นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
บรรดาพระนักรบแห่งสำนักพุทธจักรบนภูเขาที่ผู้คนเคารพนับถือว่าศักดิ์สิทธิครองอำนาจและมีอิทธิพลยิ่งใหญ่มานานในอดีตที่ผ่านมา แม้จะถูกเด็ดปีกเด็ดหางสิ้นฤทธิ์และถูกขับออกไปจากแวดวงการเมืองและสังคมแล้ว แต่ก็ยังมีส่วนหนึ่งแม้ไม่มากนักที่ยังหัวรุนแรงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ซ่องสุมกันอยู่บนภูเขา ห่มจีวรสงฆ์สำนักป่าดังเดิม สวมเกี๊ยไม้พื้นสูง คาดดาบซามูไรกับดาบสั้นครบครัน เตรียมตัวพร้อมกู้คืนอำนาจ
“มากันแล้ว”
“หมอนั่นน่ะรึ”
พระนักรบห่มจีวรสีดำสวมหมวกสีน้ำตาลอ่อนมากันเป็นกลุ่มราวสิบคน ยืนปักหลักคอยอยู่หน้าซุ้มประตูวัด วัดมูโดจิไหวตัวซุบซิบกันแล้วจ้องมองไปยังพระที่ส่งไปตามมูซาชิกับเณรน้อยและเจ้าหนุ่มนักดาบร่างใหญ่เป็นตาเดียว
“พวกนั้นมีธุระอะไรกับข้ารึ”
มูซาชิถามเมื่อเห็นผู้มาเยือน พระที่มาตามไม่อาจให้คำตอบได้เพราะตนก็ไม่รู้เหมือนกัน บอกได้เพียงแต่ว่าเป็นพวกที่มาจากวัดซันโนอินที่เป็นวัดบริวารของสำนักพุทธจักรแห่งภูเขาฮิเอะซึ่งตนไม่รู้จักสักคนเดียว
พอเข้าไปใกล้ พระที่ท่าทางเป็นหัวหน้าก็ทำหน้าถมึงทึง ยกดาบขึ้นชี้ไปทางซุ้มประตูไล่พระกับเณรน้อย
“เจ้าสองคนกลับเข้าวัดไปได้แล้ว”
และหันไปทางมูซาชิ
“โยมรึคือนักดาบที่ชื่อมูซาชิ”
พระหนุ่มที่ทำกร่างหัวหน้ากลุ่มถามห้วน ๆ และในเมื่อไม่ใช่คำทักทายมูซาชิจึงยืนแข็งทื่อไม่น้อมศีรษะให้
“ใช่”
พอรู้ว่าใครเป็นใคร พระผู้เฒ่าคนหนึ่งก็ก้าวออกมาจากกลุ่ม และพูดเป็นจังหวะจะโคนราวกับกำลังแสดงพระธรรมเทศนา
“สำนักสงฆ์วัดเอ็นเรียคุจิได้วินิจฉัยกรณีของโยมแล้ว และได้มอบหมายให้เรามาแจ้งคำตัดสินความให้โยมได้รับรู้ว่า ภูเขาฮิเอะอันบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ไม่อนุญาตให้ผู้ใดก็ตามที่กระทำการอันเหี้ยมโหดไร้มนุษยธรรม หรือผู้ใดก็ตามที่ต่อสู้กับคู่อริด้วยพฤติกรรมอันขัดต่อจริยธรรม หลบหนีขึ้นมาซุกซ่อนตัวและยึดเป็นที่ลี้ภัย ซึ่งโยมเข้าข่ายเงื่อนไขดังกล่างนั้นทุกประการ เราได้แจ้งคำตัดสินกรณีของโยมแก่ทางวัดมูโดจิแล้ว ขอให้โยมออกจากวัดและลงจากภูเขาฮิเอะทันทีตั้งแต่บัดนี้ ขอให้โยมรับรู้และเตรียมตัวเตรียมใจไว้ว่า หากขัดขืนสำนักพุทธจักรแห่งภูเขาฮิเอะจะลงโทษโยมอย่างรุนแรง ขอให้โยมเข้าใจและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด”
“หือ ?”
