล้ว ปั่นคอแม่เฒ่าคนนี้เสียเถิด”
พูดออกมาได้เพียงแค่นั้นก็หอบแทบหายใจไม่ออก กำลังใจและกำลังกายแห้งเหือดไปหมด
จริง ๆ แล้วตั้งแต่ออกจากโรงเตี๊ยมที่ซันเน็นซากะ แม่เฒ่าเองก็รู้สึกตัวว่าสุขภาพไม่ดีเอามาก ๆ พละกำลังก็ถดถอย โรคภัยก็รุมเร้า เป็นทั้งหวัดทั้งไข้ และปวดเมื่อยหลังไหล่ แข้งขา และทั่วไปทั้งตัว
ทั้งยังถูกมาตาฮาจิลูกชายสุดที่รักทิ้งกลางทางระหว่างมุ่งหน้าไปยังสมรภูมิประลองยุทธ์ที่สนต้นเดี่ยวอีกด้วย ความเจ็บปวดจากแผลใจที่ใหญ่นักหนานั้นยิ่งบั่นทอนกำลังกายให้ย่ำแย่ลงไปอีก
“ฆ่าสิ ดาบในมือนั่นไง บั่นคอข้าเลย”
มูซาชิฟังคำพูดของแม่เฒ่าและมองสภาพของคนพูดที่สิ้นแรงแม้แต่จะขยับตัวแล้ว แน่ใจว่าไม่ใช่การเล่นละครตบตาประสาคนเจ้าเล่ห์อย่างนาง ในสายตาของคนที่รู้เช่นเห็นชาติกันเป็นอย่างดีนั้น เจ้าหนุ่มนักดาบเห็นว่าคราวนี้แม่เฒ่าโอซูงิอาจคิดว่าตนมาไกลถึงที่สุดแล้ว และเมื่อไม่สมประสงค์ก็เลือกที่จะตายเสียโดยเร็วดีกว่า
แต่มูซาชิ...
“แม่ใหญ่เจ็บเหรอ เจ็บตรงไหน ขอดูหน่อยซิ ข้าอยู่ตรงนี้ทั้งคนไม่ต้องห่วงกังวลอะไรเลยนะ”
เจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่ว่าพลางอุ้มแม่เฒ่าเดินตัวปลิวขึ้นเรือนไปนอนบนฟูก แล้วนั่งคอยพยาบาลดูแลอยู่ข้างหมอนตลอดคืน
ครั้นพอรุ่งสางเณรน้อยก็เดินหน้าตื่นถือห่อข้าวกลางวันที่มูซาชิขอให้ช่วยเตรียมไว้เข้ามาหาและบอกว่า
“อย่าหาว่าเร่งเลยนะ เมื่อวานทงสำนักพุทธจักรภูเขาฮิเอะส่งคนมาสั่งแล้วสั่งอีกว่าให้โยมลงไปจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้ทันทีที่รุ่งเช้า”
มูซาชิไม่ได้ติดใจอะไรเพราะตนก็ตั้งใจจะออกเดินทางไปจากที่นี่อยู่แล้ว จึงรีบแต่งตัวชุดเดินทางโดยไม่รอช้า จะห่วงก็แม่เฒ่าที่นอนเจ็บอยู่เท่านั้น
เมื่อรู้เข้าทางวัดก็ทำหน้าไม่สู้ดีนักหากมูซาชิจะทิ้งแม่เฒ่าไว้ให้เป็นภาระของพวกตน
“เอาอย่างนี้ดีไหมล่ะโยม”
ทางวัดมีข้อเสนอที่ดีทีเดียว
คือเมื่อวันก่อนพ่อค้าจากโอสึเอาแม่วัวตัวหนึ่งขนสินค้าขึ้นมาที่วัดแล้วก็เลยฝากไว้ที่นี่เพราะต้องไปทำธุระที่ทัมบะ โยมก็เอาคนเจ็บขึ้นหลังวัวลงภูเขาไปที่โอสึ แล้วก็ฝากมันไว้ที่ท่าข้ามเรือหรือว่าที่ร้านขายส่งสินค้าสักแห่งแถวนั้น พอพ่อค้ามาขอคืนอาตมาก็จะบอกไปตามนั้น
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ครั้นพระเห็นมูซาชิก้มหน้านิ่งอยู่จึงพูดต่อ
