นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
มิอิเกะขยับตัวร้องเสียงดังว่ามาแล้ว และวิ่งปราดไปที่ต้นเสียงทันที แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าคนที่ยืนนิ่วคิ้วขมวด ปัดมือไล่ฝุ่นไปตามตัวเสื้อกิโมโนตัวงามล้ำสมัย...ซาซากิ โคจิโรนั่นเอง
“ไม่มีตารึยังไง สถานการณ์กำลังเข้าได้เข้าเข็มอยู่แท้ ๆ ไม่รู้จักตั้งสมาธิให้ดี มีอย่างรึเห็นข้าเป็นมูซาชิไปได้ ทั้งที่วันก่อนตอนข้าจัดการเรื่องประลองยุทธ์ก็เห็นอยู่กันพร้อมหน้า ช่างไม่รู้ตามาตาเรือเอาเลย ข้ามาเป็นพยานการประลองยุทธ์ให้แท้ ๆ เกือบจะต้องเอาชีวิตมาสังเวยปลายทวนเสียแล้ว”
ยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะยิ่งเดือดดาล ส่วนศิษย์สำนักโยชิโอกะต่างผงะกันเป็นแถว เมื่อเห็นกิโมโนลวดลายฉูดฉาดและก็จำได้ว่าเป็นใคร
1
อารามที่กำลังตื่นเต้นและตึงเครียด พวกศิษย์ที่สุ่มอยู่ไกลออกไปไม่ทันเห็นว่าใครเป็นใคร แค่ได้ยินวาจาโอหังและร่างสูงเด่นอยู่ไว ๆ ก็พากันสงสัยกระซิบกระซาบกัน
เจ้านี่ท่าทางชอบกล ข้าว่าไม่น่าไว้ใจนา เอ็งว่าไหม
หรือจะเป็นนักดาบมือรอง ที่เจ้ามูซาชิส่งมาดูลาดเลา
ว่าแล้วก็ตั้งท่ามั่น ไม่เข้าไปปะทะแต่ก็ไม่คลายวงล้อม
ฝ่ายโคจิโร พอเห็นมิอิเกะศิษย์เอกระดับอาจารย์วิ่งพรวดพราดเข้ามา ก็เบนสายสายตาจากกลุ่มคน จ้องเขม็งไปทางนั้นพร้อมทั้งกัดฟันกราดเกรี้ยวใส่อารมณ์
“ข้ามาที่นี่ก็เพราะหวังว่จะได้มาเป็นพยานรู้เห็นการประลองยุทธ์แต่ศิษย์ของท่านกลับมองว่าข้าเป็นศัตรูและตั้งท่าจะฟาดฟัน เห็นอย่างนี้แล้วจะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร นอกจากเป็นเจตจำนงของพวกท่านซึ่งเป็นศิษย์เอกแห่งสำนัก และเมื่อเป็นเช่นนี้ดาบยาวราวไม้ตากผ้าของข้าเล่มนี้ก็คงจะยินดีไมน้อยที่จะได้เปื้อนเลือด หลังจากที่สะอาดเอี่ยมมานาน ข้าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมูซาชิถึงกับจะเป็นนักดาบมือรองให้ในการ ประลองยุทธ์ครั้งนี้ แต่ถ้าใครต้องการประดาบกันตัวต่อตัวข้าก็ไม่ขัดข้อง จะว่าอย่างไรจงตอบมา”
เจ้าหนุ่มนักดาบเหยียดร่างสูงเพรียวขึ้นตรงเด่นเป็นสง่า และเสียงนั้นกังวานก้องราวราชสีห์ที่ถูกตีขนดหาง
นั่นคือท่วงท่าของซาซากิ โคจิโรเมื่อคราวที่อยู่ในอารมณ์สิงห์ลำพอง ซึ่งไปคนละทางกับเสื้อผ้าอาภรณ์สีฉูดฉาดและทรงผมสมสมัย เหล่าศิษย์สำนักดาบต่างตะลึงงัน ผงะถอยหลังกันเป็นแถว
มิอิเกะศิษย์เอกแห่งสำนักดาบทำหน้าขึงและแค่นหัวเราะ
