นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ดวงจันทร์ยังลอยคว้างอยู่กลางเวหา
จะบอกว่าเช้าแล้วก็เร็วเกินไป เงาดำ ๆ ของตัวเองทาบทับลงไปบนพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาว ๆ ดูประหลาด
“ข้าว่าน้อยเกินคาดนะ”
“อือ คนที่ไม่คุ้นหน้าก็เยอะ ราวร้อยสี่ห้าสิบคนเห็นจะได้”
“น่าจะเหลือสักแค่ครึ่งสำนัก”
“นั่นไง เก็นซาเอมอนศิษย์เอกมาแล้ว ลูกศิษย์ตามมาเป็นพรวน รวมพวกญาติ ๆ เข้าไปด้วยแล้วเข้าไปด้วยแล้วข้าว่าคงจะแค่ร้อยหกเจ็ดสิบ”
“ตระกูลโยชิโอกะจะไปรอดไหมเนี่ย ขาดเซจูโรกับเด็นชิจิโรที่เป็นสองเสาหลักไปอย่างนี้ นี่ละมังที่เขาเรียกว่าสู้เพื่อกู้หน้า”
กลุ่มเงาดำ ๆ ซุบซิบกัน พออีกกลุ่มเงาหนึ่งที่นั่งรวมตัวกันอยู่ที่ทรากกำแพงหินได้ยินก็ซุบซิบกันต่อ
“พวกนั้นเขาก็นักรบ ถึงคราวสู้ก็ต้องสู้กันซีน่า คนเราจะสู้กัน ไม่ชนะก็ต้องแพ้กันไปข้างหนึ่ง จำนวนไม่สำคัญละมัง” คนหนึ่งในกลุ่มนี้พูดโกรธ ๆ จงใจให้กลุ่มนั้นได้ยิน
“ใครไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา...เจ้าว่าไหม ถ้าสำนักดาบสลายตัวก็เป็นธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ต้องคิดถึงวิถีชีวิต คิดถึงอนาคตของตัวเอง...และที่เห็นมาชุมนุมกันที่นี่ก็มีเพียงศิษย์ที่ยังจงรักภักดีต่อสำนักและยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนเท่านั้น”
“คนยิ่งมากเป็นร้อยสองร้อยก็ยิ่งมากความ เกะกะยุ่งเหยิงกันไปใหญ่ คนที่จะสู้กับเขาจริง ๆ มีแค่คนเดียว”
“ฮะ ฮะ ฮะ ก็ยังอวดดีกันอยู่นั่น ดูตอนประลองยุทธ์กันที่เร็งเงโออินสิ เห็นอยู่กันเป็นสิบยี่สิบ แต่มูซาชิก็ยังลอยนวลออกมาได้
เทือกเขาเออิซัน เทือกเขาอิจิโจจิ ยอดเขาเนียวอิงาทาเกะ และเทือยกเขาใหญ่น้อยที่สลับสล้างอยู่ในฉากหลัง ยังหลับสนิทอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆที่นุ่มฟูราวผ้านวมจากสรวงสวรรค์
สนต้นสูงใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าต้นสนแห่งยาบุโนะโกยืนต้นสูงเด่นอยู่ตรงหัวแยกของทางสามแพร่ง ทางหนึ่งที่แยกออกไปจากทางเดินเขาสองแพร่ง เป็นทางเดินไปยังบริเวณที่เคยเป็นวัดอิจิโจจิในอดีต
ต้นสนแห่งยาบุโนะโกแผ่กิ่งก้านราวร่มคันมหึมาบดบังแสงจันทร์ยามเช้า วัดอยู่เชิงเขาอิจิโจจิทางขึ้นจึงลาดชันและขรุขระไปด้วยก้อนหินก้อนกรวด ยามฝนตกธารน้ำที่แห้งผากอยู่หลายสายก็จะฟื้นตัวขึ้นมาไหลรินสักทีหนึ่ง
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะมากหน้าหลายตามารวมตัวกันอยู่ที่ต้นสนแห่งยาบุโนะโก ยุบยับราวฝูงปูชวนกันมาจับจองพื้นที่ชมจันทร์ได้ครู่ใหญ่แล้ว
“ตรงนี้เป็นทางสามแพร่ง มูซาชิจะมาจากทางไหนนั้นเป็นเรื่องน่าคิด เราควรแยกกองกำลังออกเป็นสามส่วนซุ่มดูระหว่างทางเดินเข้ามาที่นี่ และที่ใต้ต้นสนตรงนี้ควรให้บรรดาศิษย์เอกฝีมือดีคอยเฝ้าระวังท่านเก็นจิโร กับท่านเก็นซะแห่งมิบุสักสิบนาย คงต้องขอให้ท่านมิอิเกะและท่านอูเอดะช่วยประจำที่จุดนี้”
พอศิษย์สำนักฝ่ายวางแผนนายหนึ่งพูดจบ อีกนายหนึ่งก็ค้านขึ้นและเสนอว่า
