นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“แผนรึ”
เก็นซะนักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุเบนสายตาไปจับจ้องใบหน้าเครียดของเจ้าหนุ่มนักดาบรูปงามอีกครั้ง
“แผนอะไร เราเตรียมพร้อมจนไม่จำเป็นต้องมีแผนอะไรอีกแล้ว ขอบใจในความหวังดียิ่งนัก”
แต่โคจิโรยังไม่ละเลิกความพยายาม
“ข้าว่าไม่นะท่าน ถ้ามูซาชิเป็นคนประมาท ถือดาบเดินอาด ๆ เข้ามาหมายประลองยุทธ์โดยไม่ดูตาม้าตาเรือก็จะก้าวเข้าสู่กับดักตามแผนร้ายของท่านโดยง่าย แต่อย่าลืมว่าศัตรูของพวกท่านคือมูซาชิ หากแผนร้ายของท่านมีช่องโหว่แม้แต่เพียงน้อยนิด ก็อย่านึกเลยว่าจะรอดพ้นตาเหยี่ยวของซามูไรพเนจรคนนี้ไปได้ และเมื่อมูซาชิไม่มาแผนร้ายก็จะล้มเหลว”
“ข้าไม่หวั่น เพราะถ้ามูซาชิไม่มาตามสัญญา เราก็จะปักป้ายประกาศให้รู้กับไปทั่วนครหลวงและเล่าลือกันไปไกลว่า มูซาชิหนีด้วยความขลาดกลัวตาย หากทนเสียงหัวเราะเย้นหยันได้ก็ตามใจ”
“ก็ใช่ นั่นอาจช่วยกู้หน้าสำนักดาบโยชิโอกะไปได้ แต่ก็เพียงชั่วครู่ยาม แต่ท่านไม่คิดหรือว่ามูซาชิรึหนีไป เงียบ ๆ เจ้านักดาบพเนจรก็มีปากเหมือนกัน แล้วก็จะโพนทนาไปทั่วให้งามหน้ากันทั้งสำนักว่าแผนของท่านชั่วช้าสามาน ไร้จิตวิญญาณของนักรบอันสูงส่งเพียงไร คราวนี้โอกาสที่จะกู้คืนเกียรติภูมิของเจ้าสำนักที่ทุกคนเทิดทูนเหนือชีวิตก็จะหมดสิ้น ดังนั้นวันนี้ท่านจะต้องปลิดชีวิตมูซาชิให้สิ้นชื่อที่ตรงนี้ไม่เช่นนั้นแผนร้ายของท่านก็จะไร้ความหมาย ซึ่งข้าคิดว่าท่านจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้มูซาชิมาที่แดนประหารนี้ให้จงได้”
“เจ้ามีแผนอะไรรึ”
“มีสิท่าน” โคจิโรบอกอย่างมั่นอกมั่นใจ “มีมากมายเลยทีเดียว”
ว่าแล้วก็เอนหน้าเข้าไปกระซิบที่หูนักดาบผู้เฒ่าด้วยท่าทางเป็นมิตรอย่างที่นักดาบผู้ทรนงคนนี้ไม่แสดงให้เห็นบ่อยนัก
“อย่างนี้ดีไหม หรือท่านจะว่ายังไง”
“อืม ก็ไม่เลว”
ผู้เฒ่าพยักหน้าหงึก ๆ แล้วเอียงหน้าไปกระซิบบอกที่หูของมิอิเกะ
สามวันก่อน มิยาโมโตะ มูซาชิมาเคาะประตูโรงเตี๊ยมเก่าแก่ริมทางที่เคยพักแรมนานมาแล้ว ปลุกเจ้าของให้ตาลีตาลานมาเปิดประตูรับตอนสองยามล่วงแล้ว พอรุ่งเช้าตื่นขึ้นมาบอกว่าจะออกไปวัดคุรามะแล้วก็หายหน้าไปทั้งวันทั้งคืน ปล่อยให้พ่อเฒ่าเจ้าของโรงเตี้ยมเตรียมอาหารเย็นอุ่นแล้วอุ่นอีกคอยเก้อ