“ฮะ ฮ้า ข้าไม่รู้ว่าอะไรทำให้ท่านโกรธมากขนาดนี้ แต่ขอถามหน่อยเถิดว่าใครเชื้อเชิญให้ท่านมาเป็นพยานรู้เห็นการประลองยุทธ์ในรุ่งอรุณของวันนี้ เราผู้เป็นศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะทุกคน ไม่มีใครจ-ได้ว่าเชื้อเชิญท่านตั้งแต่เมื่อไร แต่เอ...หรือว่ามูซาชิจะเป็นคนเชิญ”
“หยุดพูดได้แล้ว ตอนที่พวกเจ้ากับมูซาชิตกลงนัดประลองยุทธ์กันและปักป้ายประกาศที่โรคุโจ ข้าได้บอกกับสองฝ่ายว่าจะมาเป็นพยาน”
“ใช่ ตอนนั้นข้าได้ยินท่านบอก แต่ก็ไม่เห็นว่ามูซาชิจะขอร้องท่านแต่อย่างใด และดูท่าแล้วก็ไม่น่าจะต้องการให้ท่านมาเป็นพยานรู้เห็นแม้แต่น้อย นี่ก็เท่ากับว่าท่านอยากมาเองโดยไม่มีใครขอ อุตส่าห์เสนอตัวเข้ามาอยู่ในฉากที่ตนไม่มีบทบาทอะไรจะแสดง อย่างนี้เขาเรียกว่าพวกแกว่งเท้าหาเสี้ยน ถ้าไม่เจ็บตัวเสียบ้างก็จะไม่สำนึก”
“ปากดีนักใช่ไหม”
โคจิโรระเบิดออกมาด้วยความโกรธจัด และลืมตัวไม่สงวนท่าทีวางมาด
“มาทางไหนกลับไปทางนั้น นี่ไม่ใช่การแสดงให้ใคร ๆ ดูเล่น”
มิอิเกะศิษย์เอกไล่กันตรง ๆ
“ก็ได้”
โคจิโรกลั้นใจตอบด้วยความโกรธจนหน้าเขียว แล้วสะบัดหน้าไปทางหนึ่งทันที แต่ไม่ลืมทิ้งท้ายด้วยเสียงกร้าวว่า แล้วจะได้เห็นดีกัน
แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเดินกลับไปทางเดิม ก็ถูกท่านเก็นซะแห่งมิบุที่เพิ่งเดินตามมิอิเกะมาถึงรีบเรียกเอาไว้
“รอเดี๋ยว พ่อหนุ่ม”
“ข้าไม่มีธุระอะไรกับท่าน บอกแล้วไงว่าให้คอยดู ใครดูหมิ่นข้าจะได้เห็นดี”
“อย่าพูดอย่างนั้น หยุดแล้วฟังข้าก่อน”
นักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุถลันออกไปขวางหน้าเจ้าหนุ่มนักดาบเอาไว้ทั้งที่ยังหายใจหอบที่วิ่งตามมาแต่ไกล
“ข้าเป็นลุงของเซจูโร และรู้ดีว่าท่านคือใคร หลานบอกข้าว่าท่านเป็นนักรบฝีมือดีและปัญญาเลิศ อย่าไปถือสาหาความศิษย์สำนักพวกนั้นเลย เพราะกำลังตื่นเต้นและเคร่งเครียด ไม่ได้ประสงค์ร้ายจริงจังกับท่านหรอก ข้าขอโทษแทนพวกนั้นก็แล้วกัน ยกโทษให้ด้วยเถิด”
“ท่านผู้เฒ่าอย่าลดลงตัวมาขอโทษขอโพยข้าเช่นนั้นเลย ข้าเคยสนิทชิดเชื้อกับท่านเซจูโรที่โรงฝึกวิชาดาบชิโจมานาน แม้จะไม่ได้ช่วยเป็นนักดาบมือรองในการประลองยุทธ์ แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อย่างนี้แล้วจะไม่ให้ข้าบันดาลโทสะได้อย่างไร ที่อยู่ ๆ ก็มาพูดจาดูหมิ่นน้ำใจกัน”
“ข้าเข้าใจ มันก็น่าโกรธอยู่หรอก แต่ก็ขอให้เห็นใจคนที่กำลังเครียดจนหน้ามืดตามัวด้วยเถิด อย่าไปใส่ใจกับคำพูดพวกนั้นเลย ปล่อยให้ลอยไปตามลมไปเสีย ขอให้เห็นแก่เซจูโร กับเด็นชิจิโรด้วยเถิดนะพ่อหนุ่ม”
