xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม ตอน หนีไปตั้งหลัก

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

1
เสียงผู้คนอื้ออึงขึ้นพร้อมกันทันทีที่เห็นนักดาบพเนจรตกอยู่ในวงล้อมของนักดาบศิษย์สำนักใหญ่แห่งนครหลวง ทั้งจากด้านภูเขา ในป่าและบนยอดไม้ แต่แรกก็กระเหี้ยนกระหือรือที่จะได้ดูการประลองยุทธ์กันอย่างสมศักดิ์ศรี หวังโห่ร้องให้กำลังใจฝ่ายที่ตนถือหางกันให้สนุก
แต่พอกลับเป็นการแห่กันมารุมเป็นหมาหมู่เช่นนี้ แม้คนที่ปกติไม่เคร่งจริยธรรมสักเท่าไรก็ยังส่ายหัว หันมาเข้าข้างเจ้าหนุ่มนักดาบร่างอาบเลือดถือดาบสองมือยืนจังก้าอยู่กลางวงล้อม
หนุ่มฉกรรจ์หลายคนขยับตัวฮึดฮัด กล้า ๆ กลัว ๆ อยากเข้าไปช่วย แต่ก็ต้องชุดรั้งกันไว้เพราะดูท่าแล้วคง ไม่พ้น
ต้องเจ็บตัวไปด้วย ก็เลยได้แต่พากันลุกขึ้นทำท่าทำทางพร้อมส่งเสียงอึงคะนึง
หนีเร็ว
เสียงคนเป็นพันร้องบอกแทบเป็นเสียงเดียวกัน
วิ่งไปทางโน้น เร็วเลย
มาคนเดียว ยอมให้มันรุมได้ไง
หยุดได้แล้วเจ้าพวกนักดาบ ไม่เป็นลูกผู้ชายเลยโว้ย
หนีเร็ว หนีเดี๋ยวนี้เลย เจ้าหนุ่ม รอช้าไม่ได้แล้ว
แต่คำเตือนของพวกเสมอนอกไม่ได้ผ่านเข้าไปในฆานประสาทของมูซาชิแม้แต่กระแสเสียงเดียว เจ้าหนุ่มนักดาบกำลังเลือดเข้าตาแม้สายฟ้าจะฟาดดินจะถล่มทะลายก็คงไม่รู้สึก เสียงนักดาบกระทืบพื้นดินข่ม ขวัญศัตรู เสียงดาบเสียงกระทุ้งทวน ประสานกับเสียงฝูงคนที่ดังกึกก้องถึงขีดสุด สะท้านสะเทือนไปทั่วหุบเขา กิ่งไม้ใบไม้ไหวเยือกราวเกิดแผ่นดินไหว
และในพริบตาเดียวกันนั้นเองมูซาชิ ก็ได้จังหวะพุ่งตัวออกจากวงล้อม และวิ่งลิ่วไปทางภูเขาด้วยความเร็ว ของหมูป่า นักดาบห้าหกคนวิ่งตามไม่ลดละพยายามที่จะหยุดศัตรูให้อยู่มือ และพอกะได้ว่าอยู่ในวงดาบก็ฟาดฟันสุดแรงลงตรงเป้าหมายที่ก้านคอ
มูซาชิเบี่ยงตัวหลบทันควันด้วยความเร็วปานลมกรด คำรามสนั่นราวเสียงราชสีห์พิโรธ หมุนตัวกลับย่อเข่าตวัดดาบออกไปทั้งสองข้างในระดับคางสกัดกั้นให้ศัตรูที่กวดตามมาชะงักงันไม่กล้าถลำเข้ามา
ศิษย์โยชิโอกะคนหนึ่งเงื้อง่าทวนตั้งท่าพุ่งเข้าใส่ มูซาชิยกดาบขึ้นรับด้วยพลังแรงราวพญาคชสาร และพออีกฝ่ายเซถลาไปปะทะคนข้างหลังถอยร่นออกไป เจ้าหนุ่มนักดาบก็ฟันดาบซ้ายดาบขวาสลับกันรุกตามไป เคลื่อนไหวด้วยแรงไฟและน้ำสลับกันรวดเร็วราวจักรผันจนศัตรูแตกขบวน เซซัง เปะปะ ตั้งตัวไม่ติด
เฮ้ย...มันหนีไปแล้ว