“อมนุษย์อย่างโยมแค่ย่างเท้าเข้ามาในร่วมเงาแห่งเขาฮิเอะอันศักดิ์สิทธิ์ที่พำนักของเราเหล่าสงฆ์สำนักพระพุทธจักรเพียงก้าวเดียวก็นำความจัญไรมาสู่ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด แต่การที่มูซาชิผนวกรวมหนุ่มน้อยเยาว์วัยนัก เข้าไปในกลุ่มศัตรูนับร้อย และสังหารเสียเป็นคนแรกราวจะใช้เป็นสัญญาณแทนลั่นกลองรบนั้น เป็นการกระทำที่เรารับไม่ได้ ซามูไรของชาติเราไม่ใช่คนที่จะทำการอันโฉดชั่วเช่นนั้น ยิ่งแกร่งกล้ายิ่งเชี่ยวชาญการใช้อาวุธเท่าไรก็ยิ่งอ่อนโยนและเวทนาปราณีผู้อ่อนแอเพียงนั้น ทั้งยังหยั่งรู้ถึงสัจจธรรมบนวิถีแห่งดาบ
ไปให้พ้นจากเขาฮิเอะเสียโดยเร็วเถิดมิยาโมโตะ มูซาชิ ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้”
เหล่าพระนักรบระบายอารมณ์ด้วยการก่นด่าเจ้าหนุ่มนักดาบกันจนสะใจแล้วก็ชวนกันกลับไป
มูซาชิยืนก้มหน้าฟังคำผรุสวาทเงียบ ๆ แม้บางถ้อยคำจะกระทบใจจนเจ็บแปลบเจ้าหนุ่มก็ไม่ได้ลั่นวาจาตอบโต้ แต่ไม่ใช่ว่าหมดปัญญาเถียง
...ข้าทำถูกแล้ว ข้าเชื่อมั่นในความคิดของข้า และในภาวะเช่นนั้น ข้าไม่มีทางเลือกอื่นนอกเหนือจากทำตามความเชื่อมั่นนั้นให้ถึงที่สุด
มูซาชิไม่ได้แก้ต่างให้ตัวเอง เพราะแม้จนบัดนี้เจ้าหนุ่มก็ยังยึดมั่นตามความเชื่อนั้นอย่างไม่เสื่อมคลาย
แต่ทำไมถึงต้องสังหารเจ้าหนุ่มน้อยเก็นจิโร
ประเด็นนี้มูซาชิคิดตกแล้ว คำตอบกระจ่างแจ้งอยู่ในใจตน
เราผิดตรงไหนที่สังหารเก็นจิโร ในเมื่อเจ้าหนุ่มคือคนที่ฝ่ายศัตรูเลือกขึ้นมาเป็นจอมทัพเข้าสู่สมรภูมิประลองยุทธ์ เป็นผู้นำธงสามเหล่าทัพ และไม่ใช่เท่านั้น...
ศัตรูแห่กันมาแทบจะหมดสำนัก ราวเจ็ดสิบหรืออาจมากกว่า แม้จะสู้สุดฤทธิ์เพียงใดอย่างมากก็คงเอาชนะได้แค่สิบคนหรืออย่างเก่งก็ยี่สิบ และสุดท้ายอีกห้าสิบที่เหลือก็จะได้โห่ร้องกันด้วยความยินดีปรีดาที่ดับเราได้...เมื่อเป็นเช่นนี้ ใยเราจะไม่ปั่นคอจอมทัพผู้นำธงสามเหล่าทัพเสียก่อนเป็นคนแรกเล่า
ถูกต้องแล้ว เราต้องทำเช่นนั้นเพื่อประกาศความเป็นผู้ชนะของเราด้วย
ใช่...เราต้องลงดาบแรกสังหารคนที่เป็นแกนหลักของกองทัพก่อนเป็นคนแรก แม้ในพริบตาต่อมาเราจะต้องตายตามกันไป แต่หลักฐานที่ชูชัยชนะของเราย่อมคงอยู่ให้ประจักษ์
ถ้าจะให้สาธยายเหตุผลที่ต้องฆ่า มูซาชิก็สามารถเปิดตำราพิชัยสงครามอันเป็นที่สุดของวิชาดาบออกชี้แจงได้อีกไม่สิ้นสุด
แต่เจ้าหนุ่มก็มิได้ปริปากโต้เถียงเหล่าพระนักรบแม้แต่คำเดียว
เพราะแม้จะเชื่อมั่นว่าทำถูกต้องแล้วเพียงใด แต่ใครจะรู้ว่าตนต้องทุกข์ทรมานปานใดจากความเจ็บปวดบาดแผลที่ชอกช้ำอยู่ใจและความอัปยศอย่างเหลือประมาณ...นอนหลับแล้วตื่นอีกกี่ครั้งก็ต้องรับรู้ว่านั่นไม่ใช่ฝันร้าย ผู้ใดแม้หวาดผวากับภาพสยองขวัญครั้งนั้นเพียงใดก็ไม่เทียมเท่าความหวาดผวาแห่งตน