ท่านเก็นซะแห่งมิบุปลอบโยนเจ้าหนุ่มนักดาบที่กำลังพลุ่งพล่านด้วยความโกรธ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหมายให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น
2
ท่านเก็นซะแห่งมิบุไม่ได้คิดที่จะพึ่งพาโคจิโรให้มาเป็นนักดาบมือรองในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ เพราะได้จระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้พร้อมเพรียงแล้ว แต่ที่ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยและพูดจาเอาใจนั้น คงเพราะเกรงว่าเจ้าหนุ่มนักดาบคนนี้อาจล่วงรู้ถึงแผนสกปรกของพวกตนแล้วนำไปแพร่งพรายกระจายข่าว
“ลืมเสียเถิดนะ อย่าเก็บเอามาเป็นอารมณ์เลย ข้าขอร้อง”
นักดาบผู้เฒ่ากล่าวเชิงขอโทษไม่ขาดปาก โคจิโรหายโมโหแล้วจึงห้ามเอาไว้
“พอเถิด ท่านผู้สูงอายุมาก้มศีรษะขอโทษอยู่อย่างนี้ข้าผู้อ่อนวัยกว่าทำอะไรไม่ถูกแล้ว เลิกขอโทษข้าเสียที”
โคจิโรเจ้าหนุ่มนักดาบอารมณ์ดีขึ้นจนเป็นปกติ หันไปทางกลุ่มศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะแล้วกล่าวมธุรสวาจาตามถนัดให้กำลังใจเหล่านักดาบ พร้อมกับสาบแช่งมูซาชิผู้เป็นศัตรู
“ข้ากับท่านเซจูโรมีความสัมพันธ์อันดีกันมาแต่เดิม และอย่างที่บอกข้าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมูซาชิเลย จึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องอยากให้สำนักโยชิโอกะที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันได้รับชัยชนะ ไม่ใช่มูซาชิที่ข้าไม่รู้จัก เป็นความผิดพลาดของข้าแท้ ๆ ที่ปล่อยให้พวกเราปราชัยถึงสองครั้ง โรงฝึกวิชาดาบชิโจต้องสลายตัวและเกียรติภูมิของตระกูลโยชิโอกะถูกเหยียบย่ำทำลาย ...ข้าทนดูอยู่ไม่ได้ แม้จะมีการรบทัพจับศึกมามากมายตั้งแต่โบราณกาล ก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินโศกนาฏกรรมเช่นนี้มาก่อน เราจะปล่อยให้ สำนักดาบที่เคยมีเจ้าสำนักเป็นถึงที่ปรึกษาวิชาดาบของตระกูลมุโรมาจิ ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันน่าสลดใจเช่นนี้ด้วยน้ำมือของนักดาบบ้านนอกนิรนามเพียงคนเดียวได้อย่างไร”
โคจิโรพูดใส่อารมณ์ เลือดวัยหนุ่มฉีดแรงจนเจ้าตัวรู้สึกหูร้อนผ่าวและคงแดงเรื่อ ทุกคนรวมทั้งท่านเก็นซะแห่งมิบุถูกสะกดด้วยโวหารอันคมคายจนเงียบไปตาม ๆ กัน มิอิเกะศิษย์เอกและศิษย์คนอื่น ๆ ต่างหน้าจ๋อยด้วยความสำนึกผิดที่ไปกล่าวคำหยาบคายขนาดนั้นกับโคจิโระซึ่งประสงค์ดีกับพวกตน
