นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
จันทร์เจ้าลอยดวงตามเงาเจ้าหนุ่มนักดาบที่เดินก้าวยาว ๆ ด้วยฝีเท้ามั่นคงไปตามทางเลียบลำธารระหว่างเขา ชิงะกับเขาอุริวหลังจำจากโอซือ เคลื่อนคล้อยลงหลังทิวเขาสามสิบหกยอด แสงอรุณรุ่งสะท้อนกลุ่มเมฆเรื่อเรือง และชีวิตยามเช้าก็เริ่มขึ้นเฉกเช่นวันวาน
อีกไม่ไกล
มูซาชิรำพึงพลางเร่งฝีเท้าเมื่อเห็นหลังคาวัดอยู่รำไรล่างลงไปจากไหล่เขา เจ้าหนุ่มร่างใหญ่เงยหน้ามองขึ้นไปที่หมู่เมฆ และสำนึกลึก ๆ อยู่ในใจว่าอีกไม่กี่อึดใจดวงวิญญาณของตนก็จะล่องลอยขึ้นไปรวมตัวกันอยู่บนฟากฟ้าและโบยบินไปด้วยกัน
หากมองในขอบเขตของจักรวาล ความตายของมนุษย์คนเดียวอาจไม่มีความสำคัญอะไรมากไปกว่าการตายของผีเสื้อตัวหนึ่ง แต่ในมุมมองบนพื้นพิภพ ความตายของคน ๆ เดียวจะส่งผลกระทบต่อทุกสิ่งรอบตัวเขาไม่ว่าดีหรือร้าย ณ นาทีนี้มูซาชิกังวลอยู่อย่างเดียวในตอนนี้คือจะตายอย่างไรให้สมเกียรติ
เสียงกระซิบของสายน้ำจูงใจให้แวะเวียน มูซาชิชะงักเท้า คุกเข่าลงที่เชิงโขดหินแล้ววักน้ำลำจากลำธารขึ้นดื่มอึกใหญ่ ความเย็นฉ่ำจนลิ้นแทบชาย้ำเตือนใจอันแกร่งราวหินผาอีกครั้งว่า จิตวิญญาณของตนยังสงบนิ่งและความกล้าหาญยังดำรงคงอยู่
ขณะที่พักอยู่ครู่หนึ่งที่ริมลำธาร เจ้าหนุ่มแว่วเสียงใครคนหนึ่งเรียกหา
ไม่รู้ว่าเสียงของโอซือหรือว่าของโจทาโรกันแน่
ไม่น่าเป็นโอซือ เพราะเจ้าหนุ่มรู้จักนางดีว่าไม่ใช่ผู้หญิงประเภทวิ่งไล่ตามชายอย่างคนขาดสติในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้
ถึงจะไม่ใส่ใจนักแต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าใครกันแน่ที่กู่เรียก แม้จะออกเดินแล้วก็ยังเหลียวหลังไปดูหลายครั้งด้วยความหวังว่าอาจพบใครที่เป็นต้นเสียง แล้วนึกหวาดขึ้นมาเมื่อคิดว่าอาจเป็นเสียงหลอน
แต่มูซาชิไม่มีเวลาที่จะเสียไปมากกว่านั้น การไปถึงที่ประลองยุทธ์ช้ากว่ากำหนดนอกจากจะเป็นการผิดสัญญาแล้วยังทำให้ตนตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างยิ่งด้วย การเป็นนักดาบบุกเดี่ยวเข้าปะทะกับกองกำลังของศัตรูที่ได้ชื่อว่าเป็นสำนักดาบอันแกร่งกล้าแห่งนครหลวงเช่นนี้ เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการปรากฏตัวนั้น ต้องเป็นช่วงที่พระจันทร์ลับดวงและก่อนที่ท้องฟ้าจะกระจ่างเต็มที่