“เฮ้อ...หรือว่าถึงคราวที่เราจะต้องเลิกเดินทางร่อนเร่ฝึกวิชาดาบ”
มูซชิถอนใจและลืมตาขึ้นมองตรงออกไปข้างหน้า พบว่าพวกพระกลับไปหมดแล้วเหลือตนยืนอยู่คนเดียวที่หน้าซุ้มประตูวัด
กลีบสีขาวบอบบางของดอกซากุระภูเขาต้องสายลมยามเย็นปลิดปลิวและโรยลงมา เปรียบได้กับความตั้งใจอันแน่วแน่ของเจ้าหนุ่มที่ไม่เคยหวั่นไหวมาจวบจนวันนี้
“และไปใช้ชีวิตอยู่กับโอซือ”
พอคิดมาถึงตรงนี้ ภาพชีวิตอันผาสุกของคนเมืองก็แวบเข้ามาในห้วงคิด...สังคมที่แวดล้อมชีวิตความเป็นอยู่ของโคเอ็ตสึและโชยู
ไม่ได้...
เจ้าหนุ่มนักดาบสลัดหัวแรง ๆ พร้อมกับหันหลังกลับก้าวยาว ๆ กลับเข้าไปในวัดมุโดจิ
แสงตะเกียงในห้องพักสว่างและอบอุ่น แต่ก็จะพักอาศัยอยู่ได้ก็เพียงอีกคืนเดียวนี้เท่านั้น
ไม่มีอะไรต้องคิดให้มากเรื่อง ตั้งใจอุทิศตนถวายพระโพธิสัตว์เท่านั้นเป็นพอ คืนนี้เราจะต้องสลักรูปพระให้เสร็จแล้วประดิษฐานไว้ที่วัด
คิดได้ดังนั้น มูซาชิก็ทรุดตัวลงนั่งใกล้กับตะเกียง หยิบรูปพระโพธิสัตว์คันนอนที่สลักค้างไว้มาวางบนตัก จับมีดไว้มั่นในมือแล้วลงมือแกะสลักด้วยความตั้งใจ เศษไม้ใหม่ ๆ เริ่มเกลื่อนกระจายอีกครั้ง
ขณะเดียวกันนั้นเอง มีใครคนหนึ่งย่องขึ้นมาที่ระเบียงกว้างของวัดมุโดจิที่เปิดกว้างไม่มีธรรมเนียมที่จะต้องปิดหน้าต่างประตู แล้วคลานเงียบกริบไม่ผิดอะไรกับแมวขโมยเข้ามาจนถึงที่หมายแล้วลอบมองเข้าไปข้างใน
2
ไฟตะเกียงหรี่ลง
มูซาชิเติมน้ำมันตะเกียงแล้วจับมีดขึ้นมากระชับแน่นในมืออีกครั้ง
ป่าเขายามค่ำคืนเงียบสงัด ณ เวลานี้มีแต่เสียงไม้ที่ถูกปลายมีดแหลมคมแซะเป็นร่องรอย และเสียงเศษไม้ปลิวลงไปตกลงบนพื้นเบาหวิวกว่าเสียงเกล็ดหิมะ
จิตของมูซาชิจับนิ่งอยู่ที่ปลายมีด
ปกติเจ้าหนุ่มนักดาบผู้นี้ไม่ว่าจะจับทำอะไรใจก็จะจดจ่อไปที่สิ่งนั้นทันที และจะไม่วางมือจนกว่าจะเสร็จ
และยิ่งครั้งนี้ด้วยแล้ว ใครได้เห็นสีหน้าของเจ้ายามจรดปลายมีดลงไปบนเนื้อไม้เพื่อแกะสลักให้เป็นพระคันนอนนั้น จะต้องอดทึ่งไม่ได้กับความสงบนิ่งราวกับเป็นรูปสลักเสียเอง ขณะที่น่าจะเหน็ดเหนื่อยกับการเคลื่อนไหวมืออย่างไม่หยุดยั้ง
เสียงสวดภาวนาขอพรพระโพธิสัตว์ที่แต่แรกพึมพำเพียงเบา ๆ อยู่ในลำคอคอนั้น ค่อย ๆ ดังขึ้นจนก้องไปทั่วห้องในไม่ช้า และพอรู้ตัวก็รีบลดเสียงลงทันที นาน ๆ ครั้งจึงจะหยุดเติมน้ำมันตะเกียง แล้วดื่มด่ำอยู่กับรูปสลักในมือต่อไป
“อืม ดูเป็นรูปเป็นร่างพอจะใช้ได้แล้วละมัง”
มูซาชิยืดตัวขึ้นแล้วยื่นรูปสลักไม้ออกไปพิศดู พอดีกับเสียงพระตีระฆังใหญ่ที่หอด้านตะวันออกดังกังวาน