จะไปไหนวะ กลับมาสู้กันก่อน
มูซาชิวิ่งโลดไปอีกโดยมีเสียงกู่ร้องของกองทัพโยชิโอกะดังก้องตามหลังมา ทันเห็นหลังเจ้าหนุ่มนักดาบกระโจนจากแนวป่าหายลับลงไปที่ทุ้งข้าวสาลีเขียวขจีเบื้องล่าง
อย่าหนี
คิดว่าจะหนีพ้นรึ
ศิษย์สำนักดาบหลายคนตะโกนข่มขวัญ แต่ทันทีที่กระโจนตามลงไปเสียงนั้นก็กลายเป็นเสียงโอดดอยด้วยความเจ็บปวดเจียนตาย สองคนก็แล้วสามคนก็แล้วและอีกหลาย ๆ ตนตามกันลงไป ตกเป็นเหยื่อคมดาบของมูซาชิที่ตั้งหลักหันหลังพิงเชิงผากวัดแกว่งดาบสังหาร ศัตรูที่มุ่งตามมาโดยไม่รู้โอกาสล่วงรู้ชตากรรม
เฟี้ยว
ปึ๊ก
ห้องสองด้ามของศิษย์โยชิโอกะพุ่งจากหน้าผาลงมาปักลึกอยู่กลางทุ่งข้าวสาลี แต่ก็หาถูกตัวมูซาชิไม่ และกว่าทุกคนจะรู้ตัวเจ้าหนุ่มนักดาบก็เผ่นหนีไปไกลลิบแล้ว
พวกเจ้าไปดักทางโน้น มันหนีไปทางหมู่บ้าน
หนีไปตามทางนั้นต่างหาก
เมื่อไม่เห็นตัวศัตรูกองกำลังสำนักโยชิโอกะก็ระส่ำระสาย ร้องบอกกันให้ไปทางนั้นบ้างทางนี้บ้างไม่เป็นส่ำ ฝ่ายมูซาชินั้นค้อมตัวลงต่ำลัดเลาะไปตามไร่นาของชาวบ้านบนเนินเขา นาน ๆ ทีก็มองลงไปดูความชุลมุนวุ่นวายของอีกฝ่าย
ไม่นานแสงแดดยามเช้าวันนั้นก็ส่องสว่างลงไปจนถึงรากของต้นไม้ใบหญ้าและข้าวสาลีในนาเช่นเดียวกับ ทุกเช้า


2
ครั้งนั้น โอดะ โนบูนางะอดทนกับการที่พระเข้ามาแทรกแซงการเมือง จนถึงที่สุดในคืนวันหนึ่งจอมทัพก็ได้ตัดสินใจยกกองทัพขึ้นไปโจมตีวัดพุทธเก่าแก่บนภูเขาฮิเอะ วัดและอารามจำนวนนับไม่ถ้วนต้องตกเป็นเหยื่อพระเพลิงแทบหมดสิ้น แม้เวลาจะผ่านไปถึงสี่สิบี และบางวัดได้ซ่อมแซมโบสถ์กับอาคารอื่น ๆ กันบ้างแล้วแต่ความทรงจำอันขมขื่นในค่ำคืนอันแสนหฤโหดนั้นยังครอบคลุมอยู่ทั่งทั้งขุนเขา วัดสูญเสียอำนาจที่ครั้งหนึ่งเคยมีและบรรดาพระก็หันกลับมาประกอบศาสนกิจกันตามเดิม
วัดมูโดจิตั้งอยู่ลึกเข้าไปในป่าบนยอดเขาด้านตะวันตก มองลงมาเห็นวัดอื่น ๆ และทัศนียภาพอันงดงามของนครหลวงเกียวโต บริเวณวัดเงียบสงัด ไม่มีเสียงใดอื่นที่จะมาทำลายความสงบสุขนอกจากเสียงน้ำไหลในลำธารและเสียงนกร้อง
ท่ามกลางความวิเวกวังเวง เสียงสวดมนต์สักการะพระโพธิสัตว์คันนอนของใครคนหนึ่งดังแว่วมาจากที่ใดสักแห่งในบริเวณวิหาร นาน ๆ ครั้งเสียงสวดเป็นจังหวะราบเรียบจะดังขึ้นคล้ายคนสวดตื่นจากภวังค์ แล้วก็กลับลดเสียงลงต่ำเป็นสวดภาวนาต่อไป
ใครกันนั่น