2
เมื่อนึกถึงคำกล่าวแต่โบราณที่ว่าพิชิตศัตรูภายนอกง่ายกว่าพิชิตใจตนเองขึ้นมาแล้ว มูซาชิขัดเคืองใจยิ่งนักที่ไม่อาจสลัดโอซือออกไปให้พ้นห้วงคิดคำนึงของตนได้ แม้จะตัดใจแทบขาดยามนางยึดรั้งชายกิโมโนเอาไว้เมื่อครู่ก่อน
นึกถึงหน้านวลผิวละเอียดเนียนของนางขึ้นมาคราใด ใจปั่นป่วนจนแทบละลายสิ้น
แล้วก็นึกละอาย..ควรแล้วรึที่ลูกผู้ชายจะหมกมุ่นอยู่กับผู้หญิงในยามที่มุ่งมั่นทำการใหญ่เช่นนี้
แต่ไม่ว่าจะพยายามเพียงไร เจ้าหนุ่มนักดาบก็ไม่อาจสลัดโอซือให้พ้นจากใจไปได้
ไม่นึกเลยว่าเยื่อใยที่ผูกพันอยู่กับนางจะแน่นเหนียวถึงเพียงนี้
เมื่อแรงใจไม่อาจสลัดโอซือให้พ้นไปจากห้วงคิดที่วกวนพัวพันไปมาอยู่กับนางได้ ทางเดียวที่เหลืออยู่ก็มีเพียงแรงกาย มูซาชิวิ่งตะบึงสุดฝีเท้าไปข้างหน้าด้วยหวังที่จะให้ความคิดถึงโอซือหลุดลอยไปตามแรงพุ่งลิ่ว
ทันใดนั้นเองเจ้าหนุ่มนักดาบก็ต้องหยุดชะงักและอุทานออกมาด้วยความลิงโลด เมื่อเห็นเส้นทางขาว ๆ สายหนึ่ง คดเคี้ยวอยู่ท่ามกลางแมกไม้ ไร่นาและป่าไผ่
ใกล้มากแล้ว
ใกล้เส้นทางสู่สนเดี่ยวแห่งวัดอิจิโจจิเต็มทีแล้ว และเมื่อเดินไปตามเส้นทางนี้ไม่นานก็จะไปบรรจบกับอีกสองเส้นทาง และจากตรงนี้มูซาชิมองเห็นต้นสนอันเป็นหมุดหมายต้นนั้น แผ่กิ่งก้านสาขาชูยอดสูงลิ่วฝ่าม่ายหมอกสีขาวขุ่นสู่ผืนฟ้า
ใจมูซาชิตื่นระทึกจนเข่าอ่อนทรุดลงไปคุกเข่าอยู่กับพื้นดิน ประสาททุกส่วนเกร็งแข็งไปทั่งทั้งร่างด้วยความรู้สึกคล้ายกับว่าหมู่ไม้ใหญ่ต้นสูงทะมึนในป่าเป็นกองทัพศัตรูกำลังรุมล้อมเข้ามาทั้งหน้าหลังหมายประหัตประหาร
และพอตั้งสติลุกขึ้นได้ ก็เคลื่อนตัวหลบหลีกอย่างว่องไว แฝงตัวไปตามหลืบเงาโขดหินและเงาไม้ราวกับจิ้งเหลน ไปจนถึงเนินสูงเหนือต้นสนอันเป็นหมุดหมายต้นนั้นพอดี
ซุ่มกันอยู่เต็มไปหมดจริง ๆ ด้วย
มูซาชิคืบตัวเข้าไปใกล้ขึ้นอีกและมองลงมา ก็เห็นเงาของคนที่คะเนได้ว่าเป็นจำนวนมากมาออกันอยู่ที่ทางแยก และที่โคนสนต้นนั้นมีนักดาบราวสิบคนถือหอกยืนตั้งท่าขึงขังอยู่ในม่านหมอก
