นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ทางเดินจากฮิงาชิยามะถึงบริเวณเชิงเขาไดมนจิคดเคี้ยวและมีหลายแยกให้ต้องหยุดคิด ใครที่ไม่เจนทางซ้ำไม่รู้ทิศก็ต้องเสี่ยงกับการเดินหลงขึ้นไปบนภูเขา เช่นเดียวกับแม่ลูกคู่นี้ที่เดินมาจวนจะถึงหมู่บ้านอิจิโจจิอันแต่กลับเลี้ยวเข้าไป
“มาตาฮาจิ เจ้าจะเร่งรีบไปไหน รอข้าหน่อย มาตาฮาจิ”
แม่เฒ่าโอซุงิแม้จะหลังไหล่คุ้มงอเพราะชราภาพแต่ก็โขยกเขยกตามหลังลูกชายไปไม่ลดละด้วยพละกำลังที่เหลือเฟือเกินวัย และพอเห็นว่าจะไม่ทันจริง ๆ จึงจำต้องละทิ้งความดื้อรั้นหยิ่งผยองร้องขอให้ลูกชายรอ
มาตาฮาจิได้ยินก็ทำเสียงจึ๊กจั๊ก
“ฮึ...ที่แท้ก็ดีแต่ปาก จำไม่ได้แล้วรึว่าตอนออกเดินทางจากโรงเตี๊ยม ก่นด่าข้าว่ายังไง”
เจ้าลูกชายตัวดีบ่นแต่ก็หยุดยืนรอเมื่อถูกเรียกเป็นช่วง ๆ แต่พอเดินมาทันกันในที่สุดแม่เฒ่าก็มีแรงแผลงฤทธิก่นด่าขรมอีกครั้ง
“หนอยแน่ะทำมาใส่อารมณ์กับข้า ไม่รู้เสียแล้วว่าใครเป็นใคร เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น ลูกอะไรกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นหัวผู้ให้กำเนิดเช่นนี้”
ว่าพลางปาดเหงื่อที่ซึมอยู่ตามรอยยับย่นบนไปหน้าและทำท่าจะนั่งพัก แต่มาตาฮาจิยังหนุ่มเดินมาแค่นี้ยังไม่ทันเหนื่อย พอเห็นแม่เดินมาทันก็ออกเดินทันที
“รอเดี๋ยว ข้าบอกให้รอไง ข้าจะนั่งพักสักนิดหนึ่งก่อน”
“อะไรกัน จะพักอีกแล้วเหรอ จะรุ่งสางอยู่แล้ว เดี๋ยวก็ไม่ทันการหรอก”
“อย่ามาทำรู้ดีหน่อยเลย ยังอีกนานกว่าจะเช้า ปกติทางเข้าป่าขึ้นเขาแค่นี้ข้าไม่ยั่น เจอมาเสียมากต่อมากแล้ว แต่สองสามวันนี้เนื้อตัวมันปวดเมื่อยชอบกลท่าทางจะเป็นหวัด เดินนิดหนึ่งก็หอบ พอมีเรื่องสำคัญก็มาเป็นเสียอย่างนี้ ไม่รู้ว่าไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้...”
“ไม่ได้ไม่ดีก็โทษเวรโทษกรรมตามเคย ชวนแวะร้านสุราตามทางดื่มเอาแรงเสียก่อนก็ไม่เอา บอกว่าไม่อยากดื่มแล้วก็ไม่ให้ข้าหาว่าทำแชเชือนบ้างละถ่วงเวลาบ้างละ สุดแต่จะหาคำมาด่าว่า แล้วจะมาขอนั่งพักเอายามนี้มันสายเสียแล้ว เอาใจยากอย่างนี้ แม่ก็แม่เถอะ ข้าชักจะไม่ไหวแล้วนะจะบอกให้
“อ้อ ยังไม่หายเจ็บใจที่ข้าไม่ยอมให้พักดื่มสุราที่ร้านตาเฒ่านั่นเอง”
“แล้วไปแล้ว ช่างมันเถิด”
“จะทำอะไรก็ให้มันพอดี ๆ หน่อย หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้จะมามัวร่ำสุราอยู่ได้ยังไงกัน”