จนกระทั่งรุ่งสางของอีกวันจึงกลับมาพร้อมกับเอามันภูเขาห่อใหญ่มาให้เป็นของฝากจากคุรามะ แล้วส่งห่อผ้าอีกห่อหนึ่งให้บอกว่าเป็นผ้าทอจากนาราที่ซื้อหามาจากร้านใกล้ ๆ แถวนี้ ขอให้พ่อเฒ่าช่วยไปจัดการหาคนตัดเย็บเป็นชุดชั้นในและผ้าพันท้องโดยด่วน
พ่อเฒ่ารับคำทันที รีบเอาม้วนผ้าไปที่บ้านใกล้เคียงที่มีลูกสาวเป็นช่างเย็บผ้า และขากลับก็แวะซื้อเหล้าสาเกติดมือมาด้วยเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว พอมาถึงก็กระวีกระวาดเข้าครัวต้มมันภูเขาออกมาเป็นกับแกล้ม ระหว่างที่ดื่มสาเก พลางคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปจนดึก และพอแม่นางที่รับตัดเย็บก็นำชุดชั้นในกิโมโนมาส่งให้ เจ้าหนุ่มนักดาบขอตัวไปนอนและวางชุดชั้นในใหม่เอี่ยมมาไว้ข้างหมอนนั้นเอง
จวบจนกลางดึก พ่อเฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงคนอาบน้ำดังซู่ซ่าอยู่ข้างนอก และเมื่อแง้มหน้าต่างบานเลื่อนมองออกไป จึงพบมูซาชิซึ่งตื่นออกไปอาบน้ำอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ กำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวและใส่ชุดชั้นในสีขาวสะอาดที่เพิ่งเย็บเสร็จหยก ๆ รัดผ้าพันท้องแล้วสวมกิโมโนตัวเดิมทับลงไป
พ่อเฒ่าเอียงคอคิดด้วยความฉงน และร้องถามไปว่าจะเตรียมตัวออกเดินทางไปไหน ในยามที่ดวงจันทร์ยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตกเช่นนี้ เจ้าหนุ่มนักดาบหันมาชี้แจงว่าตนเที่ยวชมนครหลวงทั้งด้านนอกด้านในจนทั่ว และเมื่อวานก็ได้ขึ้นไปชมทิวทัศน์บนภูเขาคุรามะมาแล้วด้วย จึงชักเบื่อเกียวโตขึ้นมานิด ๆ และคิดว่าน่าจะออกเดินทางมุ่งไปยังเอโดะเสียที
พอคิดว่าถ้าเดินขึ้นเขาฮิเอซันไปตั้งแต่ดวงจันทร์ยังทอแสงก็จะทันเห็นความงามยามอรุณรุ่งที่ทะเลสาบชิกะก่อนเดินทางไปยังเอโดะ ตาข้าก็ตื่นและทำยัง ๆ ก็ไม่หลับ จะปลุกพ่อเฒ่าก็เกรงใจก็เลยห่อเงินค่าที่พักกับค่าสุราวางไว้ให้ แม้จะน้อยนิดก็ขอให้รับไว้ก่อน มาเกียวโตคราใดข้าจะแวะมาเยือนโรงเตี๊ยมของพ่อเฒ่าอีก แต่อาจอีกสามปีหรือสี่ปีหรืออีกนานเท่าไรข้าเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน
“พ่อเฒ่า ปิดประตูเรือนให้เรียบร้อยด้วยนะ”
มูซาชิหันมาสั่ง ก่อนออกเดินด้วยฝีเท้าหนักแน่นไปบนคันนาข้างโรงเตี้ยมเพื่ออ้อมไปเข้าทางถนนสู่คิตาโนะที่เกลื่อนไปด้วยมูลวัว พ่อเฒ่าส่งสายตาอาวรณ์ตามหลังไปจากหน้าต่างบานเล็ก และเห็นมูซาชิก้มลงผูกรองเท้าฟางที่สวมอยู่ให้กระชับเท้าหลังก้าวเดินไปบนทางถนนได้ราวสิบก้าว
2