“จริงด้วย เราต้องไปลาเจ้าอาวาส และเจรจาขอให้ช่วยรับฝากรูปสลักไว้ภายในคืนนี้”
แม้รูปสลักจะยังดูหยาบเพราะไม่มีเวลาพอที่จะขัดเกลาอย่างประณีต แต่ก็เป็นผลงานที่มูซาชิจารึกจิตวิญญาณและน้ำตาแห่งความอัปยศลงไปทุกในร่องรอยสลัก ขณะสวดภาวนาขอพรจากพระโพธิสัตว์ให้แก่ดวงวิญญาณของเด็กหนุ่มผู้ล่วงลับ
และแล้วมูซาชิก็ถือรูปพระโพธิสัตว์ที่สลักเสร็จออกจากห้องพัก เพื่อไปเจรจาขอฝากเอาไว้ที่วัดมุโดจิเป็นการอุทิศผลบุญให้แก่ดวงวิญญาณของเก็นจิโร และเป็นสัญลักษณ์แสดงความเศร้าสลดของตนไปชั่วกาลนาน
ครู่หนึ่งต่อมาเณรน้อยก็เข้ามาในห้องและเก็บกวาดเศษไม้จนสะอาด ปูฟูกให้เมื่อสังเกตเห็นว่าเจ้าของห้องยังไม่ได้หลับนอน ก่อนแบกไม้กวาดกลับไป
แต่พอเณรน้อยคล้อยหลัง
อะไรกันนั่น...ประตูบานเลื่อนของห้องที่ไม่น่าจะมีใครอยู่กลับแง้มออกนิดหนึ่งแล้วปิดกลับเข้าไปตามเดิม
ไม่นานมูซาชิก็กลับมาโดยไม่รู้ตัวว่าได้เกิดความเคลื่อนไหวขึ้นในห้องพักของตน
พอมาถึงก็เอาหมวกฟาง รองเท้าฟางและเครื่องใช้อื่น ๆ สำหรับการเดินทางที่เจ้าอาวาสคงจะให้มา วางเรียงไว้ข้างหมอน ดับตะเกียงแล้วล้มตัวลงนอนบนฟูก
ห้องพักไม่ได้ปิดหน้าต่างลมจึงพัดผ่านเข้ามาตรง ๆ ทั้งสี่ด้าน แสงสว่างจากภายนอกจับบานประตูเลื่อนเป็นสีขาวเรืองรองเหมือนสีบุก สะท้อนเงาต้นไม้ไหวไปมาราวคลื่นในทะเล
เสียงมูซาชิกรนเบา ๆ แสดงว่าหลับแล้ว และยิ่งหลับสนิทเสียงกรนก็ยิ่งผ่อนยาวออกไป
ทันใดนั้นเอง ฉากกั้นตรงมุมห้องก็ขยับนิดหนึ่ง พร้อมกันนั้นก็มีเงาดำ ๆ หลังโก่งเหมือนแมวขโมยคลานเดี๊ยะเข้ามาใกล้ แต่แล้วก็ต้องชะงักอยู่ตรงนั้นเมื่อจู่ ๆ เสียงกรนของมูซาชิก็หยุดกึก
เงานั้นฟุบตัวลงแนบกับพื้นแบนราบยิ่งกว่าฟูก นิ่งนับจังหวะหายใจของอีกฝ่ายอยู่ตรงนั้น
และอึดใจต่อมา เงานั้นก็ลอยตัวขึ้นราวก้อนนุ่นสีดำแล้วตกทับลงไปบนตัวมูซาชิ
“ตายเสียเถอะ ไอ้ชั่ว”
เจ้าหนุ่มตกใจตื่นพลิกตัวไปทางหนึ่งด้วยสัญชาตญาณ ปลายมีดที่พุ่งเข้ามาสุดแรงเกิดเฉียดคอหอยไปอย่างหวุดหวิด ส่วนผู้ลอบสังหารอย่างอุกอาจถูกจับทุ่มไปโหม่งประตูบานเลื่อน หมดท่าลงไปกองอยู่กับพื้นแล้วกลิ้งตกจากระเบียงลงไปในความมืดพร้อมกับเสียงกรีดร้อง
มูซาชิตกใจไม่น้อยที่ถูกจู่โจมขณะที่กำลังหลับสบาย แต่ก็ต้องนิ่วหน้าด้วยความงุนงงที่ร่างศัตรูที่ตนเพิ่งเหวี่ยงเข้าไปที่ประตูนั้นทำไมถึงได้เบาสิ้นดี ถ้าเป็นแมวสักตัวก็จะไม่สงสัยเลย เจ้าหนุ่มไม่เห็นหน้าเพราะเจ้านั่นโพกผ้าคลุมหน้าเอาไว้เช่นเดรียวกับพวกหัวขโมย แต่ผมสีฟางที่โพลนอยู่ในความมืดนี่ซี...
