xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอน รูปสลักพระโพธิสัตว์คันนอน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
  เณรหนุ่มตอบคำถามทางของมูซาชิว่า
“โบสถ์กลางอยู่ตรงนี้เอง มีทางเดินจากตรงนี้ไปนิดเดียวก็ถึง”
“ใกล้ขนาดนั้นเลยรึ”
เมื่อรู้ทางแล้วเช่นนั้น พอกินอาหารเสร็จเจ้าหนุ่มนักดาบจึงเดินตามเณรที่คอยอยู่ไปด้วยความตั้งใจที่จะไปยังโบสถ์กลางคมปงจูโด นับเป็นครั้งแรกในสิบกว่าวันที่ก้าวลงเหยียบพื้นดิน
แม้จะมั่นใจว่าร่างกายฟื้นตัวดีแล้ว แต่พอเดิน ๆ ไปแผลที่ขาซ้ายก็เจ็บแปลบขึ้นมาอีก ส่วนแผลที่แขนหายดีแล้วและรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวเมื่อต้องลมเย็น ๆ บนภูเขา
ท้องฟ้าต้นฤดูร้อนสว่างแจ่มใส ดวงอาทิตย์ทอแสงวิบวับผ่านกิ่งไม้ใบไม้ที่ไหวหวิวไปกับสายลม ซากุระป่าสลัดกลีบร่วงลิ่วราวเกล็ดหิมะ ร่างกายของมูซาชิไหวตัวจากภายใน กล้ามเนื้อทุกส่วนเต้นระริกเหมือนพืชพันธ์ที่กำลังจะแตกหน่อแตกตาตามธรรมชาติเมื่อต้นฤดูกาล
เณรหนุ่มเงยหน้าขึ้นถาม
“โยมเป็นนักดาบที่เดินทางแสวงหาวิชาดาบมิใช่รึ”
“ใช่”
“แล้วทำไมโยมถึงมาแกะสลักพระพุทธรูป อย่างพระโพธิสัตว์คันนอนเล่า”
“... ... ...”
“ทำไมไม่ใช้เวลาที่ว่างอยู่ไปเรียนวิชาดาบ แทนที่จะมาเรียนแกะสลักพระพุทธรูปอย่างนี้”
คำถามของเณรหนุ่มเสียดแทงใจมูซาชิยิ่งนัก
...คำพูดของเณรหนุ่มรุ่ยวัยสิบสามสิบสี่สะกิดแผลในใจของเจ้าหนุ่มนักดาบให้เจ็บปวดรวดร้าว ยิ่งกว่าแผลที่แขนและขาเสียอีก เณรหนุ่มผู้นี้อายุอานามและรูปทรงดูคล้ายกับหนุ่มน้อยเก็นจิโร ที่สังเวยชีวิตให้แก่ดาบสังหารเป็นคนแรกที่โคนสนต้นเดี่ยว ขณะที่ตนยังตัดสินใจไม่ขาดว่าจะเข้าร่วมการประลองยุทธ์หรือไม่
วันนั้น...
เราทำให้คนบาดเจ็บและตายไปกี่คน
จนกระทั่งบัดนี้มูซาชิยังไม่อาจหยั่งรู้ได้ ความทรงจำขาดตอนเป็นช่วง ๆ ไม่รู้ว่าใช้เชิงดาบอย่างไรฟาดฟันพันตูกับศัตรู และไม่รู้ว่าหนีรอดออกมาจากสมรภูมิมรณะนั้นได้อย่างไร
ภาพของคน ๆ เดียวที่ติดตรึงอยู่ในความทรงจำไม่มีเลือนแม้ยามหลับนอน คือหนุ่มน้อยเก็นจิโรคู่ประลองยุทธ์ที่สมรภูมิสนต้นเดี่ยว
ณ นาทีแห่งความเป็นความตาย
มูซาชิกับดาบคู่ที่หลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันนั้นหยุดไม่อยู่เสียแล้ว สัญชาตญาณร้องสั่งให้ฟาดฟันไม่มียั้งมือ และหนุ่มน้อยเก็นจิโรคือเป้าหมายแรก
“ช่วยด้วย ข้ากลัว”
เสียงร้องขาดหายไปพร้อมกับคมดาบของตนเฉือนเปลือกไม้ขาดลงไปเป็นแถบ ร่วงลงดินพร้อมกับศีรษะที่ยังไว้ผมม้าของหนุ่มน้อย และเลือดกระฉูดจากร่างที่ทรุดลงไปกับพื้นดิน