สมองของมุซาชิแจ่มใสราวท้องฟ้าราตรีนี้ที่ไร้เมฆหลังจากที่ได้นอนหลับสนิทแม้จะระยะสั้น กายและใจผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียวขณะก้าวไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกราวกับหลอมละลายเข้าไปในสรรพสิ่งรอบข้าง
ช้า ๆ ไม่มีอะไรต้องรีบเร่ง
เจ้าหนุ่มนักดาบเตือนตัวเองพลางชะลอฝีเท้าที่ก้าวเร็ว ๆ ดุ่มไปข้างหน้าจนเป็นนิสัย
ในที่สุดคืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายที่ข้าจะได้มองโลกมนุษย์
มูซาชิพึมพำเบา ๆ
นั่นไม่ใช่คำรำพึงและไม่ใช่คำคร่ำครวญ แต่เป็นเสียงพึมพำที่ลอดออกมาจากส่วนลึกของหัวใจอันเปลือยเปล่าไร้จริต และปราศจากความโหยหาอาดูร
แต่ช้าก่อน หนทางซึ่งยังอยู่อีกไกลกว่าจะถึงต้นสนแห่งยาบุโนะโกเชิงเขาอิจิโจจิ และเวลาที่เพิ่งเลยสองยามมาได้ไม่นาน อาจทำให้ยังไม่รู้รสความรู้สึกเมื่อเผชิญกับความตายอยู่ตรงหน้าก็เป็นได้
เมื่อวาน มูซาชิขึ้นไปนั่งสมาธิท่ามกลางสายลมจากป่าสนที่วัดซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาคุรามะ ด้วยความพยายามที่จะปลดกายปลดใจให้บรรลุถึงความ “ไม่มี” แต่ก็ไม่อาจนำตัวให้พ้นออกมาจากสิ่งที่เรียกว่าความตายได้ และรู้สึกขัดใจนิด ๆ เมื่อไม่รู้ว่าอุตส่าห์ขึ้นเขาไปนั่งสมาธิเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา
แต่แล้วก็กลับนึกฉงนว่าทำไมคืนนี้จิตใจถึงได้ผ่องแผ้วนัก คงเป็นเพราะการได้ร่ำสุรากับพ่อเฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยมพอประมาณ กับการได้นอนหลับสนิท ได้อาบน้ำจากบ่อเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา และเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตัดเย็บใหม่กระชับกายสบายอารมณ์นั่นเอง เพราะไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าตนคือคนที่จะตายในวันนี้
--ใช่ ตอนที่ข้าลากเท้าถูกตะปูตำบวมและกลัดหนองปีนภูเขานกอินทรีย์ด้านหลังอิเซะโนมิยะ--คืนนั้นดวงดาวก็งดงามเยี่ยงนี้ ครั้งนั้นเป็นฤดูหนาวแสนหนาว แต่ถ้าไป ณ เวลานี้ คงได้ชมดอกตูมของซากุระภูเขาที่พร้อมคลี่กลีบบานสะพรั่ง
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมภาพนั้นจึงผุดขึ้นมาในม่านสมอง ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะนึกถึงเลยในตอนนี้ และไม่ได้ก่อให้เกิดภูมิปัญญาใด ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อปัญหาความเป็นความตายที่กำลังเผชิญอยู่นี้ด้วย