เมื่อเห็นบรรยากาศพลิกผันไปเช่นนั้น โคจิโรก็ได้ใจใส่อารมณ์ร้อนแรงลงไปอีกราวกับนักปาฐกถาปากกล้า
“ในอนาคต ข้าก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังมานะพยายามที่จะตั้งสำนักดาบที่มีวิทยายุทธ์อันแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นของตนเอง ที่ข้าไปดูการประลองยุทธ์กับพวกชาวบ้านนั้น ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับคนอื่น แต่การที่ได้ดูการประลองยุทธ์ด้วยตาตนเองนั้นเป็นการเรียนรู้ที่มีคุณค่ามาก แต่เท่าที่ได้ดูการประลองยุทธ์ของสำนักดาบโยชิโอกะกับมูซาชิผ่านมาจนถึงวันนี้ ข้าต้องยอมรับว่าหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว ที่ทำไมมูซาชิจึงหนีรอดไปได้ทั้งที่วัดเรนเงโออินและวัดเรนไดจิโนจิ โดยที่พวกเจ้าอยู่กันพร้อมหน้า ข้าไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกเจ้าที่ปล่อยให้มูซาชิลอยนวลอยู่ในนครหลวงทั้งที่ฟันครูดาบของอันเป็นที่เคารพรักสิ้นชีพไปต่อหน้าต่อตา”
โคจิโรเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนสาธยายต่อ
“ใช่ มูซาชิจะต้องเป็นนักดาบพเนจรที่แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมอย่างน่าสะพรึงกลัว ข้ารู้ดีหลังจากที่ได้พบมาแล้วครั้งสองครั้ง จริง ๆ แล้วจะว่าแส่ไม่เข้าเรื่องก็คงได้ เพราะสองสามวันมานี้ข้าได้เริ่มสืบหาเรื่องราวของนักดาบพเนจรที่ชื่อมูซาชิคนนี้ว่าเป็นใครมาจากแส่นแคว้นไหน และได้พบกับสาวน้อยคนหนึ่งที่รู้จักกับมูซาชิตั้งแต่เจ้านั่นอายุ 17 และนั่นคือเบาะแสสำคัญ”
โคจิโรปิดชื่ออาเกมิเอาไว้
“ข้าถามแม่สาวน้อยคนนั้นและสืบหาความจริงเพิ่มเติมมาประกอบกัน จึงได้รู้ว่ามูซาชิเป็นลูกชายคนเล็กของซามูไรท้องถิ่นในแคว้นซากุ หลังกลับจากสมรภูมิเซกิงาฮาระ ก็ไปอาละวาดราวกับสัตว์ป่าที่บ้านเกิดวุ่นวายกันไปทั้งหมู่บ้าน จนถูกขับออกมาร่อนเร่พเนจรไปทั่วไม่มีใครปราบให้อยู่มือได้ แต่ถ้าพูดถึงฝีมือดาบนั้นจะว่าอยู่ในระดับอัจฉริยะก็ได้ หรือจะว่าแข็งแกร่งราวสัตว์ป่ากระหายเลือดก็ได้อีก มูซาชิเป็นคนกล้าอย่างชนิดที่เรียกว่าบ้าบิ่นไม่กลัวตาย
ดังนั้น ใครที่ประลองยุทธ์กับมูซาชิจะไม่มีวันเอาชนะได้ด้วยเชิงดาบธรรมดา แต่จะต้องใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดเช่นเดียวกับการพิชิตสัตว์ร้ายด้วยกับดัก ข้าจึงขอบอกเอาไว้ก่อนว่าพวกเจ้าต้องคิดและมองศัตรูให้ถ่องแท้ก่อนที่จะลงสนามต่อสู้”
เจ้าหนุ่มนักดาบนักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุแสดงความเห็นชอบและขอบคุณในความหวังดี เจ้าหนุ่มนักดาบก้มศีรษะรับก่อนทิ้งท้ายว่า