คำถามแรกผุดขึ้นมาทันทีที่มูซาชิเริ่มสำรวจสภาพจิตของตนหลังสังหารเป้าหมายแรกและรอดกลับออกมาจากสมรภูมิมรณะ
ฆ่าทำไม ไม่เห็นจะต้องทำถึงขนาดนั้น
 ธาตุแท้ของความเป็นปุถุชนทำให้มูซาชิเองอดไม่ได้ที่จะประณามการกระทำอันรุนแรงเกินไปของตน
แต่ไม่ได้เสียใจ
มูซาชิจารึกสัญญาใจกับตนเองเอาไว้ในบันทึกการเดินทางว่า...เมื่อตัดสินใจกระทำการใดแล้วจะไม่เสียใจในภายหลัง
ทว่า หนุ่มน้อยเก็นจิโรคนเดียวเท่านั้นที่มูซาชิทำใจให้คล้อยตามสัญญาที่ให้ไว้แก่ใจตนเองไม่ได้ แม้จะหันกลับไปทบทวนไมรู้ว่ากี่ครั้งกี่หน ก็ยังอกไหม้ไส้ขม เศร้าสลด และเจ็บปวดบาดแผลในใจ คมดาบอันทรงพลังเหนืออื่นใด และความมานะพยายามที่ต้องฟันฟ่าให้ผ่านพ้นขวากหนามมายาวไกลเพื่อให้บรรลุแห่งดาบ ทรงอิทธิพลลึกล้ำเหนือครรลองของชีวิตถึงกับผลักดันไปในทางที่ไร้มนุษยธรรม
สำนึกนั้นทำให้มูซาชิถึงกับคิดที่จะหักดาบทิ้ง
ในช่วงหลายวันที่ขึ้นมาอาศัยชายคาของวัดบนภูเขาแห่งนี้เป็นที่พักแรมและเยียวยาบาดแผล เสียงสวดมนต์ที่ดังแว่วมาไกล ๆ ช่วยให้อารมณ์คลุ้มคลั่งบ้าเลือดของมูซาชิค่อย ๆ สงบลงทีละน้อย กระทั่งร่างกายแข็งแรงและจิตใจผ่องแผ้วขึ้นธรรมะจึงกระจ่างขึ้นในใจ
มูซาชิตั้งใจสลักรูปพระโพธิสัตว์คันนอนที่แวบขึ้นมาในห้วงคิดระหว่างคืนวันที่คอยให้แผลหาย เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่หนุ่มน้อยเก็นจิโรก็จริง แต่มองแล้วน่าจะเป็นการพยายามที่จะลบล้างความละลายใจที่ติดตรึงอยู่ในใจตนเองมากกว่า
2
“นี่แน่ะเณรน้อย”
ในที่สุดมูซาชิหาคำตอบได้
“เณรบอกข้าได้ไหมล่ะว่า ทำไมที่วัดนี้จึงมีพระพุทธรูปไม้แกะสลักที่มีความศักดิ์สิทธิ์อยู่มากมายทั้งรูปแกะสลักฝีมือท่านเก็นชิน และรูปสลักท่านศาสดาโคโบไทชิ”
“นั่นน่ะซี”
เณรหนุ่มเอียงคอคิด แล้วพยักหน้าอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก
“จะว่าไป ข้าก็เห็นหลวงพ่อบางคนวาดภาพบ้าง บางคนแกะสลักพระพุทธรูปบ้างอยู่เหมือนกัน”
“ใช่ นักดาบแกะสลักก็เพื่อลับดาบและจิตวิญญาณของการเป็นนักดาบให้เฉียบคม พระใช้มีดแกะสลักพระ พุทธรูปในภาวะจิตว่างไม่คิดถึงตนเองและสรรพสิ่ง ก็เพื่อที่จะได้เข้าไปใกล้หัวใจแห่งพระอมิตาภะพุทธเจ้า การวาดภาพ การเรียนวิชาเขียนอักษรวิจิตรก็เช่นกัน พระจันทร์มีอยู่ดวงเดียวแต่ทางขึ้นยอดภูเขาที่ใกล้ดวงจันทร์ที่สุดนั้นมีอยู่มากมายหลายทาง บางคนเดินหลง บางคนเลือกทางอื่น บางคนเลือกเดินทางลัดบ้าง แต่ทุกคนมีจุดหมายเดียวกันคือเพื่อเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์”
“... ... ...”