มูซาชิไม่เข้าใจตัวเอง หรือว่าตนจะยอมรับความตายอย่างไม่มีเงื่อนไข จนปัญญาไล่ตามมาแก้ไขปัญหาให้ไม่ทันอย่างที่เคย ใช่...เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ความตาย ความเจ็บปวดเมื่อตาย โลกหลังความตาย ฯลฯ หรือแม้ว่าอาจรอดชีวิตและอยู่ต่อไปอีกร้อยปี ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป
แต่เอ๊ะ...มูซาชิได้ยินเสียงเย็น ๆ ของเครื่องดนตรีไม้ไผ่แว่วมาในความเงียบสงัดของยามดึก
ละแวกนี้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกขุนนางกับบริวารก็จริง แต่เสียงเครื่องเป่าที่แว่วมานั้นเศร้าสร้อยเกินกว่าจะเป็นเสียงจากวงสรวลเสเฮฮา น่าจะเป็นบรรยากาศจากกลุ่มญาติมิตรที่จุดเทียนขาววอมแวมนั่งเฝ้าโรงศพคอยให้ฟ้าสางมากกว่า
คงมีใครสักคนตายก่อนเราแล้วในวันนี้
เสียงเครื่องขลุ่ยและเครื่องเป่าอื่นที่บรรเลงในพิธีเฝ้าศพอาจดังมาเข้ามากระทบหูสักสองสามอึดใจก่อนที่จะได้ยิน เป็นเหตุให้ข้าหวนคิดไปถึงเรือนสาวพรหมจรรย์ที่อิเซะโนะมิยะ ครั้งที่เดินลากเท้าบาดเจ็บกลัดหนองขึ้นภูเขานกอินทรีย์ที่กิ่งไม้ในป่ามีเกล็ดน้ำแข็งเกาะขาวโพลนราวดอกไม้แก้ว
ช้าก่อน มูซาชิอดไม่ได้ที่จะสงสัยสมองที่กำลังแจ่มใสเป็นที่สุดขึ้นมาอีกครั้ง หรือว่าอารมณ์ที่สงบนิ่งนี้จะเกิดจากความกลัวสุดขีดจนใจชาดิ่งไม่รู้สึกรู้สมว่ากายกำลังเคลื่อนใกล้แดนมรณะเข้าไปทุกที
ห่างออกไปที่มุมเลี้ยวที่ปากตรอก เงาดำ ๆ ของใครคนหนึ่งยืนนิ่งมามองมาทางนี้
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“แผนรึ”
เก็นซะนักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุเบนสายตาไปจับจ้องใบหน้าเครียดของเจ้าหนุ่มนักดาบรูปงามอีกครั้ง
“แผนอะไร เราเตรียมพร้อมจนไม่จำเป็นต้องมีแผนอะไรอีกแล้ว ขอบใจในความหวังดียิ่งนัก”
แต่โคจิโรยังไม่ละเลิกความพยายาม
“ข้าว่าไม่นะท่าน ถ้ามูซาชิเป็นคนประมาท ถือดาบเดินอาด ๆ เข้ามาหมายประลองยุทธ์โดยไม่ดูตาม้าตาเรือก็จะก้าวเข้าสู่กับดักตามแผนร้ายของท่านโดยง่าย แต่อย่าลืมว่าศัตรูของพวกท่านคือมูซาชิ หากแผนร้ายของท่านมีช่องโหว่แม้แต่เพียงน้อยนิด ก็อย่านึกเลยว่าจะรอดพ้นตาเหยี่ยวของซามูไรพเนจรคนนี้ไปได้ และเมื่อมูซาชิไม่มาแผนร้ายก็จะล้มเหลว”
“ข้าไม่หวั่น เพราะถ้ามูซาชิไม่มาตามสัญญา เราก็จะปักป้ายประกาศให้รู้กับไปทั่วนครหลวงและเล่าลือกันไปไกลว่า มูซาชิหนีด้วยความขลาดกลัวตาย หากทนเสียงหัวเราะเย้นหยันได้ก็ตามใจ”