หยาดน้ำค้างโปรยปรายลงมาบนร่างของมูซาชิราวกับฝนตก ด้วยแรงลมที่พัดผ่านป่าสนและกอไผ่ยามรุ่งอรุณ ส่งเสียงราวกับเสียงคลื่นในทะเล
กิ่งใบของสนต้นเดี่ยวแกว่งไกวสะบัดหยาดน้ำค้างพร่างพรู คล้ายกับจะแจ้งเหตุร้ายให้สวรรค์ได้รับรู้
แม้จะมองเห็นศัตรูไม่ได้ทั้งหมดแต่มูซาชิก็รู้สึกได้ว่ามีศัตรูแฝงตัวอยู่เต็มไปหมดทุกหย่อมหญ้า ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือที่ราบ บรรยากาศโดยรอบทำให้รู้สึกเหมือนตกอยู่ในโลกแห่งความตาย มือเท้าเย็นเฉียบและขนลุกทั่วตัวไปจนถึงหลังมือ มูซาชิค่อย ๆ หายใจเข้าล้ำลึก ใจพร้อมต่อสู้ขณะที่ร่างกายเกร็งเครียดไปจนถึงปลายเล็บเท้า เมื่อปีนป่ายไปช้า ๆ ระหว่างโขดหิน
มูซาชิปีนกำแพงหินที่เหมือนซากปรักหักพังของป้อมปราการเก่าแก่ที่ขวางอยู่ข้างหน้า เลียบไหล่เขาออกมายังเนินเตี้ย ๆ
เจ้าหนุ่มนักดาบมองไปทางต้นสนเดี่ยวที่เชิงเขาเห็นซุ้มประตูโทริอิล้อมรอบไปด้วยหมู่ไม้และทิวป่ากั้นลม
โอ๊ะ มีศาลเจ้าอยู่ตรงนี้ด้วย
มูซาชิคุกเข่าลงทันทีที่วิ่งมาถึงหน้าศาลเจ้าแล้วจรดมือทั้งสองลงกับพื้นก้มศีรษะลงคารวะโดยไม่รู้ว่าเป็นศาลของเทพองค์ใด สำนึกที่ว่าความตายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวทำให้ไม่อาจสะกดกลั้นความสะทกสะท้านของจิตใจเอาไว้ได้ โน้มน้าวให้ยึดเหนี่ยวสิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งด้วยสัญชาตญาณ
แสงจากดวงไฟในวิหารไหววูบไปตามแรงลม
มูซาชิน้อมศีรษะคารวะเทพเจ้าประจำศาลเจ้าฮาจิได ด้วยความรู้สึกเหมือนได้พลังสนับสนุนอันยิ่งใหญ่จากเทพเจ้าองค์นี้
ใช่แล้ว
ถ้าพุ่งตัวลงเนินเขาไปฟันทะลวงตลบหลังศัตรูจากตรงนี้ เทพแห่งสงครามจะต้องช่วยหนุนหลังให้แน่นอน เจ้าหนุ่มมั่นใจว่าเทพเจ้าย่อมเข้าข้างฝ่ายถูก ดังเช่นเมื่อคราวที่จอมทัพโนบูนางะผู้ยิ่งใหญ่ยกทัพไปสงครามที่สมรภูมิ โอเกฮาซามะ ระหว่างทางท่านได้ไปนมัสการศาลเจ้าอาสึตะจิงงู ซึ่งเชื่อกันว่าเทพเจ้าแห่งวิหารแห่งนั้นช่วยให้ท่านจอมทัพได้รับชัยชนะ
มูซาชิชำระร่างกายและจิตใจด้วยน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ หยิบจอกขึ้นตักน้ำขึ้นมาบ้วนปากครั้งหนึ่ง ก่อนตักขึ้นมาอมน้ำไว้และพ่นลงที่ด้ามดาบและที่สายรัดรองเท้าฟาง