“แล้วมันธุระอะไรของเราถึงจะต้องเข้าไปอยู่หน้าสิ่วหน้าขวานกับเขาด้วย ก็แค่ดูอยู่ห่าง ๆ คอยให้จบการประลองยุทธ์เสียก่อนถึงขอพวกโยชิโอกะเข้าไปดูศพเจ้าทาเกโซ ตัดผมมันสักปอยหนึ่งกลับไปเป็นของฝากพวกเราที่หมู่บ้าน ไม่เห็นจะยากอะไร”
“ข้าไม่อยากทะเลาะกับเจ้าให้เสียเวลา”
มาตาฮาจิเลิกสนใจแม่เฒ่าและออกเดินพลางบ่นพึมพำกับตัวเอง
“งี่เง่าชะมัด ทำได้แค่ขอหลักฐานจากศพที่คนอื่นฆ่าเอากลับไปอวดคนที่หมู่บ้านเท่านั้นเอง แต่ก็ช่วยไม่ได้ คนอย่างข้าน่ะรึจะบังอาจไปต่อกรกับเจ้าทาเกโซ คิดอีกทีที่บ้านนอกมีแต่คนที่ไม่เคยออกมาพบโลกภายนอกกันทั้งนั้น เห็นเราได้ชิ้นส่วนของเจ้าทาเกโซกลับไป ใคร ๆ ก็จะต้องมารุมล้อมแสดงความยินดีกับเราที่ล้างแค้นศัตรูหัวใจได้สำเร็จ แล้วไง...ข้ามิต้องกลับไปดักดานอยู่ห่างไกลหลังเขาอีกรึ แค่คิดก็ใจสั่นเสียแล้ว”
เยื่อใยที่ผูกพันเจ้าหนุ่มเอาไว้กับนครหลวงดูเหมือนจะมีอยู่มากมายเกิดจะตัดใจจากไปได้ง่าย ๆ ไหนจะสุราเลิศรสที่ย่านนาดะ ไหนจะสาวงามระรานตาที่เดินกรีดกรายไปมาอยู่ทั่วไปให้ชมไม่รู้เบื่อ แต่ที่เหนือไปกว่านั้น มาตาฮาจิยังไม่ละทิ้งความหวังที่จะแสวงหาวิถีชีวิตที่ต่างแนวออกไปจากทาเกโซผู้เป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งในวัยเด็ก และตั้งตัวขึ้นมาให้เป็นที่นับหน้าถือตาในสังคมนครหลวงแห่งนี้
ไม่เอานะ ข้าไม่กลับ ออกมาไกลเกียวโตแค่นิดเดียวก็ยังคิดถึงแล้ว
มาตาฮาจิเดินดุ่มไปข้างหน้าทิ้งระยะห่างจากแม่เฒ่าโอซุงิไกลออกไปทุกที แม่เฒ่าบ่นมาตลอดทางตั้งแต่ออกจากโรงเตี๊ยมว่าปวดเมื่อย จริง ๆ แล้วร่างกายอาจมีอาการผิดปกติที่ไหนสักแห่งก็เป็นได้ นางกระย่องกระแย่งตามมาด้วยความอดทนได้ไม่นานก็ต้องยอมแพ้ ส่งเสียงโอดครวญมาแต่ไกล
“มาตาฮาจิ ข้าเดินไม่ไหวแล้ว ช่วยเอาข้าขี่หลังไปด้วยเถิด”
เจ้าลูกชายตัวดีนิ่วหน้าด้วยความรำคาญ ไม่ร้องตอบไปว่ากระไรแต่ก็หยุดยืนรออยู่
ทันใดนั้นเอง สองแม่ลูกก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของผู้หญิง
ราวกับเสียงปีศาจปีนต้นงิ้วในนรก
เสียงเดียวกับที่โอซือและโจทาโรได้ยิน
2
เสียงกรีดร้องดังขึ้นครั้งเดียวแล้วเงียบกริบจึงไม่อาจสืบหาได้ว่าดังมาจากทิศทางใดแม่เฒ่าโอซุงิกับมาตาฮาจินิ่งฟังเผื่อว่าจะได้ยินเสียงแหลมสูงนั้นอีกแต่ก็เปล่าประโยชน์
“เฮ้ย”
แม่เฒ่าอุทานเสียงแหบ ไม่ใช่ว่าได้ยินเสียงกรีดร้องอีกครั้ง แต่เพราะเห็นลูกชายเดินดุ่มไปที่หน้าผาทำท่าจะปีนลงไปข้างล่าง
“มาตาฮาจิ เจ้าจะไปไหน”
แม่เฒ่าร้องถามระล่ำระลัก
“ลงไปที่หุบเหวน่ะซี”
มาตาฮาจิร้องบอกขึ้นมาระหว่างที่เดินลงหน้าผาลึกลงไป
“แม่คอยอยู่ตรงนั้นแหละ ข้าจะลงไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น”
“ไอ้โง่”
แม่เฒ่าขัดใจ ร้องด่าลูกด้วยคำที่ติดปาก
“ลงไปหาอะไร ขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
“ถามได้ว่าหาอะไร ก็เสียงผู้หญิงร้องเมื่อกี้ แม่ไม่ได้ยินรึไง”
“ลงไปดูให้ได้อะไรขึ้นมา บ้ารึไง ไม่ต้องลงไป หยุดเดี๋ยวนี้นะ เอ๊ะ...ไอ้ลูกคนนี้ ทำไมไม่เชื่อข้า”
มาตาฮาจิลงไปลึกจนไม่ได้ยินเสียงเอะอะของแม่เฒ่า เหลียวมามองลอดแมกไม้ขึ้นไปเห็นแต่ร่างผอมเกร็งเต้นเร่าเจียนคลั่งอยู่บนหน้าผา
“ไอ้บ้า ไอ้ลูกบ้า”
“รออยู่ตรงนั้นแหละ”
มาตาฮาจิร้องบอกพลางกวาดสายตาไปทั่วบริเวณที่คิดว่าน่าจะเป็นที่มาของเสียงกรีดร้อง แต่แล้วรู้สึกผิดหวังที่เสียแรงเปล่าเพราะไม่เห็นมีอะไรแม้แต่เงา
เจ้าหนุ่มเขม้นมองผ่านความมืดไปยังลำธารอยู่ก้นหุบเหวที่แสงจันทร์ส่องลงไปไม่ถึง จึงเห็นทางเล็ก ๆ เลียบ ลำน้ำ ภูเขาแถบนี้ไม่สูงนักหุบเหวจึงไม่สูงชันพอที่นักเดินทางหรือชาวบ้านชาวเมืองจะลงไปใช้ทางที่น่าจะเป็นทางลัดจากเกียวโตไปยังซากาโมโตะที่ชิงะและโอสึสายนี้ ถ้าสว่าง ๆ คงเห็นรอยเท้าคนอยู่ทั่วไป
มาตาฮาจิเดินตามเสียงน้ำตกและเสียงน้ำที่ระบายลงสู่ลำธารขึ้นไปเรื่อย ๆ จนไปถึงทางเลียบสันเขาที่ตัดข้ามลำธารไปที่สันเขาฟากโน้น และพบกระท่อมเล็ก ๆ ขนาดที่คนเข้าไปนอนได้แค่คนเดียวหลังหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นที่พักแรมของคนจับปลาอิวานะ เจ้าหนุ่มมองไปเห็นหน้าและมือขาว ๆ ของใครคนหนึ่งเกาะอยู่ข้างหลังกระท่อมหลังนั้น
“ผู้หญิงนี่”
มาตาฮาจิเบี่ยงตัวหลบเข้าไปดูลาดเลาอยู่หลังโขดหิน
ที่ลงมานี่เพราะเห็นว่าเจ้าของเสียงกรีดร้องเป็นผู้หญิง ถ้าเป็นเสียงผู้ชายก็คงไม่ตะเกียกตะกายลงมาให้เสียแรง
เจ้าหนุ่มขยี้ตามองไปให้ชัด ๆ จึงเห็นว่าเป็นผู้หญิงจริง ๆ และสาวเสียด้วย
กำลังสงสัยว่าไปทำอะไรอยู่ตรงนั้น ก็พอดีเห็นนางคลานไปที่ชายน้ำ และใช้ฝ่ามือขาวนวลวักน้ำในลำธารขึ้นมาจรดริมฝีปากจิ้มลิ้ม
3
สาวน้อยสะดุ้งเหลียวหลังมาทำตาตื่น ด้วยสัมผัสที่ละเอียดอ่อนราวแมลงที่สัมผัสเสียงฝีเท้าด้วยร่างกาย
“โอ๊ะ”
มาตาฮาจิเผลอตัวอุทานออกมาดัง ๆ
“เอ๊ะ”
สาวน้อยอุทานออกมาเสียงดังไม่แพ้กัน แต่หางเสียงฟังดูโล่งอกมากกว่าตกใจกลัว
“อาเกมิ ใช่ไหมนั่น”
อาเกมิแจ่มใสขึ้นเมื่อได้ดื่มน้ำเย็นเยียบจากลำธารเข้าไปอึกใหญ่ แต่ก็ยังตกใจทำอะไรไม่ถูก
“เป็นยังไงมายังไงรึอาเกมิ”
มาตาฮาจิทักทายก่อนจับไหล่สาวน้อยเอาไว้และมองตั้งแต่หัวจรดเท้า
“เจ้าแต่งชุดเดินทาง แต่มาทำไมมาเดินอยู่แถวนี้ในยามนี้”
“มาตาฮาจิ แล้วแม่เฒ่าล่ะหายไปไหน”
“อ๋อ ข้าให้รออยู่ที่ปากเหวข้างบนนั่น”
“ถ้าจะโกรธจัด”
“อ๋อ เรื่องเงินน่ะรึ”
“มาตาฮาจิ ข้าขอโทษ ข้าต้องรีบออกเดินทางโดยด่วนแต่ไม่มีเงินค่าเดินทาง จะจ่ายค่าแบกกระเช้าหามก็ไม่มี ก็เลยลักเอาห่อเงินของแม่เฒ่ามาทั้งที่รู้ตัวว่าทำผิด ปล่อยข้าไปเถิดนะ วันใดที่มีเงิน ข้าจะเอามาใช้คืนแน่นอน”
อาเกมิพร่ำคำขอโทษพลางร่ำไห้ ทำเอามาตาฮาจิวางหน้าไม่ถูก
“อะไร อะไร ขอโทษอะไรมากมายขนาดนี้ อ๋อ...รู้แล้ว เจ้าคิดว่าข้ากับแม่เฒ่าไล่ตามมาจับตัวเจ้าเพื่อเอาเงินคืนละซี ไม่ใช่เช่นนั้นดอก เจ้าเข้าใจผิดไปเอง”
“แต่ข้าทำชั่ว จงใจลักขโมยทรัพย์สินของผู้อื่นหนีมา ก็สมควรถูกจับไปลงโทษฐานเป็นขโมย”
“นั่นคือคำพูดของแม่ข้า แต่สำหรับมาตาฮาจิคนนี้เงินแค่นั้นไม่ใช่ปัญหา ถ้ารู้ว่าเจ้าลำบากจริงข้ายิ่งจะช่วยหามาให้ด้วยซ้ำ ข้าไม่ได้ใส่ใจอะไรเลยเจ้าไม่ต้องห่วงให้เปลืองใจ เพียงแต่อยากรู้ว่าอะไรทำให้เจ้าต้องออกเดินทางรีบด่วนขนาดนั้น แล้วทำไมจึงมาเดินอยู่แถวนี้ในยามนี้เท่านั้น”
“ข้าแอบได้ยินท่านกับแม่เฒ่าคุยกันที่เรือนเล็กของโรงเตี๊ยม”
“เจ้าจึงรู้เรื่องที่มูซาชิกับพวกโยชิโอกะจะประลองยุทธ์กันวันนี้”
“ใช่”
“ถึงได้รีบออกเดินทางมาที่หมู่บ้านอิจิโจจิโดยด่วน”
“... ... ...”
อาเกมินิ่งเงียบ
มาตาฮาจิรู้ดีมาตั้งแต่ครั้งที่เคยอาศัยร่วมบ้านเดียวกันแล้วว่า อาเกมิเก็บซ่อนอะไรเอาไว้ในอก แต่เจ้าหนุ่มก็ไม่ถามเจาะลึก
“ใช่ ใช่”
เจ้าหนุ่มเปลี่ยนเรื่องกลับมาที่สาเหตุที่ทำให้ตนต้องลงมาที่หุบเหว
“เมื่อกี้ข้าได้ยินเสียงผู้หญิงกรีดร้อง คงจะเป็นเสียงเจ้าละมัง”
“ใช่ เสียงข้าเอง”
อาเกมิพยักหน้า แล้วเหลียวมองขึ้นไปแนวเขาที่ตะคุ่มเป็นเงาดำอยู่เบื้องหลัง
ทำท่าคล้ายหวาดกลัวอะไรขึ้นมาอีก
3
อาเกมิเล่าให้มาตาฮาจิฟังว่า
เมื่อกี้นี้เอง
ข้าเดินข้ามลำธารมาถึงตรงนี้ และระหว่างทางที่ขึ้นไปถึงไหล่เขา ข้ามองขึ้นไปที่ยอดโขดหินที่เห็นอยู่ตรงนั้น และเห็นสัตว์ประหลาดน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนักนั่งแหงนหน้าชมจันทร์อยู่ ข้ากลัวแทบสิ้นสติและหวีดร้องอย่างที่ท่านได้ยิน
เรื่องที่อาเกมิเล่าฟังแล้วไม่น่าเป็นจริงไปได้ แต่คนเล่าจริงจังมาก
ถึงจะอยู่ไกลขึ้นไปบนโน้นแต่ข้าก็เห็นชัดมาก ตัวมันเล็กเหมือนคนแคระแต่ใบหน้าเป็นสาวใหญ่ หน้าขาววอก ปากฉีกกว้างถึงใบหูน่ากลัวเป็นที่สุด และดูเหมือนจะจ้องมองมายิ้มกับข้าด้วย แล้วจะไม่ให้ข้าร้องกรี๊ดได้ยังไง ข้าหันหลังวิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต และลื่นตกลงมาฟุบอยู่หลังกระท่อมอย่างที่ท่านเห็นนี่แหละ
เห็นอาเกมิกลัวจริง ๆ ขนาดนั้นมาตาฮาจิจึงพยายามไม่หัวเราะ และก็กลั้นไม่อยู่
“ฮะ ฮะ ฮะ โธ่เอ๋ยนึกว่าอะไร”
แล้วเย้าต่อว่า
“พวกผีมันคงเหิมเกริมไปตาม ๆ กันเมื่อได้เห็นเด็กที่โตมาแถวเชิงเชาอิบุยามะอย่างแม่สาวน้อยกาเกมิกลัวผีจนร้องกรี๊ดกร๊าดปานนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าเคยเดินเก็บดาบถอดโล่จากศพหน้าตาเฉยบนสนามรบทั้งที่เลือดทหารหาญยังนอง แผ่นดินเสียงฝีเท้าม้าตัวสุดท้ายเพิ่งจะคล้อยหลัง จะมากลัวเจ้าสัตว์ประหลาดร่างแคระหน้าขาวตนนี้”
“ก็ตอนนั้นข้ายังเป็นเด็ก ไม่รู้จักความกลัวนี่นา”
“ถึงจะเป็นเด็กแต่ก็ไม่ใช่ธรรมดา ดูตาเจ้าก็รู้ว่ายังใจยังคำนึงถึงความหลังเมื่อครั้งก่อนอยู่ ไม่มีวันใดที่จะลืมเลือน”
“รักแรกใครเล่าจะลืมลง แต่ข้าเลิกใฝ่ฝันถึงเขาแล้วละ”
“เลิกใฝ่ฝันแล้วทำไมจึงมุ่งหน้าไปที่อิจิโจจิ”
“ข้าก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองอยู่เหมือนกัน แต่ที่แน่ ๆ คือหวังว่าบางทีอาจได้พบกับท่านมูซาชิที่นั่น”
“คงจะคว้าน้ำเหลวมากกว่า”
ว่าแล้วมาตาฮาจิก็อธิบายด้วยเสียงหนักแน่นจริงจังให้แม่สาวน้อยเข้าใจถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังของการประลองยุทธ์ครั้งนี้ ซึ่งไม่ว่าจะมองในแง่มุมใดมูซาชิก็ไม่มีวันชนะ
หลังผ่านมือชายมาแล้วตั้งแต่เซจูโรจนถึงโคจิโรและอีกหลายคน และในเมื่อพรหมจารีที่เคยครองเมื่อวันวานกลายเป็นแค่ความทรงจำในอดีตไปเสียแล้วเช่นนี้ นางก็ไม่อาจคิดไม่อาจใฝ่ฝันถึงมูซาชิ ไม่อาจฝันถึงการผลิกลีบบานของดอกไม้ในอนาคต อย่างเช่นที่เคยจินตนาการเมื่อครั้งที่เป็นสาวพรหมจรรย์ได้อีกต่อไป
อาเกมิมองตัวเองที่หมดสิ้นคุณสมบัติในกายตัวด้วยสายตาที่เยียบเย็น เหมือนห่านป่าบาดเจ็บเจียนตายที่หลงทางอยู่ในวังวน ไม่มีน้ำตาจะหลั่งแม้ได้ยินว่าชีวิตของมูซาชิตกอยู่ในความเสี่ยงใกล้กับความตายเข้าไปทุกที แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงได้รีบรุดมาถึงที่นี่ก็ตอบไม่ได้อีก
ดวงตาของสาวน้อยลอยคว้างไปข้างหน้า คำพูดของมาตาฮาจิแว่วผ่านหูไปคำแล้วคำเล่า เจ้าหนุ่มหยุดพูดแล้วนิ่งมองใบหน้าด้านข้างของสาวน้อย อดรู้สึกไม่ได้ว่าวังวนที่อาเกมิหลงวนเวียนอยู่นั้นไม่ผิดอะไรกับวังวนที่ตนกำลังหลงวนเวียนอยู่
อาเกมิกำลังใฝ่หาคนที่จะร่วมเป็นร่วมตายไปกับนาง
ใบหน้าขาวนวลของนางบอกเช่นนั้น
มาตาฮาจิโอบไหล่อาเกมิเข้ามาแล้วแนบแก้มลงไปกระซิบว่า
“หนีไปเอโดะด้วยกันไหม”