“ก็ใช่ นั่นอาจช่วยกู้หน้าสำนักดาบโยชิโอกะไปได้ แต่ก็เพียงชั่วครู่ยาม แต่ท่านไม่คิดหรือว่ามูซาชิรึหนีไป เงียบ ๆ เจ้านักดาบพเนจรก็มีปากเหมือนกัน แล้วก็จะโพนทนาไปทั่วให้งามหน้ากันทั้งสำนักว่าแผนของท่านชั่วช้าสามาน ไร้จิตวิญญาณของนักรบอันสูงส่งเพียงไร คราวนี้โอกาสที่จะกู้คืนเกียรติภูมิของเจ้าสำนักที่ทุกคนเทิดทูนเหนือชีวิตก็จะหมดสิ้น ดังนั้นวันนี้ท่านจะต้องปลิดชีวิตมูซาชิให้สิ้นชื่อที่ตรงนี้ไม่เช่นนั้นแผนร้ายของท่านก็จะไร้ความหมาย ซึ่งข้าคิดว่าท่านจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อให้มูซาชิมาที่แดนประหารนี้ให้จงได้”
“เจ้ามีแผนอะไรรึ”
“มีสิท่าน” โคจิโรบอกอย่างมั่นอกมั่นใจ “มีมากมายเลยทีเดียว”
ว่าแล้วก็เอนหน้าเข้าไปกระซิบที่หูนักดาบผู้เฒ่าด้วยท่าทางเป็นมิตรอย่างที่นักดาบผู้ทรนงคนนี้ไม่แสดงให้เห็นบ่อยนัก
“อย่างนี้ดีไหม หรือท่านจะว่ายังไง”
“อืม ก็ไม่เลว”
ผู้เฒ่าพยักหน้าหงึก ๆ แล้วเอียงหน้าไปกระซิบบอกที่หูของมิอิเกะ
สามวันก่อน มิยาโมโตะ มูซาชิมาเคาะประตูโรงเตี๊ยมเก่าแก่ริมทางที่เคยพักแรมนานมาแล้ว ปลุกเจ้าของให้ตาลีตาลานมาเปิดประตูรับตอนสองยามล่วงแล้ว พอรุ่งเช้าตื่นขึ้นมาบอกว่าจะออกไปวัดคุรามะแล้วก็หายหน้าไปทั้งวันทั้งคืน ปล่อยให้พ่อเฒ่าเจ้าของโรงเตี้ยมเตรียมอาหารเย็นอุ่นแล้วอุ่นอีกคอยเก้อ
จนกระทั่งรุ่งสางของอีกวันจึงกลับมาพร้อมกับเอามันภูเขาห่อใหญ่มาให้เป็นของฝากจากคุรามะ แล้วส่งห่อผ้าอีกห่อหนึ่งให้บอกว่าเป็นผ้าทอจากนาราที่ซื้อหามาจากร้านใกล้ ๆ แถวนี้ ขอให้พ่อเฒ่าช่วยไปจัดการหาคนตัดเย็บเป็นชุดชั้นในและผ้าพันท้องโดยด่วน
พ่อเฒ่ารับคำทันที รีบเอาม้วนผ้าไปที่บ้านใกล้เคียงที่มีลูกสาวเป็นช่างเย็บผ้า และขากลับก็แวะซื้อเหล้าสาเกติดมือมาด้วยเพื่อไม่ให้เสียเที่ยว พอมาถึงก็กระวีกระวาดเข้าครัวต้มมันภูเขาออกมาเป็นกับแกล้ม ระหว่างที่ดื่มสาเก พลางคุยเรื่องสัพเพเหระกันไปจนดึก และพอแม่นางที่รับตัดเย็บก็นำชุดชั้นในกิโมโนมาส่งให้ เจ้าหนุ่มนักดาบขอตัวไปนอนและวางชุดชั้นในใหม่เอี่ยมมาไว้ข้างหมอนนั้นเอง
จวบจนกลางดึก พ่อเฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยมก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาเมื่อได้ยินเสียงคนอาบน้ำดังซู่ซ่าอยู่ข้างนอก และเมื่อแง้มหน้าต่างบานเลื่อนมองออกไป จึงพบมูซาชิซึ่งตื่นออกไปอาบน้ำอยู่ท่ามกลางแสงจันทร์ กำลังเช็ดเนื้อเช็ดตัวและใส่ชุดชั้นในสีขาวสะอาดที่เพิ่งเย็บเสร็จหยก ๆ รัดผ้าพันท้องแล้วสวมกิโมโนตัวเดิมทับลงไป