เจ้าหนุ่มขมวดคิ้วพลางคว้าดาบยาวคู่มือจากข้างหมอนเผ่นจากระเบียงตามลงไปพร้อมกับตะโกนก้อง
“จะหนีไปไหน”
แล้วทำเป็นวิ่งกวดตามเสียงฝีเท้าผู้คุกคามไปในความมืด พร้อมกับร้องท้าทายสำทับไปว่า
“ไหน ๆ ก็ไปมาหาสู่กันแล้ว กลับมาทักทายกันหน่อยเป็นไร”
เจ้าหนุ่มได้แต่ส่งเสียงขึงขังไปเท่านั้น แต่ไม่ได้คิดที่จะเอาเรื่องจริงจังอะไร
“หยุดเลย ถึงหนีก็ไม่พ้นคมดาบข้า”
มูซาชิวิ่งไปได้สักครู่ก็วิ่งหัวเราะกลับมาที่เงาตะคุ่มบนพื้นดิน มีมีดปลายแหลมคมวาววับตกอยู่ไกลออกไป
3
“อ้าว แม่ใหญ่โอซูงิ มาทำอะไรอยู่ตรงนี้”
เจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่ปราดเข้าไปประคองแม่เฒ่าที่ถูกตนเองเหวี่ยงจากระเบียง ตกลงมาร้องนอนครางเสียงขรมอยู่บนพื้นดิน ท่าทางจะเจ็บมากอยู่ นางขยับตัวตั้งท่าจะหนีเมื่อเห็นมูซาชิวิ่งย้อนกลับมาแต่ก็ขยับตัวไม่ไหวแม้แต่จะยันตัวลุกขึ้นนั่ง
มูซาชิไม่คาดคิดเลยว่า ผู้ลอบฆ่าหมายบั่นศีรษะตนนั้นจะไม่ใช่พวกโยชิโอกะ หรือแม้แต่พวกพระนักรบ แต่กลับกลายเป็นแม่ของเพื่อนที่สนิทกันมาแต่ครั้งยังเยาว์
“ข้าสงสัยมานานเต็มทีว่าใครกันที่ให้ร้ายป้ายสีข้าอย่างไม่มีดี ถึงกับไปฟ้องเจ้าสำนักแห่งเขาฮิเอะให้ขับไล่ข้าออกจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ที่แท้ก็แม่เฒ่าโอซูงิคนบ้านเดียวกันนี้เอง อ๋อ...ใช่ซิ คำพูดของคนชราแข็งแรงปราดเปรียวราวกับนางกวางคนนี้ ใครได้ยินเข้าไปแค่คำสองคำก็เชื่อกันแล้ว และก็คงใส่จริตให้ใคร ๆ เขาเห็นใจด้วยแน่ ๆ ...พอให้แล้วจนช่ำใจแล้วก็ออกเดินทางตามไล่ล่าข้า แฝงตัวเข้ามาที่นี่ยามค่ำคืนพอได้จังหวะก็เผ่นโผนเข้าใส่หมายปลิดชีวิตข้า ใช่ไหมล่ะแม่ใหญ่โอซูงิ”
แม่เฒ่าครางเสียงแหบอยู่ในลำคอ หมดแรงที่จะดื้นขัดขืน
“ข้าไม่น่าพลาดเลย เจ็บใจนัก เจ้ามูซาชิ ข้าคงสิ้นท่าแต่เพียงนี้ สุดท้ายตระกูลฮนอิเด็นของเราก็ไม่มีวาสนาที่จะได้เป็นนักรบอย่างใคร เขาถึงทีของเจ้าแล้ว ปั่นคอแม่เฒ่าคนนี้เสียเถิด”
พูดออกมาได้เพียงแค่นั้นก็หอบแทบหายใจไม่ออก กำลังใจและกำลังกายแห้งเหือดไปหมด