“เท่าที่เห็นพวกท่านก็เตรียมพร้อมกันอย่างรัดกุมเต็มที่แล้วศัตรูคงจะหนีรอดไปไม่ได้ แต่เพื่อความมั่นใจข้าว่าถ้ามีแผนที่ล้ำลึกไปกว่านี้ก็จะดี”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
มิอิเกะขยับตัวร้องเสียงดังว่ามาแล้ว และวิ่งปราดไปที่ต้นเสียงทันที แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าคนที่ยืนนิ่วคิ้วขมวด ปัดมือไล่ฝุ่นไปตามตัวเสื้อกิโมโนตัวงามล้ำสมัย...ซาซากิ โคจิโรนั่นเอง
“ไม่มีตารึยังไง สถานการณ์กำลังเข้าได้เข้าเข็มอยู่แท้ ๆ ไม่รู้จักตั้งสมาธิให้ดี มีอย่างรึเห็นข้าเป็นมูซาชิไปได้ ทั้งที่วันก่อนตอนข้าจัดการเรื่องประลองยุทธ์ก็เห็นอยู่กันพร้อมหน้า ช่างไม่รู้ตามาตาเรือเอาเลย ข้ามาเป็นพยานการประลองยุทธ์ให้แท้ ๆ เกือบจะต้องเอาชีวิตมาสังเวยปลายทวนเสียแล้ว”
ยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะยิ่งเดือดดาล ส่วนศิษย์สำนักโยชิโอกะต่างผงะกันเป็นแถว เมื่อเห็นกิโมโนลวดลายฉูดฉาดและก็จำได้ว่าเป็นใคร
1
อารามที่กำลังตื่นเต้นและตึงเครียด พวกศิษย์ที่สุ่มอยู่ไกลออกไปไม่ทันเห็นว่าใครเป็นใคร แค่ได้ยินวาจาโอหังและร่างสูงเด่นอยู่ไว ๆ ก็พากันสงสัยกระซิบกระซาบกัน
เจ้านี่ท่าทางชอบกล ข้าว่าไม่น่าไว้ใจนา เอ็งว่าไหม
หรือจะเป็นนักดาบมือรอง ที่เจ้ามูซาชิส่งมาดูลาดเลา
ว่าแล้วก็ตั้งท่ามั่น ไม่เข้าไปปะทะแต่ก็ไม่คลายวงล้อม
ฝ่ายโคจิโร พอเห็นมิอิเกะศิษย์เอกระดับอาจารย์วิ่งพรวดพราดเข้ามา ก็เบนสายสายตาจากกลุ่มคน จ้องเขม็งไปทางนั้นพร้อมทั้งกัดฟันกราดเกรี้ยวใส่อารมณ์
“ข้ามาที่นี่ก็เพราะหวังว่จะได้มาเป็นพยานรู้เห็นการประลองยุทธ์แต่ศิษย์ของท่านกลับมองว่าข้าเป็นศัตรูและตั้งท่าจะฟาดฟัน เห็นอย่างนี้แล้วจะให้คิดเป็นอื่นได้อย่างไร นอกจากเป็นเจตจำนงของพวกท่านซึ่งเป็นศิษย์เอกแห่งสำนัก และเมื่อเป็นเช่นนี้ดาบยาวราวไม้ตากผ้าของข้าเล่มนี้ก็คงจะยินดีไมน้อยที่จะได้เปื้อนเลือด หลังจากที่สะอาดเอี่ยมมานาน ข้าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมูซาชิถึงกับจะเป็นนักดาบมือรองให้ในการ ประลองยุทธ์ครั้งนี้ แต่ถ้าใครต้องการประดาบกันตัวต่อตัวข้าก็ไม่ขัดข้อง จะว่าอย่างไรจงตอบมา”
เจ้าหนุ่มนักดาบเหยียดร่างสูงเพรียวขึ้นตรงเด่นเป็นสง่า และเสียงนั้นกังวานก้องราวราชสีห์ที่ถูกตีขนดหาง
นั่นคือท่วงท่าของซาซากิ โคจิโรเมื่อคราวที่อยู่ในอารมณ์สิงห์ลำพอง ซึ่งไปคนละทางกับเสื้อผ้าอาภรณ์สีฉูดฉาดและทรงผมสมสมัย เหล่าศิษย์สำนักดาบต่างตะลึงงัน ผงะถอยหลังกันเป็นแถว