พ่อเฒ่าเอียงคอคิดด้วยความฉงน และร้องถามไปว่าจะเตรียมตัวออกเดินทางไปไหน ในยามที่ดวงจันทร์ยังไม่ทันเคลื่อนคล้อยไปทางตะวันตกเช่นนี้ เจ้าหนุ่มนักดาบหันมาชี้แจงว่าตนเที่ยวชมนครหลวงทั้งด้านนอกด้านในจนทั่ว และเมื่อวานก็ได้ขึ้นไปชมทิวทัศน์บนภูเขาคุรามะมาแล้วด้วย จึงชักเบื่อเกียวโตขึ้นมานิด ๆ และคิดว่าน่าจะออกเดินทางมุ่งไปยังเอโดะเสียที
พอคิดว่าถ้าเดินขึ้นเขาฮิเอซันไปตั้งแต่ดวงจันทร์ยังทอแสงก็จะทันเห็นความงามยามอรุณรุ่งที่ทะเลสาบชิกะก่อนเดินทางไปยังเอโดะ ตาข้าก็ตื่นและทำยัง ๆ ก็ไม่หลับ จะปลุกพ่อเฒ่าก็เกรงใจก็เลยห่อเงินค่าที่พักกับค่าสุราวางไว้ให้ แม้จะน้อยนิดก็ขอให้รับไว้ก่อน มาเกียวโตคราใดข้าจะแวะมาเยือนโรงเตี๊ยมของพ่อเฒ่าอีก แต่อาจอีกสามปีหรือสี่ปีหรืออีกนานเท่าไรข้าเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน
“พ่อเฒ่า ปิดประตูเรือนให้เรียบร้อยด้วยนะ”
มูซาชิหันมาสั่ง ก่อนออกเดินด้วยฝีเท้าหนักแน่นไปบนคันนาข้างโรงเตี้ยมเพื่ออ้อมไปเข้าทางถนนสู่คิตาโนะที่เกลื่อนไปด้วยมูลวัว พ่อเฒ่าส่งสายตาอาวรณ์ตามหลังไปจากหน้าต่างบานเล็ก และเห็นมูซาชิก้มลงผูกรองเท้าฟางที่สวมอยู่ให้กระชับเท้าหลังก้าวเดินไปบนทางถนนได้ราวสิบก้าว
2
สมองของมุซาชิแจ่มใสราวท้องฟ้าราตรีนี้ที่ไร้เมฆหลังจากที่ได้นอนหลับสนิทแม้จะระยะสั้น กายและใจผนึกรวมเป็นหนึ่งเดียวขณะก้าวไปข้างหน้าด้วยความรู้สึกราวกับหลอมละลายเข้าไปในสรรพสิ่งรอบข้าง
ช้า ๆ ไม่มีอะไรต้องรีบเร่ง
เจ้าหนุ่มนักดาบเตือนตัวเองพลางชะลอฝีเท้าที่ก้าวเร็ว ๆ ดุ่มไปข้างหน้าจนเป็นนิสัย
ในที่สุดคืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายที่ข้าจะได้มองโลกมนุษย์
มูซาชิพึมพำเบา ๆ
นั่นไม่ใช่คำรำพึงและไม่ใช่คำคร่ำครวญ แต่เป็นเสียงพึมพำที่ลอดออกมาจากส่วนลึกของหัวใจอันเปลือยเปล่าไร้จริต และปราศจากความโหยหาอาดูร
แต่ช้าก่อน หนทางซึ่งยังอยู่อีกไกลกว่าจะถึงต้นสนแห่งยาบุโนะโกเชิงเขาอิจิโจจิ และเวลาที่เพิ่งเลยสองยามมาได้ไม่นาน อาจทำให้ยังไม่รู้รสความรู้สึกเมื่อเผชิญกับความตายอยู่ตรงหน้าก็เป็นได้
เมื่อวาน มูซาชิขึ้นไปนั่งสมาธิท่ามกลางสายลมจากป่าสนที่วัดซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในภูเขาคุรามะ ด้วยความพยายามที่จะปลดกายปลดใจให้บรรลุถึงความ “ไม่มี” แต่ก็ไม่อาจนำตัวให้พ้นออกมาจากสิ่งที่เรียกว่าความตายได้ และรู้สึกขัดใจนิด ๆ เมื่อไม่รู้ว่าอุตส่าห์ขึ้นเขาไปนั่งสมาธิเพื่อให้ได้อะไรขึ้นมา
