สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว เพื่อนๆ สบายดีไหมครับ เพื่อนผมที่ญี่ปุ่นเล่าว่าตอนนี้เพื่อนกำลังติดตามนักให้คำปรึกษาระดับโลกอยู่คนหนึ่ง เป็นคนญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียง ดูเหมือนว่าค่าตัวงานบรรยายของเขาจะใกล้เคียงกับเงินเดือนของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเลยทีเดียว และผมมักจะได้ยินเรื่องราวต่างๆ ที่เพื่อนเล่ามาสักระยะหนึ่งแล้ว นักให้คำปรึกษาท่านนี้กล่าวว่า “มี 3 สิ่งที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงชีวิตของคน นั่นคือ เปลี่ยนบุคคลที่คบหา เปลี่ยนวิธีการใช้เวลา และอีกวิธีหนึ่งคือ ... เปลี่ยนที่อยู่อาศัย!”
ผมก็คิดว่าเป็นจริงตามนั้นนะครับ เราอาจจะเคยได้ยินอยู่บ่อยๆ ว่าคนเรามักพยายามให้กำลังใจตัวเองในแต่ละวันโดยพูดว่า "ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเปลี่ยนแปลง!" และแล้วจะเห็นว่ามันไม่สมเหตุสมผลและสุดท้ายก็เหมือนเดิมคือไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้มากนัก หรือยกตัวอย่างธุรกิจค้าขายที่แม้ว่าจะพยายามด้วยตัวเองสักเท่าไหร่ แต่การค้าขายและการทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นนั้น แน่ๆ ต้องไปอยู่ในย่านที่มีลูกค้ากลุ่มเป้าหมายจำนวนมากที่พร้อมจับจ่ายตามกำลังที่เขาสามารถ แต่โดยส่วนตัวแล้วผมคิดว่าการเปลี่ยนที่อยู่อาศัยดูเหมือนจะส่งผลต่อชีวิตของผมมากกว่าการเปลี่ยนบุคคลที่คบหาด้วยเสียอีก
ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่ย้ายที่อยู่บ่อยมากๆ ไม่แน่ใจว่ากี่ครั้งแล้วแต่น่าจะประมาณ 26 ครั้ง (แน่นอนว่าตัวเลขนี้ไม่รวมการเดินทางที่ไปเข้าพักตามโรงแรมที่พักสมัยเป็นแบ็กแพกเกอร์นะครับ) และปัจจุบันที่ผมมาทำงานที่ภูเก็ตผมก็ย้ายที่พักเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 3 เดือนนี้ พอบอกเพื่อนที่ญี่ปุ่นว่าอยู่ภูเก็ตเพื่อนของผมทุกคนต่างอิจฉาและบอกว่าดีมากๆ เลยที่ผมได้อยู่ใกล้ทะเล! แต่ที่พักแรกที่ผมอยู่นั้นอยู่ไกลทะเล เป็นย่านตลาดและชุมชนคนท้องถิ่นที่มีคนประกอบอาชีพทั่วๆ ไป มีวัด มีตลาดสด มีโรงเรียน ร้านค้าร้านอาหารอร่อยมากมาย และมีผู้คนที่ดูใจดีและมีความสุขในวิถีชีวิตที่ไม่ได้เร่งรีบอะไร มีความรู้สึกปลอดภัยเหมือนสุภาษิตญี่ปุ่นที่ว่า คนรวยมีที่ว่างในใจและยากที่จะรู้สึกอยากทะเลาะเบาะแว้ง หมายถึงมีความยืดหยุ่นมากพอที่จะหยวนๆ เรื่องปากท้อง เล็กๆ น้อยๆ ที่จ่ายได้ก็จ่ายไป ไม่พยายามหาเรื่องทะเลาะมาใส่ใจ