มิอิเกะศิษย์เอกแห่งสำนักดาบทำหน้าขึงและแค่นหัวเราะ
“ฮะ ฮ้า ข้าไม่รู้ว่าอะไรทำให้ท่านโกรธมากขนาดนี้ แต่ขอถามหน่อยเถิดว่าใครเชื้อเชิญให้ท่านมาเป็นพยานรู้เห็นการประลองยุทธ์ในรุ่งอรุณของวันนี้ เราผู้เป็นศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะทุกคน ไม่มีใครจ-ได้ว่าเชื้อเชิญท่านตั้งแต่เมื่อไร แต่เอ...หรือว่ามูซาชิจะเป็นคนเชิญ”
“หยุดพูดได้แล้ว ตอนที่พวกเจ้ากับมูซาชิตกลงนัดประลองยุทธ์กันและปักป้ายประกาศที่โรคุโจ ข้าได้บอกกับสองฝ่ายว่าจะมาเป็นพยาน”
“ใช่ ตอนนั้นข้าได้ยินท่านบอก แต่ก็ไม่เห็นว่ามูซาชิจะขอร้องท่านแต่อย่างใด และดูท่าแล้วก็ไม่น่าจะต้องการให้ท่านมาเป็นพยานรู้เห็นแม้แต่น้อย นี่ก็เท่ากับว่าท่านอยากมาเองโดยไม่มีใครขอ อุตส่าห์เสนอตัวเข้ามาอยู่ในฉากที่ตนไม่มีบทบาทอะไรจะแสดง อย่างนี้เขาเรียกว่าพวกแกว่งเท้าหาเสี้ยน ถ้าไม่เจ็บตัวเสียบ้างก็จะไม่สำนึก”
“ปากดีนักใช่ไหม”
โคจิโรระเบิดออกมาด้วยความโกรธจัด และลืมตัวไม่สงวนท่าทีวางมาด
“มาทางไหนกลับไปทางนั้น นี่ไม่ใช่การแสดงให้ใคร ๆ ดูเล่น”
มิอิเกะศิษย์เอกไล่กันตรง ๆ
“ก็ได้”
โคจิโรกลั้นใจตอบด้วยความโกรธจนหน้าเขียว แล้วสะบัดหน้าไปทางหนึ่งทันที แต่ไม่ลืมทิ้งท้ายด้วยเสียงกร้าวว่า แล้วจะได้เห็นดีกัน
แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเดินกลับไปทางเดิม ก็ถูกท่านเก็นซะแห่งมิบุที่เพิ่งเดินตามมิอิเกะมาถึงรีบเรียกเอาไว้
“รอเดี๋ยว พ่อหนุ่ม”
“ข้าไม่มีธุระอะไรกับท่าน บอกแล้วไงว่าให้คอยดู ใครดูหมิ่นข้าจะได้เห็นดี”
“อย่าพูดอย่างนั้น หยุดแล้วฟังข้าก่อน”
นักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุถลันออกไปขวางหน้าเจ้าหนุ่มนักดาบเอาไว้ทั้งที่ยังหายใจหอบที่วิ่งตามมาแต่ไกล
“ข้าเป็นลุงของเซจูโร และรู้ดีว่าท่านคือใคร หลานบอกข้าว่าท่านเป็นนักรบฝีมือดีและปัญญาเลิศ อย่าไปถือสาหาความศิษย์สำนักพวกนั้นเลย เพราะกำลังตื่นเต้นและเคร่งเครียด ไม่ได้ประสงค์ร้ายจริงจังกับท่านหรอก ข้าขอโทษแทนพวกนั้นก็แล้วกัน ยกโทษให้ด้วยเถิด”
“ท่านผู้เฒ่าอย่าลดลงตัวมาขอโทษขอโพยข้าเช่นนั้นเลย ข้าเคยสนิทชิดเชื้อกับท่านเซจูโรที่โรงฝึกวิชาดาบชิโจมานาน แม้จะไม่ได้ช่วยเป็นนักดาบมือรองในการประลองยุทธ์ แต่เราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน อย่างนี้แล้วจะไม่ให้ข้าบันดาลโทสะได้อย่างไร ที่อยู่ ๆ ก็มาพูดจาดูหมิ่นน้ำใจกัน”