เสร็จแล้วจึงใช้เชือกหนังพาดพันเก็บแขนเสื้อกิโมโนให้รัดกุม ผูกผ้ารัดหน้าผากเตรียมการเฉกเช่นนักรบพร้อมสู้ ก่อนกลับไปที่หน้าวิหาร เอื้อมมือไปจับสายเชือกฟั่นเส้นใหญ่เพื่อเคาะฆ้อง
แต่แล้วก็ชะงัก ยังไม่ทันที่มือจะสัมผัสกับเส้นเชือกที่ห้อยลงมาจากตัวฆ้อง
ช้าก่อน ไม่ใช่นะ
มูซาชิละมือออกมาจากเส้นเชือกฟั่นสลับสีเก่าแก่ สีซีดจนไม่รู้ว่าว่าเส้นไหนสีขาวเส้นไหนสีแดง
นี่เรากำลังจะทำอะไร จะสวดอ้อนวอนขออะไรจากเทพเจ้ารึ
เจ้าหนุ่มกัดฟันแน่นนึกตำหนิตนเองอยู่ในใจถามตัวเอง กำมือทั้งสองกระชับแน่นแนบกาย
จะขออะไร จะปรารถนาอะไรอีกในเมื่อตัวเราน่าจะหลอมรวมเป็นองค์เดียวกันกับจักรวาลอยู่แล้ว
ก่อนมาถึงจุดนี้ ไม่ใช่สิ...เราฝึกตัวเองให้ตระหนักอยู่เสมอไม่ใช่รึว่าชีวิตของนักดาบอย่างเรานั้นเป็นอนิจจัง เช้ามีชีวิตอยู่ดี ๆ แต่พอตกเย็นอาจกลายเป็นร่างไร้วิญญาณ
ใช่...เราฝึกจิตให้น้อมรับความตายอย่างสงบและด้วยความเชื่อมั่นในตนเองมาตลอด แต่พอถึงคราที่จะได้ทดสอบพลังใจที่สั่งสม ใยจึงลืมตัวหันไปปิติดยินดีกับเมื่อเห็นลำแสงแห่งเทพวาบผ่านเข้ามาในความมืด ถึงกับมือไม้สั่นผวาเข้าหาสายเชือกเคาะฆ้องส่งสัญญาณให้ทวยเทพรับฟังคำภาวนาอ้อนวอน
นักรบซามูไรผู้โดดเดี่ยวไม่มีเพื่อนสนิทมิตรสหายใดอื่นนอกจากความตายอันเที่ยงแท้และบริสุทธิ์ ระหว่าง เดินป่าท่ามกลางแสงจันทร์เมื่อคืนจวบจนจะรุ่งอรุณเช้าวันนี้เราก็ยังเชื่อถือและยึดมั่นในดวงชะตา ความภาคภูมิใจในความมานะบากบั่นที่แอบซ่อนอยู่ในอก แต่พอมาบัดนี้จะกลับละทิ้งเสียสิ้นและหันเข้ายึดเอาเทพยดาฟ้าดินเป็นที่พึ่งหรือไร
เช่นนี้ก็หมายความว่า แม้เราจะตัดใจน้อมรับความตายอย่างสง่างามสมกับความเป็นนักดาบ แต่ในสัมผัสทั้งห้ายังมีความต้องการชีวิตและเลือดเนื้อแอบแฝงอยู่ที่ไหนสักแห่ง ด้วยความปรารถนาที่จะมีชีวิตยืนยาวต่อไปเพื่อโอซือ...เพื่อพี่สาวที่บ้านเกิด จึงเห็นเทพเจ้าเป็นเสมือนฟางเส้นเดียวที่จะยึดเหนี่ยวเอาไว้ มือจึงเอื้อมไปที่สายเชือกเคาะฆ้องด้วยความหวังที่จะยืมพลังเทพเจ้าเพื่อให้อยู่รอด
มูซาชิยืนนิ่งราวรูปสลักหินอยู่หน้าศาลเจ้า กัดฟันกลั้นน้ำตาแห่งความคับแค้นใจในตัวเองที่คลออยู่ตั้งแต่เมื่อจากกับโอซือไม่ให้หลั่งลงมา