เณรหนุ่มคงเบื่อเต็มทีที่ต้องฟังคำชี้แจงเหตุผลยืดยาว จึงเปลี่ยนไปทำหน้าที่ผู้นำทาง วิ่งเหยาะ ๆ นำหน้าไปและชี้ให้ดูหินก้อนหนึ่งในพงหญ้า
“โยมดูหินก้อนนี้ซิ ข้าได้ยินมาว่ามีตัวอักษรที่ท่านศาสดาจิจินจารึกเอาไว้”
มูซาชิตามเข้าไปก้มลงอ่านตัวอักษรบนพื้นหินที่ปกคลุมไปด้วยตะไคร่
สายน้ำแห่งคุณธรรมนั้นตื้นเขิน
และเมื่อสิ้นโลก
สายลมอันเย็นยะเยือก
จะพัดผ่านยอกเขาฮิเอะ
มูซาชิยืนนิ่งอยู่หน้าก้อนหินที่ตะไคร่จับเขียวก้อนนั้น รู้สึกราวกับว่าได้พบกับนักทำนายอนาคตผู้ยิ่งใหญ่ สายลมที่พัดผ่านยอดเขาฮิเอนั้นเย็นยะเยือกจริงหลังจากถูกกองทัพของโนบุนางะบุกขึ้นมาโจมตีทำลายล้างอย่างไร้ความปราณี หลังจากนั้นยอดทั้งห้าของเทือกเขาก็ถูกกีดกันออกจากแวดวงการเมืองอย่าฃสิ้นเชิงโดยไม่ได้รับอภิสิทธิใด ๆ เยี่ยงเคย ทำให้กลายเป็นท้องที่รกร้างเปล่าเปลี่ยว แต่ขณะที่กำลังจะกลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้งนั้นเอง ก็เกิดข่าวลือว่าพระบางคนที่ยังมีอำนาจและบารมีอยู่ยังถวิลหาความรุ่งเรืองของสำนักสงฆ์ในอดีตและพยายามที่จะกู้อำนาจและอภิสิทธิกลับคืนมา แต่เป็นที่น่าเสียดายที่เกิดการแก่งแย่งชิงดีขึ้นภายในเมื่อถึงคราที่จะเลือกผู้นำ
สำนักสงฆ์บนภูเขาที่บรรดาฆารวาสนับถือกันว่าศักดิ์สิทธิและเป็นที่พึ่งทางใจด้วยความเชื่อว่าจะช่วยพวกตนให้พ้นจากภัยอันตรายที่มาแพ้วพานนั้น กลับกลายเป็นว่าต้องพึ่งพาเงินบริจากจากฆารวาสเพื่อความอยู่รอด
มูซาชิอ่านคำจารึกแล้วบอกตัวเองว่าจะไม่ให้เชื่อคำทำนายของศาสดาคงไม่ได้
“ไปกันเถิดโยม”
เณรหนุ่มที่เดินล่วงหน้าไปก่อนหันหน้ามาร้องเรียก พอดีกับมีใครคนหนึ่งที่เดินมาข้างหลังส่งเสียงแซงขึ้นมาพร้อมกับโบกมือให้หยุดคอย
พระวัดเดียวกันกับเณรหนุ่มเดินเข้ามาหาแล้วหันไปทางเณรหนุ่ม
“เซเน็น เจ้าจะพาแขกของเราไปไหน”
“ไปโบสถ์กลางขอรับหลวงพี่”
“ไปทำอะไรรึ”
“ข้าเห็นท่านนักดาบผู้นี้นั่งแกะสลักรูปพระโพธิสัตว์คันนอนอยู่ทุกวัน แล้วก็บ่นว่าทำไม่ได้ดีสักที ข้าเห็นว่าที่โบสถ์กลาง มีรูปสลักพระโพธิสัตว์คันนอนที่ปรมาจารย์สมัยโบราณสร้างเอาไว้หลายองค์ ก็เลยชวนไปดูน่ะหลวงพี่”
“ไม่ต้องไปวันนี้ก็ได้ไม่ใช่รึ”
หลวงพี่หันมาถาม เจ้าหนุ่มนักดาบทำหน้าเจื่อน ๆ แก้ตัวว่า
“ข้าขอขมา ไม่รู้ว่าเณรน้อยมีธุระต้องทำให้ท่าน พากลับไปเถิด ข้าไปโบสถ์กลางเมื่อไรก็ได้”
“ไม่ใช่เช่นนั้น อาตมาตามมาเรียกโยมไม่ใช่เณรน้อย คือจะมาบอกว่าถ้าไม่มีอะไรก็อยากให้กลับไปที่พัก”
“อะไรนะ ข้าน่ะรึ”
“ใช่ และต้องขอขมาโยมด้วยที่อุตส่าห์ออกมาเดินข้างนอกทั้งที่ แต่กลับมาเรียกเอาไว้กลางคันเช่นนี้”
“มีใครมาหาข้าอย่างนั้นรึ”
“ใช่ ข้าบอกว่าโยมไม่อยู่ แต่เขาบอกว่าเห็นแวบ ๆ เมื่อกี้นี้เอง และขอให้อาตมามาเรียกท่านกลับไปเพราะต้องพบท่านให้ได้เดี๋ยวนี้ อาตมาชี้แจงยังไงก็ไม่ยอมฟัง”
ใครกัน
มูซาชิเอียงคอคิดก่อนเดินกลับไปทางเดิม


กำลังโหลดความคิดเห็น