แต่เมื่อผมต้องย้ายที่ทำงานไกลจากที่พักเดิม และต้องเดินทางโดยต้องขับรถและฝ่ารถติดเป็นชั่วโมงๆ ทำให้ผมต้องย้ายที่พักอีกครั้ง และครั้งล่าสุดก็ย้ายมาอยู่ใกล้ทะเลจริงๆ ซอยที่พักใหม่เป็นถนนที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติอาศัยอยู่มาก และสถานการณ์ก็แตกต่างจากที่พักเดิมสักเล็กน้อย และเมื่อผมเดินสำรวจรอบๆ รู้สึกว่ามีธุรกิจมากมายที่เคยอำนวยความสะดวกให้นักท่องเที่ยว ที่เหมือนจะปิดให้บริการมาเป็นเวลานานตั้งแต่ช่วงภัยพิบัติโควิดที่ผ่านมา เช่น ร้านอาหารริมทะเล สวนสัตว์ ศูนย์การแสดงงู/จระเข้สําหรับนักท่องเที่ยว มีหลายที่ที่ปิดให้บริการไปแล้ว คราวนี้แม้ว่าจะอยู่ใกล้ทะเลเข้ามาแล้วและรู้สึกตื่นเต้นทุกวัน แต่ก็กังวลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับสัตว์ต่างๆ รอบตัว เพื่อนแกล้งบอกผมว่า “ระวังนะ เดี๋ยวมีจระเข้หรืองูเข้ามาเยี่ยมเยือนในฝ้าในห้องของผม!” อย่านะครับผมกลัวงูที่สุด...! 。゚(゚´Д`゚)゚。
บริเวณใกล้ๆ ทะเลมีโรงแรมที่กระจกแตกทิ้งเรี่ยราดตามทางตั้งอยู่ตามเส้นทางที่เลียบไปกับทะเล มีคนเร่ร่อนมาตั้งรกรากที่นั่นโดยไม่ได้รับอนุญาตหลายคน เขาเรียงขวดพลาสติกและร้องเพลงแร็ปแบบฟรีสไตล์ ╭☞-∀-)╭☞ ผมไม่ควรเดินไปเที่ยวแถวนี้นักโดยเฉพาะช่วงหลังพระอาทิตย์ตก เหมือนจะมีบรรยากาศที่ผมรู้สึกกลัว และดูเหมือนบ้านผีสิง!! ...
ʕ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔ•̫͡•̫͡•ʔ•̫͡•ʕ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔ•̫͡ •ʔ•̫͡•ʔ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔʕ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔ•̫͡•̫͡•ʔ•̫͡•ʕ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔ•̫͡ •ʔ•̫͡•ʔ•̫͡•ʕ•̫͡•ʔ•̫͡•ʔ
เมื่อพูดถึงผี ผมคิดว่ามีคนญี่ปุ่นอีกหลายคนที่ไม่รู้จักความหมายของผี มีคนญี่ปุ่นหลายคนที่ไปสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมที่ยอดเยี่ยมและสวยงามมากที่เรียกว่าคฤหาสน์ผีสิง ที่โตเกียวดิสนีย์แลนด์ในญี่ปุ่น แต่ในนั้นมันช่างแฟนตาชีและสวยงาม แต่คนจะไม่เข้าใจความหมายปรากฏการณ์แปลกๆ ทางจิตวิญญาณ
ที่ญี่ปุ่นมีเว็บไซต์เฉพาะทางอย่าง 大島てる Oshima Teru → บอกว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่อนข้างปลอดภัย รวมทั้งโตเกียว แต่หลายคนรู้สึกอึดอัดและหมองหม่น เช่น บริเวณหน้าสถานีที่มีข่าวลือว่ามีย่านการค้าประเวณี มีสำนักงานยากูซ่า และแหล่งมาเฟีย เช่น 新宿 Shinjuku และ 池袋 Ikebukuro... เคยมีนักแสดงตลกที่อาศัยอยู่ในย่านเหล่านี้เล่าปรากฏการณ์แปลกๆ ทางจิตวิญญาณของคนตายทางสถานีโทรทัศน์อยู่บ่อยๆ