เณรหนุ่มสวมจีวรขาวถือถาดอาหารมังสวิรัติเช่นเดียวกับที่พระในวัดฉันกัน ยกขึ้นในระดับตาเดินมาบนระเบียงทางเดินขัดมันดำ ตรงไปยังห้องด้านในที่มีเสียงสวดมนต์ลอดออกมา และพอไปถึงก็เลื่อนประตูไม้ออกพร้อมกับส่งเสียงทักทายนำเข้าไปก่อน
โยม อาหารมาแล้ว
และเมื่อไม่มีเสียงตอบคำทักทั้งสองครั้งสองครา เณรหรนุ่มจึงวางถาดอาหารไว้ให้ที่มุมห้อง
โยม
เณรหนุ่มเรียกอีก แต่คนในห้องก็ยังหันหลังให้อยู่อย่างนั้นคล้ายกับไม่รู้ว่ามีใครเข้ามาในห้อง
เณรหนุ่มนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ในเช้าวันนั้นเมื่อหลายวันก่อน ที่นักดาบพเนจรคนหนึ่งเดินเซซังใช้ดาบยันประคองร่างโชกเลือดเข้ามาที่วัด
แม้ไม่บอกก็น่าจะเดากันได้ว่านักดาบร่างโชกเลือดผู้นี้คือใคร เพราะถ้าเดินลงเขาทางใต้สุดของวัด เลี้ยวลงเนินไปทางตะวันออก หรือไม่ก็ลงเขาทางตะวันตกตรงไปที่หมู่บ้านชิรากาวะของผู้ปฏิบัติธรรม จะเดินไปถึงทางสามแพร่งที่สนต้นเดี่ยวได้
“อาตมาเอาอาหารกลางวันวางไว้ตรงนี้นะโยม”
สุดท้ายนักดาบผู้เซซังมาพึ่งใบบุญก็รู้สึกตัวขานรับ
มูซาชิยืดตัวขึ้น เหลียวหลังมามองเณรหนุ่มกับถาดอาหาร แล้วขยับท่านั่งให้เข้าที่เข้าทางก่อนน้อมศีรษะแสดงความขอบคุณ
เศษไม้สีขาวที่เกลื่อนอยู่บนเข่า บนพื้นเสื่อและที่ระเบียงห้องโฉยกลิ่นหอมอ่อน ๆ
“โยมจะกินเลยไหม”
มูซาชิตอบรับความเอื้ออารีของเณรหนุ่ม รับถ้วยใส่ข้าวสวยมาแล้วเริ่มรับประทาน โดยมีเณรหนุ่มเฝ้าดูหากเผื่อขาดเผื่อเหลืออยู่ข้าง ๆ เณรหนุ่มจ้องมองไปที่เศษไม้ขาว ๆ ที่เกลื่อนอยู่ไม่วางตา จนในที่สุดก็ทนความอยากรู้ไม่ได้จึงถามขึ้นว่า
“โยมแกะสลักอะไรอยู่รึ”
“อ๋อ ข้ากำลังแกะสลักไม้เป็นพระพุทธรูป”
“พระพุทธเจ้ารึ”
“ไม่ใช่หรอกท่าน ข้ากำลังแกะสลักพระโพธิสัตว์คันนอน แต่ฝีมือการใช้มีดแกะสลักและสิ่วยังไม่เชี่ยวชำนาญ จึงแกะไม่ได้ดีสักที กินเนื้อตัวเองเข้าไปอย่างเห็นนี่แหละท่าน”
มูซาชิชูนิ้วที่เป็นแผลให้ดู แต่เณรหนุ่มสนใจบาดแผลในผ้าพันที่มองเห็นผ่านขาเสื้อเข้าไปมากกว่า
“แล้วแผลที่แขนและขาของโยมล่ะ เป็นยังไงมั่ง”
“อ๋อ แผลตรงนั้นดีขึ้นมากแล้วด้วยความเตตากรุณาของท่านที่นี่ ขอฝากขอบคุณท่านเข้าอาวาสไปกับท่านด้วย”
“ถ้าท่านจะแกะสลักรู ข้าแนะนำให้ไปโบสถ์กลาง ที่นั่นมีผลงานของใครซักคนที่เป็นนักแกะสลักรูปพระโพธิสัตว์คันนอนลือชื่อ รับประทานอาหารเสร็จแล้วจะไปดูก็ได้นะ”
“อยากเห็นมากเลย ช่วยบอกข้าหน่อยว่าเดินไปทางใดดีจึงจะไปถึงโบสถ์กลางได้


กำลังโหลดความคิดเห็น