แต่แล้วก็กลับนึกฉงนว่าทำไมคืนนี้จิตใจถึงได้ผ่องแผ้วนัก คงเป็นเพราะการได้ร่ำสุรากับพ่อเฒ่าเจ้าของโรงเตี๊ยมพอประมาณ กับการได้นอนหลับสนิท ได้อาบน้ำจากบ่อเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมา และเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ตัดเย็บใหม่กระชับกายสบายอารมณ์นั่นเอง เพราะไม่ว่าจะคิดยังไงก็ไม่ทำให้รู้สึกว่าตนคือคนที่จะตายในวันนี้
--ใช่ ตอนที่ข้าลากเท้าถูกตะปูตำบวมและกลัดหนองปีนภูเขานกอินทรีย์ด้านหลังอิเซะโนมิยะ--คืนนั้นดวงดาวก็งดงามเยี่ยงนี้ ครั้งนั้นเป็นฤดูหนาวแสนหนาว แต่ถ้าไป ณ เวลานี้ คงได้ชมดอกตูมของซากุระภูเขาที่พร้อมคลี่กลีบบานสะพรั่ง
ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมภาพนั้นจึงผุดขึ้นมาในม่านสมอง ทั้งที่ไม่ใช่เรื่องที่น่าจะนึกถึงเลยในตอนนี้ และไม่ได้ก่อให้เกิดภูมิปัญญาใด ๆ อันจะเป็นประโยชน์ต่อปัญหาความเป็นความตายที่กำลังเผชิญอยู่นี้ด้วย
มูซาชิไม่เข้าใจตัวเอง หรือว่าตนจะยอมรับความตายอย่างไม่มีเงื่อนไข จนปัญญาไล่ตามมาแก้ไขปัญหาให้ไม่ทันอย่างที่เคย ใช่...เมื่อมาถึงขั้นนี้แล้ว ความตาย ความเจ็บปวดเมื่อตาย โลกหลังความตาย ฯลฯ หรือแม้ว่าอาจรอดชีวิตและอยู่ต่อไปอีกร้อยปี ก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป
แต่เอ๊ะ...มูซาชิได้ยินเสียงเย็น ๆ ของเครื่องดนตรีไม้ไผ่แว่วมาในความเงียบสงัดของยามดึก
ละแวกนี้เป็นที่อยู่อาศัยของพวกขุนนางกับบริวารก็จริง แต่เสียงเครื่องเป่าที่แว่วมานั้นเศร้าสร้อยเกินกว่าจะเป็นเสียงจากวงสรวลเสเฮฮา น่าจะเป็นบรรยากาศจากกลุ่มญาติมิตรที่จุดเทียนขาววอมแวมนั่งเฝ้าโรงศพคอยให้ฟ้าสางมากกว่า
คงมีใครสักคนตายก่อนเราแล้วในวันนี้
เสียงเครื่องขลุ่ยและเครื่องเป่าอื่นที่บรรเลงในพิธีเฝ้าศพอาจดังมาเข้ามากระทบหูสักสองสามอึดใจก่อนที่จะได้ยิน เป็นเหตุให้ข้าหวนคิดไปถึงเรือนสาวพรหมจรรย์ที่อิเซะโนะมิยะ ครั้งที่เดินลากเท้าบาดเจ็บกลัดหนองขึ้นภูเขานกอินทรีย์ที่กิ่งไม้ในป่ามีเกล็ดน้ำแข็งเกาะขาวโพลนราวดอกไม้แก้ว
ช้าก่อน มูซาชิอดไม่ได้ที่จะสงสัยสมองที่กำลังแจ่มใสเป็นที่สุดขึ้นมาอีกครั้ง หรือว่าอารมณ์ที่สงบนิ่งนี้จะเกิดจากความกลัวสุดขีดจนใจชาดิ่งไม่รู้สึกรู้สมว่ากายกำลังเคลื่อนใกล้แดนมรณะเข้าไปทุกที
ห่างออกไปที่มุมเลี้ยวที่ปากตรอก เงาดำ ๆ ของใครคนหนึ่งยืนนิ่งมามองมาทางนี้