ในญี่ปุ่น เป็นไปไม่ได้เลยที่อสังหาริมทรัพย์หรือห้องเช่าที่เคยมีการฆ่าตัวตายหรืออาชญากรรมจะได้รับความนิยม แถมค่าเช่าก็จะต่ำลงมาอย่างมาก o(`ω ́ )o แต่ดูเหมือนว่าจะยังมีคนกล้าเช่าอาศัยอยู่ที่พักที่มีประวัติเหล่านี้เพราะพวกเขาสามารถเช่าในราคาที่ถูกกว่าราคาตลาดประมาณ 30% หากสามารถทนกับความลึกลับที่อาจเกิดขึ้นและไม่สนใจมันก็ดีใช่ไหมครับ
นอกจากนี้ แม้แต่ในเมืองใหญ่ๆ เช่น โอซากาและฟุกุโอกะก็ยังมีอสังหาริมทรัพย์ที่มีค่าเช่าที่สมเหตุสมผลอยู่เยอะ ซึ่งสะดวกสบายและไม่น่าเชื่อว่าเพียงไม่กี่สถานีจากใจกลางเมือง แต่เมืองหลวงโตเกียวเท่านั้นที่มีความโดดเด่นเรื่องราคาแรง ราคาสูงมาโดยตลอด ตอนที่ผมย้ายมาเรียนที่โตเกียวก็แทบร้องไห้จากพวกตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ยังมีผู้คนจํานวนมากขึ้นที่เข้ามาอาศัยที่เมืองหลวงทำให้เป็นที่ต้องการของตลาดมาก ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์มีคําที่กล่าวว่า "มีความจริงแค่สามในพัน" เปรียบเปรยกับอาชีพที่ไกล่เกลี่ยการซื้อขายที่ดิน บ้านและให้กู้ยืมเงิน รวมไปถึงวิธีการของพวกหลอกลวงด้วย แต่สิ่งที่ทําให้ผมประหลาดใจก็คือถ้าผู้เช่ารายต่อไปเข้าไปอยู่ในอสังหาริมทรัพย์หรือห้องเช่าที่เคยเกิดเหตุฆ่าตัวตายหรือมีคนเสียชีวิตแล้วจะไม่มีข้อผูกมัดที่จะต้องแจ้งลูกค้าเช่าห้องในลำดับถัดๆ ไปว่าห้องเคยมีเหตุอะไรมาก่อน และอาจปรับขึ้นค่าเช่าในราคาตลาดเหมือนเดิม มันไม่ผิดกฎหมายแต่ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นะครับ
ถ้าคิดในมุมนี้คิดว่าคนเราจะกลัวอะไรมากกว่ากัน หากมองแบบนี้ในฐานะชาวต่างชาติอาจกลัวเรื่องคนโกหก หรือคนที่มุ่งร้ายมากกว่าผี!! ในฤดูใบไม้ผลินี้คนต่างชาติในญี่ปุ่นรู้สึกแย่กับการเช่าบ้านในโตเกียวมาก มันยาก และชาวญี่ปุ่นที่มาอยู่ที่โตเกียวก็โดนเช่นกัน! (´・ω・)
ดังนั้นใน 3 สิ่งที่กล่าวไปข้างต้นผมคิดว่าการย้ายที่อยู่อาศัยมีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตเรามาก ตัวอย่างในกรณีผมแค่ย้ายที่พัก 2 ที่นี้ผมก็รู้สึกว่ามันมีความแตกต่างกันมากโดยเฉพาะเรื่องสภาพแวดล้อม อีกที่ที่ไกลทะเล แต่ก็รู้สึกสบาย อาหารการกินหาได้ง่าย ผู้คนมีหน้าทึ่การงานหรือค้าขายแต่ก็มีอันจะกินอยู่กันอย่างสบายทำให้รู้สึกปลอดภัย แต่อีกที่อยู่ใกล้ทะเลสามารถเดินไปดูทะเลได้ใกล้ๆ สนุกตื่นเต้นแต่ก็อยู่ในย่านคนท่องเที่ยวและต้องคอยระวังเรื่องคนเร่ร่อนและภัยจากสัตว์มีพิษต่างๆ ยิ่งในฤดูฝนแบบนี้บริเวณที่อยู่ค่อนข้างชื้นและอาจจะมีงูมีสัตว์พิษอะไรมากมายนี่ก็ทำให้บรรยากาศเปลี่ยนแล้ว ไม่ทราบว่าเพื่อนๆ จะเป็นแบบนี้หรือไม่ลองสังเกตดูว่าเวลาเปลี่ยนที่อยู่มีผลต่อการเปลี่ยนวิถีชีวิตของเราหรือไม่ครับ วันนี้เล่าสู่กันฟัง พบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีครับ