นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มูซาชิชะงักเท้ายืนนิ่ง เมื่อเห็นเงาดำนั้นเคลื่อนใกล้เข้ามาที่ตน และข้าง ๆ นั้นมีอีกเงาหนึ่งตัวกลม ๆ วิ่งเหมือนกลิ้งตามมาด้วย พอเข้ามาใกล้จึงได้รู้ว่าเงานั้นที่แท้ก็เป็นเจ้าหมาน้อยที่มากับนายของมัน
“... ... ...”
เจ้าหนุ่มนักดาบคลายแรงที่เกร็งแข็งขึ้นทั้งมือเท้า และกล้ามเนื้อทุกส่วนเตรียมรับแรงปะทะ แล้วเดินสวนทางกับชายผู้นั้นไปเงียบ ๆ
แต่ชายที่เดินสวนกันไปนั้นกลับหันหลังมาร้องเรียก
“ท่าน ๆ ท่านนักดาบ”
“เรียกข้ารึ”
มูซาชิหยุดยืนห่างออกไปสี่ห้าก้าว
“ใช่ขอรับ”
อีกฝ่ายที่แต่งกายและสวมหมวกอย่างช่างฝีมือค้อมตัวลงต่ำ กุมมือไว้ข้างหน้าด้วยท่าทางนอบน้อม
“มีเรื่องอะไร”
“กระผมอยากถามอะไรสักหน่อย คือตามทางที่ท่านเดินมานี้ มีบ้านเรือนไหนจุดไฟสว่างอยู่บ้างหรือไม่”
“เอ ข้าก็ไม่ได้สังเกตเหมือนกัน รู้สึกว่าจะไม่มีนะ”
“ถ้างั้นก็คงไม่ใช่เส้นทางสายนี้”
“เจ้าเที่ยวหาอะไรอยู่รึ”
“ข้ากำลังหาบ้านคนตาย”
“ถ้าอย่างนั้นก็คิดว่ามี”
“ท่านเห็นอย่างนั้นรึ”
“ข้าเดินผ่านมาดึกแล้ว แต่ก็ยังได้ยินเสียงขลุ่ย เสียงเครื่องดนตรีไว้ทุกข์ดังลอดออกมา จากที่ไหนสักแห่ง ห่างจากตรงนี้ไปไม่กี่เส้นหรอก”
“ใช่แน่ขอรับ จะต้องมีพิธีเคารพศพอยู่ที่ศาลเจ้าข้างหน้านี้แน่”
“เจ้ามาร่วมพิธีเคารพศพรึ”
“ข้าเป็นช่างต่อโรงศพจากโทริเบะยามะ ถูกเรียกให้ไปที่บ้านท่านมัตสึโอะแห่งภูเขาโยชิดะ ข้าจึงเดินทางไปที่นั่นแต่ก็ไม่พบ คนแถวนั้นบอกว่าท่านย้ายออกไปได้สองเดือนแล้ว ข้ามาถึงที่นี่ค่ำมากแล้วหาบ้านที่คนเขาบอกให้เท่าไรก็ไม่เจอ ถนนหนทางแถวนี้ก็มีตรอกหลายซอกซอยหายากแท้”
“มัตสึโอะแห่งภูเขาโยชิดะรึ ท่านโยชิดะที่เคยอยู่ที่ภูเขาโยชิดะ ย้ายมาอยู่แถงนี้อย่างนั้นรึ”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แค่เดินทามาตามที่คนเขาบอก ถ้าจะคว้าน้ำเหลวเสียแล้ว ยังไง ๆ ก็ขอบใจท่านมากนะ”
“ช้าก่อน”
มูซาชิก้าวเข้าไปหาสองสามก้าว
“ท่านมัตสึโอะที่ท่านว่าคือมัตสึโอะ คานาเมะ บริวารของตระกูลโคโนเอะใช่หรือไม่
“ใช่แล้ว ท่านผู้นี้ล้มป่วยลงเพียงสิบวันก็ถึงแก่ความตาย”
“ท่านมัตสึโอะน่ะรึ”
“ใช่ขอรับ”
“... ... ...”
โธ่เอ๋ย ครางอยู่ในลำคอขณะออกเดินไปในทางตรงกันข้ามกับช่างต่อโลงศพ เจ้าหมาน้อยที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังรีบวิ่งเหมือนกลิ้งตามนายของมันไป
“ตายแล้วรึ”
มูซาชิพึมพำอยู่ในคอ
เจ้าหนุ่มแค่ยอมรับความจริงว่าน้าเขยตายแล้ว ไม่ได้เศร้าหรือรู้สึกอะไรมากไปกว่านั้น ก็ความตายของตัวเองยังไม่รู้สึกเศร้า แล้วจะไปรู้สึกอะไรกับความตายของคนอื่น กับความตายของคนที่เป็นผัวน้าผู้ใช้ชีวิตอยู่อย่างกระเบียดกระเสียน และเก็บออมเงินทองได้เพียงน้อยนิด
มูซาชิไม่ได้โศกเศร้ากับความตายของญาติผู้นี้ แต่กลับคิดถึงก้อนข้าวโมจิที่น้าให้มาซึ่งตนนำมาปิ้งกินประทังความหิวโหยท่ามกลางความหนาวเหน็บจนสั่นสะท้านในเช้าวันแรกของปีใหม่ ริมแม่น้ำคาโมะที่จับตัวเป็นน้ำแข็ง นึกขึ้นมายังได้กลิ่นติดจมูกอยู่เลย
อร่อยไม่รู้ลืม
คิดถึงน้าที่จะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวหลังจากคู่ชีวิตจากโลกนี้ไป
มูซาชิตกอยู่ในห้วงคิดคำนึงมารู้สึกตัวอีกทีเมื่อมายืนอยู่บนฝั่งแม่น้ำคาโมะช่วงต้นน้ำ เบื้องหน้าคือสามสิบหกยอดเทือกเขาที่ทอดตัวตระหง่านเป็นเงาดำสูงเสียดฟ้า แต่ละยอดคล้ายกับจะแสดงความเป็นปรปักษ์ต่อตน
เจ้าหนุ่มนัดดาบยืนนิ่งอยู่เป็นครู่ แล้วพยักหน้าอยู่คนเดียว จากนั้นจึงออกเดินลงจากคันเขื่อนมุ่งหน้าไปทางลำน้ำตรงที่มีสะพานเรือที่ทำโดยผู้เรือลำเล็กติดกันเป็นสะพานเชื่อมไปอีกฝั่ง
2
คนที่จะเดินทางจากด้านบนของนครหลวงไปเอซันสู่ทางข้ามภูเขาชิงะ สะพานเรือคือทางเดียวที่จะไปได้
มูซาชิเดินข้ามสะพานไปช้า ๆ อย่างสบายอารมณ์ เพลินชมแสงจันทร์เล่นเงากระเพื่อมอยู่บนลำน้ำ สายสมเย็นโชยผ่านทางลมโอกุทัมบะจากต้นน้ำลงไปปลายลำน้ำ
และเมื่อเดินมาถึงราวกึ่งกลางสะพานเรือ เจ้าหนุ่มนักดาบก็ได้ยินเสียงกู่ร้องดังไล่หลังมา
“วู้...”
ใครเรียกและเรียกใครมาจากตรงไหน
มูซาชิกวาดสายตาเขม้นมองไปทั่วบริเวณ แต่ทุ่งนาป่าเขากว้างขวางเกินกว่าจะจับที่มาของเสียงนั้นได้
“วู้”
ใครคนนั้นยังเรียกไม่หยุด ทำให้มูซาชิต้องชะงักเท้าถึงสองครั้ง สุดท้ายก็ถอดใจก้าวข้ามเกาะกลางน้ำและพอกระโดดขึ้นไปบนฝั่งก็เห็นใครคนหนึ่งชูมือวิ่งข้ามทุ่งหญ้าตรงเข้ามาจากทางอิจิโจชิรากาวะ พอเห็นหน้าชัดจึงรู้ว่าคิดแล้วไม่มีผิด
ซาซากิ โคจิโร ปราดเข้ามาร้องทักคล้ายคนที่สนิทชิดเชื้อกันมา ตาคมวาวจ้องเขม็งมาที่ร่างของมูซาชิแล้วเบนไปทางสะพานเรือ
“ท่านมาคนเดียวรึ”
“มาคนเดียว”
มูซาชิตอบทำหน้าคล้ายจะบอกว่าแน่อยู่แล้วไม่เห็นจะต้องถามพร้อมกับพยักหน้า
หลังแลกเปลี่ยนคำทักทายกันตามมารยาท โคจิโรก็เอ่ยขึ้นว่า
“คืนนั้นต้องขออภัยด้วย หากข้าทำอะไรไม่สบอารมณ์ท่าน”
“ข้าก็ต้องขออภัยท่านเช่นกัน”
“กำลังจะไปยังที่นัดหมายรึ”
“ใช่”
“คนเดียว ?”