“ข้าเข้าใจ มันก็น่าโกรธอยู่หรอก แต่ก็ขอให้เห็นใจคนที่กำลังเครียดจนหน้ามืดตามัวด้วยเถิด อย่าไปใส่ใจกับคำพูดพวกนั้นเลย ปล่อยให้ลอยไปตามลมไปเสีย ขอให้เห็นแก่เซจูโร กับเด็นชิจิโรด้วยเถิดนะพ่อหนุ่ม”
ท่านเก็นซะแห่งมิบุปลอบโยนเจ้าหนุ่มนักดาบที่กำลังพลุ่งพล่านด้วยความโกรธ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนหมายให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้น
2
ท่านเก็นซะแห่งมิบุไม่ได้คิดที่จะพึ่งพาโคจิโรให้มาเป็นนักดาบมือรองในการประลองยุทธ์ครั้งนี้ เพราะได้จระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้พร้อมเพรียงแล้ว แต่ที่ต้องเข้ามาไกล่เกลี่ยและพูดจาเอาใจนั้น คงเพราะเกรงว่าเจ้าหนุ่มนักดาบคนนี้อาจล่วงรู้ถึงแผนสกปรกของพวกตนแล้วนำไปแพร่งพรายกระจายข่าว
“ลืมเสียเถิดนะ อย่าเก็บเอามาเป็นอารมณ์เลย ข้าขอร้อง”
นักดาบผู้เฒ่ากล่าวเชิงขอโทษไม่ขาดปาก โคจิโรหายโมโหแล้วจึงห้ามเอาไว้
“พอเถิด ท่านผู้สูงอายุมาก้มศีรษะขอโทษอยู่อย่างนี้ข้าผู้อ่อนวัยกว่าทำอะไรไม่ถูกแล้ว เลิกขอโทษข้าเสียที”
โคจิโรเจ้าหนุ่มนักดาบอารมณ์ดีขึ้นจนเป็นปกติ หันไปทางกลุ่มศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะแล้วกล่าวมธุรสวาจาตามถนัดให้กำลังใจเหล่านักดาบ พร้อมกับสาบแช่งมูซาชิผู้เป็นศัตรู
“ข้ากับท่านเซจูโรมีความสัมพันธ์อันดีกันมาแต่เดิม และอย่างที่บอกข้าไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับมูซาชิเลย จึงเป็นธรรมดาที่ข้าจะต้องอยากให้สำนักโยชิโอกะที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันได้รับชัยชนะ ไม่ใช่มูซาชิที่ข้าไม่รู้จัก เป็นความผิดพลาดของข้าแท้ ๆ ที่ปล่อยให้พวกเราปราชัยถึงสองครั้ง โรงฝึกวิชาดาบชิโจต้องสลายตัวและเกียรติภูมิของตระกูลโยชิโอกะถูกเหยียบย่ำทำลาย ...ข้าทนดูอยู่ไม่ได้ แม้จะมีการรบทัพจับศึกมามากมายตั้งแต่โบราณกาล ก็ไม่เคยเห็นหรือได้ยินโศกนาฏกรรมเช่นนี้มาก่อน เราจะปล่อยให้ สำนักดาบที่เคยมีเจ้าสำนักเป็นถึงที่ปรึกษาวิชาดาบของตระกูลมุโรมาจิ ต้องเผชิญกับชะตากรรมอันน่าสลดใจเช่นนี้ด้วยน้ำมือของนักดาบบ้านนอกนิรนามเพียงคนเดียวได้อย่างไร”
โคจิโรพูดใส่อารมณ์ เลือดวัยหนุ่มฉีดแรงจนเจ้าตัวรู้สึกหูร้อนผ่าวและคงแดงเรื่อ ทุกคนรวมทั้งท่านเก็นซะแห่งมิบุถูกสะกดด้วยโวหารอันคมคายจนเงียบไปตาม ๆ กัน มิอิเกะศิษย์เอกและศิษย์คนอื่น ๆ ต่างหน้าจ๋อยด้วยความสำนึกผิดที่ไปกล่าวคำหยาบคายขนาดนั้นกับโคจิโระซึ่งประสงค์ดีกับพวกตน