จริง ๆ แล้วตั้งแต่ออกจากโรงเตี๊ยมที่ซันเน็นซากะ แม่เฒ่าเองก็รู้สึกตัวว่าสุขภาพไม่ดีเอามาก ๆ พละกำลังก็ถดถอย โรคภัยก็รุมเร้า เป็นทั้งหวัดทั้งไข้ และปวดเมื่อยหลังไหล่ แข้งขา และทั่วไปทั้งตัว
ทั้งยังถูกมาตาฮาจิลูกชายสุดที่รักทิ้งกลางทางระหว่างมุ่งหน้าไปยังสมรภูมิประลองยุทธ์ที่สนต้นเดี่ยวอีกด้วย ความเจ็บปวดจากแผลใจที่ใหญ่นักหนานั้นยิ่งบั่นทอนกำลังกายให้ย่ำแย่ลงไปอีก
“ฆ่าสิ ดาบในมือนั่นไง บั่นคอข้าเลย”
มูซาชิฟังคำพูดของแม่เฒ่าและมองสภาพของคนพูดที่สิ้นแรงแม้แต่จะขยับตัวแล้ว แน่ใจว่าไม่ใช่การเล่นละครตบตาประสาคนเจ้าเล่ห์อย่างนาง ในสายตาของคนที่รู้เช่นเห็นชาติกันเป็นอย่างดีนั้น เจ้าหนุ่มนักดาบเห็นว่าคราวนี้แม่เฒ่าโอซูงิอาจคิดว่าตนมาไกลถึงที่สุดแล้ว และเมื่อไม่สมประสงค์ก็เลือกที่จะตายเสียโดยเร็วดีกว่า
แต่มูซาชิ...
“แม่ใหญ่เจ็บเหรอ เจ็บตรงไหน ขอดูหน่อยซิ ข้าอยู่ตรงนี้ทั้งคนไม่ต้องห่วงกังวลอะไรเลยนะ”
เจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่ว่าพลางอุ้มแม่เฒ่าเดินตัวปลิวขึ้นเรือนไปนอนบนฟูก แล้วนั่งคอยพยาบาลดูแลอยู่ข้างหมอนตลอดคืน
ครั้นพอรุ่งสางเณรน้อยก็เดินหน้าตื่นถือห่อข้าวกลางวันที่มูซาชิขอให้ช่วยเตรียมไว้เข้ามาหาและบอกว่า
“อย่าหาว่าเร่งเลยนะ เมื่อวานทงสำนักพุทธจักรภูเขาฮิเอะส่งคนมาสั่งแล้วสั่งอีกว่าให้โยมลงไปจากภูเขาศักดิ์สิทธิ์นี้ทันทีที่รุ่งเช้า”
มูซาชิไม่ได้ติดใจอะไรเพราะตนก็ตั้งใจจะออกเดินทางไปจากที่นี่อยู่แล้ว จึงรีบแต่งตัวชุดเดินทางโดยไม่รอช้า จะห่วงก็แม่เฒ่าที่นอนเจ็บอยู่เท่านั้น
เมื่อรู้เข้าทางวัดก็ทำหน้าไม่สู้ดีนักหากมูซาชิจะทิ้งแม่เฒ่าไว้ให้เป็นภาระของพวกตน
“เอาอย่างนี้ดีไหมล่ะโยม”
ทางวัดมีข้อเสนอที่ดีทีเดียว
คือเมื่อวันก่อนพ่อค้าจากโอสึเอาแม่วัวตัวหนึ่งขนสินค้าขึ้นมาที่วัดแล้วก็เลยฝากไว้ที่นี่เพราะต้องไปทำธุระที่ทัมบะ โยมก็เอาคนเจ็บขึ้นหลังวัวลงภูเขาไปที่โอสึ แล้วก็ฝากมันไว้ที่ท่าข้ามเรือหรือว่าที่ร้านขายส่งสินค้าสักแห่งแถวนั้น พอพ่อค้ามาขอคืนอาตมาก็จะบอกไปตามนั้น