เห็นกันชัด ๆ อยู่แล้วแต่โคจิโรก็ยังถาม
“คนเดียว”
มูซาชิตอบคำเดียวกันด้วยเสียงระดับเดียวกับเมื่อกี้ แต่คราวนี้ดูเหมือนว่าโคจิโรจะได้ยินชัด
“อย่างนั้นรึ แต่นี่แน่ะท่านมูซาชิ เมื่อสองสามวันก่อนข้าได้อ่านป้ายการท้าประลองยุทธที่รคคุโจแล้ว และคิดว่าเข้าใจเนื้อความถูกต้อง หรือว่าท่านจะอ่านอะไรตกหล่นไปจึงเข้าใจไปอีกอย่าง”
“ไม่นะ”
“แต่เนื้อความในป้ายที่ข้าอ่าน ไม่ได้ระบุไว้ว่าการประลองยุทธ์ครั้งนี้เป็นการประดาบกันตัวต่อตัวอย่างเมื่อครั้งท่านเซจูโรหรอกนะ”
“ข้ารู้”
“สำนักโยชิโอกะส่งหนุ่มน้อยนักดาบเชื้อสายของตระกูลมาเป็นคู่ประลองยุทธ์กับท่านแต่เพียงในนาม แต่แท้จริงแล้วคู่ประลองของท่านคือศิษย์วิชาดาบทั้งสำนักซึ่งมีเป็นสิบ เป็นร้อย หรืออาจเป็นพัน แม้ระยะนี้รู้สึกว่าจะบางตาลงไปบ้าง”
“ทำไมรึ”
“ข้ารู้มาว่าศิษย์สำนักโยชิโอกะบางคนที่อ่อนแอ บ้างขี้ขลาดต่างพากันหลบหนีไป บางคนก็ไม่ปรารถนาที่จะเข้าร่วมด้วยเหตุผลส่วนตัว แต่ถึงกระนั้นนักดาบฝีมือดีที่ยังยึดมั่นอยู่กับอุดมการณ์ในฐานะแก่นแกนกลางของสำนักก็ยังมีอีกมาก และนักดาบพวกนี้แหละที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนมาเฝ้าคอยท่านอยู่บริเวณรอบ ๆ ต้นสนเดี่ยวที่ยาบุโนะโก”
“ท่านโคจิโรได้ไปเห็นมาแล้วรึ”
“เห็นแล้ว และในฐานะคนกลางที่ได้อ่านเนื้อความในป้ายท้าทายการประลองยุทธ์จนเข้าใจถ่องแท้ คิดว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ท่านมูซาชิซึ่งเป็นคู่ประลองยุทธควรรู้เอาไว้ จึงรีบปลีกตัวจากอิจิโจจิอันเป็นสนามประลองยุทธ มาเตือนท่านให้รู้ตัวเอาไว้ชั้นหนึ่งก่อน กะวะยามนี้ท่านคงกำลังข้ามสะพานเรืออยู่และก็ได้พบจริง ๆ”
“ขอบใจท่านนักที่หวังดี”
“ข้าทำทั้งหมดนี้ในฐานะคนกลางที่ยึดความยุติธรรมเป็นที่ตั้ง ได้ยินเช่นนี้แล้วท่านจะยังไปคนเดียวอีกรึ หรือว่าจะมีนักดาบมือรองมาสมทบจากเส้นทางอื่น”
“นอกจากข้าแล้ว ยังมีอีกคนหนึ่งเดินมาด้วย”
“เอ๊ะ อยู่ที่ไหนรึ”
“ตรงนี้ไง”
มูซาชิชี้ลงไปที่เงาของตนบนพื้นดิน แล้วหัวเราะเห็นฟันขาวเป็นประกายในแสงจันทร์
3
โคจิโรอึ้งไปเมื่อเจ้าหนุ่มนักดาบที่ตีหน้าขรึมอยู่ตลอดเหมือนคนไม่มีอารมณ์ขัน พูดคล้ายติดตลกปนหัวเราะหน้าใสสว่างเช่นนั้น
“ไม่ใช่เรื่องตลกนะท่านมูซาชิ”
ยิ่งเห็นฝ่ายหนึ่งเอาจริงเอาจัง อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะยิ่งขำ
“ข้าก็ไม่ได้พูดตลก”
“แต่ที่ว่าคนที่ตามมาคือเงานั้น มันไม่เหมือนดูถูกคนฟังไปหน่อยรึ”
“ถ้าเช่นนั้น”
มูซาชิจ้องหน้าโคจิโรด้วยสายตาคมเข้มทำหน้าจริงจังกว่าอีกฝ่ายหนึ่งเสียอีก
“คำสั่งสอนของท่านศาสดาชินรันประมาณว่า ผู้บำเพ็ญธรรมที่เดินทางแสวงบุญจะไม่โดเดี่ยว เพราะมีพระพุทธเคียงข้างเป็นเงาอยู่เสมอ ที่ข้าเคยได้ยินมาก็เป็นเรื่องขำขันน่ะสิ”
“... ... ...”