มูซาชิอ้าปากค้าง จ้องหน้าพระผู้เฒ่าด้วยความงุนงง
ทำไมล่ะ จะไม่งงได้ยังไง ตอนมาถึงวัดมูโดจิและขอฝากเนื้อฝากตัว ทางวัดก็ได้รีบส่งคนไปแจ้งต้นสำนักพุทธจักรแห่งภูเขาฮิเอะแล้วเพื่อขอคำยินยอมกันพลาด แล้วก็ได้คำอนุญาตกลับมาทันทีว่าทางสำนักไม่ขัดข้องที่จะให้ที่พักพิงแก่เรา
แล้วอยู่ ๆ จะมาขับไล่ไสส่งราวกับเป็นผู้ร้ายฆ่าคนเช่นนี้โดยไม่มีเหตุผลจะได้รึ
“ข้าเข้าใจคำพูดของพระคุณเจ้าทุกถ้อยคำ แต่นี่ก็ใกล้ค่ำแล้วและข้าก็ยังไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย จะให้ไปทันทีคงไม่สะดวก จึงต้องขอความกรุณาให้ท่านยืดเวลาให้สักหน่อย คิดว่าพรุ่งนี้เช้าน่าจะออกเดินทางได้”
มูซาชิกล่าวอย่างนอบน้อมเป็นการเกริ่นไว้ ก่อนทำเสียงแข็งและทำท่าเอาเรื่อง
“แต่ข้าขอเรียนถามสักหน่อยเถิดว่า คำตัดสินความที่ท่านว่านั้นมาจากสำนักพระพุทธจักรโดยตรงหรือว่าจากทางวัดของท่าน เพราะวันแรกที่ข้ามาถึงทางวัดมูโดจิได้แจ้งไปยังต้นสำนักแล้ว และทางนั้นก็ได้อนุญาตให้ข้าเข้ามาพึ่งพิงได้ ข้าจึงงงอยู่ว่าทำไมจึงเป็นเช่นนี้”
พอเห็นอีกฝ่ายเอาจริง พระผู้เฒ่าก็เสียงอ่อนลง
“ถ้าอยากรู้อาตมาก็จะบอกให้ แต่แรกต้นสำนักเห็นว่าการประลองยุทธิ์ที่สนต้นเดี่ยวครั้งนี้ไม่ยุติธรรม เพราะพวกนักดาบโยชิโอกะยกพวกมารุมนักดาบคนเดียว และนิยมในความกล้าหาญชาญชัยของโยมจึงได้ให้เข้ามาพักพิงในวัดแห่งนี้ แต่ต่อมาได้เกิดมีข่าวลือว่าโยมเลวร้ายต่าง ๆ นานา ทางสำนักจึงต้องพิจารณากันอีกครั้ง และเห็นพ้องกันว่าไม่อาจให้ที่พักพิงแก่ท่านอีกต่อไป”
“ข่าวลือว่าข้าเลวร้ายเช่นนั้นรึ”
มูซาชิพยักหน้ารับรู้ และเดาได้ไม่ยากว่าพวกโยชิโอกะจะต้องโพนทะนาใส่ร้ายตนอย่างไรบ้าง และคิดว่าเสียเวลาเปล่าที่จะมาต่อล้อต่อเถียงกับคนที่ได้ยินได้ฟังคำใส่ร้ายตนมาเต็มสองหูอย่างพระพวกนี้ จึงพูดด้วยเสียงเย็นชาว่า
“เอาเถอะ เป็นอันว่าเข้าใจตามนั้น และพรุ่งนี้เช้าข้าจะออกเดินทางไปจากที่นี่แน่นอน”
ว่าแล้วมูซาชิก็หันหลังกลับ และพอจะเดินผ่านซุ้มประตูกลับเข้าไปในวัด ก็มีเสียงสาปแช่งตามหลังมา
“ดูมันซิ ไอ้คนนอกคอก”
“เลวสิ้นดี”
“ไม่รู้ว่าผีนรกที่ไหนมาเกิด”
“สันดานชั่ว”
2
“ท่านว่าใคร”
มูซาชิหยุดและหันมาทำหน้าบึ้งใส่พร้อมกับถามเสียงกร้าวดังกังวานแสดงให้เห็นว่าขึ้งโกรธ
“อ้อ ได้ยิน”
คนที่ส่งเสียงเย้ยมาคือพระหนุ่มที่ตะโกนด่าเป็นคนแรกว่าไอ้คนนอกคอก
“ท่านบอกว่าเป็นคำสั่งของสำนักพุทธจักรข้าก็เข้าใจและยอมรับโดยดี แล้วทำไมท่านถึงต้องใช้คำหยาบช้ากับข้าเช่นนี้ หรือว่าตั้งใจจะหาเรื่องวิวาทกัน”
“อาตมาเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าจะมาหาเรื่องทะเลาะวิวาทกับฆราวาสได้อย่างไรกัน แต่ก็ช่วยอะไรไม่ได้เพราะคำพูดมันหลุดออกมาจากลำคอเอง”
“ใช่ เสียงสาปแช่งจากสวรรค์”
“ใครทำอะไรหยาบช้าสามานย์เอาไว้ก็จงรับเอาไป
เพื่อนพระวัยเดียวกันคนอื่นๆพลอยด่าสำทับกันมาอีกเสียงขรมตั้งท่าจะหาเรื่องให้ได้ มูซาชิเดือดดาลเหลือทนแต่ก็พยายามสะกดสติอารมณ์ให้นิ่งเอาไว้
พระรุ่นหนุ่มที่ยังเป็นพระฝึกหัดปฏิบัติธรรมอยู่รวมกันในกุฐิใหญ่กลุ่มนี้ เป็นที่เลื่องลือกันในหมู่ชาวบ้านร้านถิ่นว่าปากเปราะเราะร้ายนัก แต่ละคนเย่อหยิ่งไม่เห็นหัวชาวบ้าน อวดตัวว่าเป็นคนมีความรู้กันทั้งนั้น
“เห็นเขาลือกันว่าเป็นนักดาบฝีมือดี เก่งนักเก่งหนา ตัวจริงไม่เห็นจะเอาไหน แช่งด่าคิดว่าจะโกรธแต่ก็ทำนิ่ง ไม่แน่จริงนี่หว่า”
โดนยั่วเข้าขนาดนี้ คนวัยเลือดร้อนพอ ๆ กันไหนจะทนได้ มูซาชิหน้าร้อนผ่าว
“โบราณว่าไว้ไม่มีผิด คนชั่วต้องถูกสวรรค์ลงโทษ”
“จริงของท่าน”
พวกพระยังตอแยไม่เลิก
“หมายความว่ายังไง”
มูซาชิเสียงแข็งกร้าวขึ้นไปอีก
“อ้าว ก็สำนักพุทธจักรแถลงออกชัดเจนขนาดนั้นแล้ว โยมยังไม่เข้าใจอีกรึ”
“ไม่เข้าใจ”
“งั้นก็คงเป็นสันดานของโยม แต่คิดว่าเกิดอีกหลาย ๆ ชาติก็คงเข้าใจไปเอง”
“... ... ...”