เมื่อเห็นบรรยากาศพลิกผันไปเช่นนั้น โคจิโรก็ได้ใจใส่อารมณ์ร้อนแรงลงไปอีกราวกับนักปาฐกถาปากกล้า
“ในอนาคต ข้าก็เป็นคนหนึ่งที่กำลังมานะพยายามที่จะตั้งสำนักดาบที่มีวิทยายุทธ์อันแข็งแกร่งขึ้นมาเป็นของตนเอง ที่ข้าไปดูการประลองยุทธ์กับพวกชาวบ้านนั้น ไม่ใช่เพราะความอยากรู้อยากเห็นเช่นเดียวกับคนอื่น แต่การที่ได้ดูการประลองยุทธ์ด้วยตาตนเองนั้นเป็นการเรียนรู้ที่มีคุณค่ามาก แต่เท่าที่ได้ดูการประลองยุทธ์ของสำนักดาบโยชิโอกะกับมูซาชิผ่านมาจนถึงวันนี้ ข้าต้องยอมรับว่าหงุดหงิดจนแทบทนไม่ไหว ที่ทำไมมูซาชิจึงหนีรอดไปได้ทั้งที่วัดเรนเงโออินและวัดเรนไดจิโนจิ โดยที่พวกเจ้าอยู่กันพร้อมหน้า ข้าไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกเจ้าที่ปล่อยให้มูซาชิลอยนวลอยู่ในนครหลวงทั้งที่ฟันครูดาบของอันเป็นที่เคารพรักสิ้นชีพไปต่อหน้าต่อตา”
โคจิโรเลียริมฝีปากที่แห้งผากก่อนสาธยายต่อ
“ใช่ มูซาชิจะต้องเป็นนักดาบพเนจรที่แข็งแกร่งและโหดเหี้ยมอย่างน่าสะพรึงกลัว ข้ารู้ดีหลังจากที่ได้พบมาแล้วครั้งสองครั้ง จริง ๆ แล้วจะว่าแส่ไม่เข้าเรื่องก็คงได้ เพราะสองสามวันมานี้ข้าได้เริ่มสืบหาเรื่องราวของนักดาบพเนจรที่ชื่อมูซาชิคนนี้ว่าเป็นใครมาจากแส่นแคว้นไหน และได้พบกับสาวน้อยคนหนึ่งที่รู้จักกับมูซาชิตั้งแต่เจ้านั่นอายุ 17 และนั่นคือเบาะแสสำคัญ”
โคจิโรปิดชื่ออาเกมิเอาไว้
“ข้าถามแม่สาวน้อยคนนั้นและสืบหาความจริงเพิ่มเติมมาประกอบกัน จึงได้รู้ว่ามูซาชิเป็นลูกชายคนเล็กของซามูไรท้องถิ่นในแคว้นซากุ หลังกลับจากสมรภูมิเซกิงาฮาระ ก็ไปอาละวาดราวกับสัตว์ป่าที่บ้านเกิดวุ่นวายกันไปทั้งหมู่บ้าน จนถูกขับออกมาร่อนเร่พเนจรไปทั่วไม่มีใครปราบให้อยู่มือได้ แต่ถ้าพูดถึงฝีมือดาบนั้นจะว่าอยู่ในระดับอัจฉริยะก็ได้ หรือจะว่าแข็งแกร่งราวสัตว์ป่ากระหายเลือดก็ได้อีก มูซาชิเป็นคนกล้าอย่างชนิดที่เรียกว่าบ้าบิ่นไม่กลัวตาย
ดังนั้น ใครที่ประลองยุทธ์กับมูซาชิจะไม่มีวันเอาชนะได้ด้วยเชิงดาบธรรมดา แต่จะต้องใช้กลยุทธ์ที่ชาญฉลาดเช่นเดียวกับการพิชิตสัตว์ร้ายด้วยกับดัก ข้าจึงขอบอกเอาไว้ก่อนว่าพวกเจ้าต้องคิดและมองศัตรูให้ถ่องแท้ก่อนที่จะลงสนามต่อสู้”
เจ้าหนุ่มนักดาบนักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุแสดงความเห็นชอบและขอบคุณในความหวังดี เจ้าหนุ่มนักดาบก้มศีรษะรับก่อนทิ้งท้ายว่า
“เท่าที่เห็นพวกท่านก็เตรียมพร้อมกันอย่างรัดกุมเต็มที่แล้วศัตรูคงจะหนีรอดไปไม่ได้ แต่เพื่อความมั่นใจข้าว่าถ้ามีแผนที่ล้ำลึกไปกว่านี้ก็จะดี”