“อะไรกัน แค่เห็นรูปการณ์ภายนอกว่าพวกโยชิโอกะมากันเป็นกลุ่มใหญ่ และเห็นข้า...มูซาชิมาเพียงคนเดียวเท่านั้น ท่านโคจิโรก็กังวลแล้วรึว่าข้าจะต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ข้าว่าท่านอย่าห่วงดีกว่า”
ความมั่นใจตนของเจ้าหนุ่มนักดาบสะท้อนออกมาจากคำพูดที่เน้นหนัก
“ตรองดูเถิด ถึงยังไงโยชิโอกะก็ต้องเตรียมกำลังพลมาประลองยุทธ์มากกว่าที่ท้าทายกันไว้อยู่แล้ว ถ้าสัญญากันว่าสิบคนและข้าก็จะเตรียมพลพรรคมาสิบคน แต่โยชิโอกะจะต้องมากันยี่สิบคนแน่นอน และถ้าบอกว่ายี่สิบข้าก็จะมายี่สิบแต่โยชิโอกะจะแห่กันมาสามสิบหรือสี่สิบ และเมื่อเกิดปะทะกันขึ้นก็จะเป็นเรื่องใหญ่ที่สร้างความตื่นตระหนกให้แก่ชาวบ้านไปทั่ว จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก นอกจากจะไม่สร้างเกียรติประวัติอันใดให้แก่วิถีแห่งดาบแล้วยังเป็นการละเมิดกฎหมายของบ้านเมืองด้วย เท่ากับเสียหายร้อยกำไรศูนย์”
“ข้าเข้าใจ แต่ท่านมูซาชิ ข้าคิดว่าไม่มีตำราวิชัยสงครามที่ไหนจะสอนให้นักรบออกไปต่อสู้ทั้งที่รู้ตัวดีว่าต้องแพ้แน่ ๆ หรอก”
“ต้องมีอยู่ที่ไหนสักแห่ง”
“ไม่มี ถึงมีก็ไม่เรียกว่าตำราวิชัยสงคราม แต่เป็นอวิชา”
“เอาเถอะ แม้จะไม่มีในตำรา ก็คิดเสียว่ามีข้าเป็นนักดาบคนเดียวที่ทำเช่นนั้นก็แล้วกัน”
“แหกคอกชัด ๆ”
มูซาชิหัวเราะลั่นและไม่ตอบว่ากระไร
แต่โคจิโรยังไม่หยุด
“ท่านจะสู้แบบแหกคอกนอกตำราอย่างนั้นไปทำไม ทำไมถึงไม่หาทางออกที่ดีกว่านี้”
“ก็ข้ากำลังหาทางออกอยู่นี่ไง สำหรับข้าทางนี้แหละที่เปนทางออก”
“ถ้านี่ไม่ใช่ทางสู่อเวจี ก็นับว่าโชคดีของท่าน”
“ไม่แน่นัก ทางที่ข้ากำลังเดินอยู่นี้อาจเป็นทางไปยังหมุดหมายนำทางไปสู่แม่น้ำอเวจี อันมีภูเขาหนามอันแหลมคมอยู่ที่ปลายทางก็ได้ แต่ถึงจะตระหนักรู้ก็จะให้ทำอย่างไรได้ เพราะทางออกของข้ามีอยู่เส้นทางนี้เท่านั้น ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว”
“ท่านพูดเหมือนกับถูกพญามัจจุราชเข้าสิง”
“จะยังไงก็ตามที โลกเรานี้มีทั้งคนที่ตายทั้งเป็น และคนตายที่ยังเป็น”
“แหกคอก นอกตำรา”
มูซาชิหยุดกึกเมื่อได้ยินโคจิโรพูดลอย ๆ ขึ้นมาพร้อมกับหัวเราะเชิงเย้ยหยัน
“ท่านโคจิโรรู้ไหมว่า ถ้าเดินตรงไปทางนี้จะผ่านที่ไหนบ้าง”
“อ๋อ ก็จะผ่านหมู่บ้านฮานาโนะกิไปยังอิจิโจจิที่ยาบุโนะโก คือผ่านซางาริมัตสึต้นสนโดดเดียวที่ตายของท่าน ไปยังเนินคิราราซากะของภูเขาเอซัน ทางที่ขนานไปกับทางหลวงเส้นนี้จึงมีชื่อเรียกกันว่าถนนคิราราซากะ
“ที่นี่ห่างจากต้นสนโดดเดี่ยวสักเท่าไร”
“ราวห้าสิบเส้นเห็นจะได้ ยังมีเวลาอีกถมไป เดินช้า ๆ ก็ทัน”
“งั้นเดี๋ยวเจอกันนะท่าน”
ว่าแล้วมูซาชิก็เดินเลี้ยวไปทางหนึ่ง
“ช้าก่อน ผิดแล้วท่านมูซาชิ ไม่ใช่ทางนั้น”
โคจิโรทักท้วงทันควัน