“มูซาชิ อาตมาจะบอกให้ว่าตอนนี้ชื่อเสียงของท่านป่นปี้หมดแล้ว ลงภูเขาไปก็ระวังตัวหน่อยแล้วกัน”
“ข้าไม่สนใจปากชาวบ้าน อยากพูดอะไรก็พูดไปตามสบายเลย”
“หือ...ฟังดูแล้ว ดูเหมือนจะมั่นใจเหลือเกินนะว่า ตนถูกต้องเสียเหลือเกิน”
“ถูกต้อง...จะว่าเช่นนั้นก็ได้ เพราะในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ข้าไม่ได้ทำอะไรให้คนมาตราหน้าได้ว่าขี้ขลาด
หรือน่าอับอายด้วย”
“พูดออกมาได้ ไม่ละอายใจบ้างเลยรึ”
“ก็มีอะไรบ้างเล่าที่มูซาชิคนนี้จะต้องละอายใจ จะว่าข้าละเมิดกฎเกณฑ์วิถีแห่งดาบ ก็ไม่ใช่เลยสักนิด คนอย่างข้า ก่อนการต่อสู้ทุกครั้งข้าจะสาบานกับดาบคู่มือว่าจะต่อสู้ด้วยความเป็นธรรม สมกับที่เป็นลูกผู้ชาย ไม่มีมีเล่ห์กลใด ๆ แม้กระผีกลิ้น”
“พูดออกมาได้หน้าตาเฉย”
“ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็พอจะฟังหูไว้หู แต่นี่โยมใช้ดาบฟาดฟันคร่าชีวิตผู้คนไม่รู้จักเท่าไรโดยไม่คำนึงถึงบาปกรรม แล้วจะให้พวกเรายกโทษได้กระไร”
“ถ้าโยมคิดว่าตนเองเป็นฝ่ายถูกจริงและชี้แจงให้กระจ่างได้ก็จงตอบมา...ถ้าจะบอกว่าต้องสู้อย่างไม่คิดชีวิตเพื่อเอาตัวรอดเพราะพวกโยชิโอกะแห่กันมาทั้งสำนักก็พอฟังขึ้น แถมยังจะสรรเสริญด้วยว่าช่างเป็นนักดาบที่เก่งกล้าและกล้าหาญชาญชัยเสียเหลือเกิน แต่ที่โยมฆ่าไม่เลือกหน้าแม้แต่เด็กวัยสิบสามสิบสี่ที่ไม่มีทางสู้นั้นมันโหดเหี้ยมยิ่งกว่าผีนรก อยากรู้เหลือเกินว่าใจของโยมทำด้วยอะไรจึงฟันเก็นจิโรขาดใจตายในสภาพที่น่าเวทนาเช่นนั้น”
มูซาชิหน้าซีด ไม่อาจหาคำใดมาตอบโต้
“เซจูโรผู้สืบทอดตำแหน่งเจ้าสำนักโยชิโอกะเป็นรุ่นที่สองต้องพิกลพิกาลเสียแขนไปข้างหนึ่งสังเวยคมดาบของโยม ร้ายกว่านั้นเด็นชิจิโรผู้เป็นน้องถึงกับเสียชีวิต จนสุดท้ายโยชิโกะก็เหลือหนุ่มน้อยเก็นจิโรเป็นผู้สืบสายเลือดของตระกูลอีกเพียงคนเดียว ที่โยมฆ่าเก็นจิโรก็เท่ากับเป็นการตัดสายเลือดของตระกูลโยชิโอกะให้ขาดสะบั้นลง เรียกได้ว่าเป็นการฆ่าล้างตระกูลอย่างเลือดเย็น อันไม่ใช่วิสัยของผู้อยู่บนวิถีแห่งดาบ
ไอ้คนนอกคอก ผีนรก ไม่ว่าจะสรรหาคำหยาบคายสาปแช่งยังไงก็ไม่สะใจเรา นี่หรือซามูไรที่ผู้คนยกย่องกันนัก แค่จะทำตัวให้เป็นมนุษย์สักคนก็ยังยาก”