“คงไม่เหมาะละมังเพราะตรงนี้เป็นที่แคบ หากวางกำลังกระจุกตัวกันอยู่มากคนในจุดเดียว จะเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องตัว เกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นเป็นต้องวิ่งชนกันนัวเนีย ทางที่ดีเราควรถอยไปซุ่มอยู่ห่างสักระยะหนึ่ง ปล่อยให้มูซาชิชะล่าใจเดินผ่านไปก่อนแล้วจึงลุกฮือขึ้นมาล้อมหน้าล้อมหลังพร้อมกันทีเดียว รับรองอยู่มือเราแน่”
เพื่อได้ฟังศิษย์สำนักดาบทั้งกองทัพต่างกระเหี้ยนกระหือรือ ชูดาบชูทวนส่งเสียงร้องเรียกกำลังกันพร้อมเพรียง ด้วยความฮึกเหิม อาวุธน่าเกรงขามสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายเฉียบคมเสียดแทงขึ้นไปบนสวรรค์ และในกองทัพโยชิโอกะย่อมไม่มีนักรบขี้ขลาดเลยสักคน
“มาแล้ว มาแล้ว”
แม้จะรู้ว่ายังเร็วกว่าเวลานัดประลองยุทธ์ แต่เสียงกู่ก้องก็ทำให้กลุ่มเงาที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไหวตัวขนลุกขนชันขึ้นทั้งตัวและเงียบกริบราวนัดกันไว้
“ท่านเก็นจิโร”
“มาด้วยกระเช้าหามเหรอ”
“คงต้องอย่างนั้น ก็ท่านยังเด็ก”
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่จุดเดียว---โคมไฟสามสี่ดวงส่องแสงวอมแวมไหวตามแรงลมชายเขา เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาจากด้านโน้น
แสงจันทร์ยามเช้าข่มแสงโคมไฟให้ริบหรี่
2
“อืม พร้อมเพรียงกันดี”
นักดาบผู้เฒ่าก้าวลงจากกระเช้าหามคันหนึ่ง ส่วนหนุ่มน้อยอายุราวสิบสามสิบสี่ก้าวลงมาจากอีกคันหนึ่ง
เก็นซาเอมอนและกับเก็นจิโรลูกชายผู้มาถึงด้วยกระเช้าหาม คาดหน้าผากด้วยแถบผ้าสีขาว พันน่องขึ้นมาสูงในชุดประจันบาน
“เก็นจิโร”
นักดาบผู้เฒ่าเรียกลูกชายและสั่งว่า “เจ้าจงไปยืนนิ่ง ๆ อยู่ที่โคนต้นสนนั่น แล้วอย่าไปไหนเข้าใจไหม”
หนุ่มน้อยพยักหน้า
นักดาบผู้เฒ่าลูบหัวลูกชายเชิงให้กำลังใจพร้อมกับบอกว่า
“วันนี้ เจ้าเป็นคู่ประลองยุทธ์แต่ในนาม คนที่จะต่อสู้จริง ๆ คือบรรดาศิษย์สำนักดาบของเรา เจ้ายังเด็กนักขอให้ยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นเป็นพอ”
เก็นจิโรพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนเดินไปยืนที่โคนต้นสน ท่วงท่าของหนุ่มน้อยงามสง่าน่าเอ็นดูราวกับตุ๊กตาเทศกาลเด็กผู้ชายในเดือนห้า
“ยังอีกนานกว่าจะสว่าง”
นักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุคลำที่เอวและดึงกล้องยาสูบอันยาวออกมาถามหาไฟจุดสูบ จงใจแสดงให้พลพรรคเห็นว่าจิตใจของตนนั้นแกร่งกร้าวไม่ได้กลัวเกรงศัตรูไม่ว่าจะหน้าไหนทั้งสิ้น
มิอิเกะศิษย์เอกก้าวออกมาจากกลุ่มนักดาบและบอกว่า
“ท่านผู้เฒ่าแห่งมิบุขอรับ หินเหล็กไฟสำหรับจุดยาสูบนั้นมีอยู่มากหลาย แต่ข้าอยากขอให้ท่านจัดแบ่งกำลังพลเสียก่อนเป็นอย่างแรก”
“อืม ก็สมเหตุสมผลดี”
นักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเซจูโรเจ้าสำนักโยชิโอกะคนก่อน ยินดีให้ลูกชายลงประลองยุทธ์กับ มูซาชิแม้แต่ในนามก็แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจดีแห่งตน และทำตามข้อเสนอของศิษย์เอกโดยไม่บ่นสักคำ
“ถ้างั้นเราก็รีบจัดแบ่งกองกำลังตั้งรับศัตรูกันเลยจะช้าอยู่ใย แต่นักดาบของเรามากันมากมายอย่างนี้จะจัดแบ่งอย่างไรจึงจะดี”
“เราตกลงกันว่าจะกระจายกำลังจากต้นสนแห่งยาบุโนะโก ไปซุ่มตัวอยู่เป็นระยะ ๆ ห่างกันราวยี่สิบก้าว ที่สองฟากทางสามแพร่ง”
“แล้วตรงนี้ล่ะ”
“ตัวข้าเอง ท่านผู้เฒ่า และศิษย์เอกอีกราวสิบคนจะอยู่ข้าง ๆ ท่านเก็นจิโร ไม่ใช่เพื่ออารักขาอย่างเดียว แต่จะกรูเข้าไปสบทบกับกองกำลังบนเส้นทางสายใดสายหนึ่งทันทีที่ทางนั้นส่งสัญญาณมา เพื่อพิฆาตศัตรูให้สิ้นชื่อ”
“ช้าก่อน”
นักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุนิ่งคิดด้วยความสุขุมรอบคอบสมกับเป็นผู้ช่ำชองกระบวนยุทธ์
“เราไม่รู้ว่ามูซาชิจะผ่านมาทางใด ถ้าเรากระจายกำลังอย่างที่ท่านว่า เราจะมีนักดาบราวยี่สิบคนเท่านั้นที่เข้าโจมตีได้ทันที ณ จุดที่มูซาชิผ่านเข้ามา”
“แต่พวกเราก็จะกรูเข้าไปล้อมไว้ได้ในทันทีนะขอรับ”
“ไม่นะ เราจะมั่นใจได้ยังไงว่ามูซาชิจะมาคนเดียว จงอย่างประมาทข้าว่านักดาบคนนี้จะต้องมีพรรคพวกตามมาด้วยแน่นอน และอีกอย่างมูซาชินั้น ข้าไม่รู้ว่าฝีดาบจะคมกริบขนาดไหน แต่ที่แน่ ๆ คือศัตรูของเราผู้นี้หนีเอาตัวรอดได้อย่างชาญฉลาด เจ้าจำการประลองยุทธ์ที่วัดเร็งเงโออินในวันหิมะตกไม่ได้รึ พอล้มเด็นชิจิโรได้สำเร็จก็หายวับไปกับตา แสดงว่ามูซาชิเป็นนักดาบผู้รอบรู้ตำรับวิชัยสงครามว่าด้วยการหนีอย่างถ่องแท้คนหนึ่ง
คราวนี้ก็เช่นกัน เมื่อผ่านมาทางใดก็ตามและถูกรุมล้อมมูซาชิก็จะฟาดฟันทำเอาฝ่ายเราบาดเจ็บสักสามสี่คนแล้วถอยไป หลังจากนั้นก็ไปโพนทะนาว่าได้ประดาบกับศิษย์สำนักโยชิโอกะเจ็ดสิบแปดสิบนาย ที่ต้นสนแห่ง ยาบุโนะโกตามคำท้าประลองยุทธ์ และได้ชัยชนะกลับมา เจ้าว่ามันคุ้มไหม”
“พวกเราจะไม่ยอมให้มูซาชิทำอย่างที่ท่านว่าแน่นอน”
“เราจะเถียงกันทำไมให้เสียเวลา ในเมื่อความจริงมีอยู่ว่าแม้มูซาชิจะยกพวกสักกี่คนมาเป็นมือดาบสำรองยามเพลี่ยงพล้ำ แต่ชาวบ้านก็ตระหนักดีอยู่ว่าการประดาบกันครั้งนี้เป็นการประลองยุทธ์ระหว่างมูซาชิคนเดียวกับโยชิโอกะทั้งสำนัก และหากเราชนะท่านคิดว่าจะมองหน้าชาวบ้านได้รึ มูซาชิย่อมได้รับความเห็นใจจากสังคมไปเต็ม ๆ”
“ข้าเข้าใจละ หัวใจของการประลองยุทธ์ครั้งนี้คือจะปล่อยให้มูซาชิรอดชีวิตออกไปจากสมรภูมิต้นสนแห่ง ยาบุโนะโกแห่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“ใช่”
“ท่านไม่ต้องกล่าวซ้ำข้าก็เข้าใจ หากเกิดเหตุหนึ่งในหมื่นที่ทำให้เราพลาดปล่อยมูซาชิรอดเงื้อมมือไปได้ จากนั้นไม่ว่าจะพยายามเพียงไรแม้จนเลือดตากระเด็น เราก็ไม่อาจลบมลทินออกจากชื่อสำนักโยชิโอกะอันยิ่งใหญ่ของเราได้ ดังนั้น ณ อรุณรุ่งของวันนี้เราจะต้องสังหารมูซาชิให้สิ้นชื่อไม่ว่าจะด้วยกลยุทธ์ใดก็ตาม เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าคนตายไม่พูด ฉะนั้นถ้าเราฆ่าเสีย มูซาชิก็ไม่มีโอกาสได้ไปโพนทะนาให้ชาวบ้านล่วงรู้กลอุบายของเรา”
ว่าแล้วมิอิเกะก็กวาดสายตาไปยังกลุ่มศิษย์สำนักดาบที่มารวมตัวอยู่รายรอบ และขานชื่อเรียกออกมาสี่ห้าคน
3
ศิษย์นักดาบทั้งสี่ที่ก้าวออกมาจากกลุ่ม สามนายถือคันธนูขนาดเล็กและอีกคนหนึ่งถือปืน
“เราพร้อมแล้ว”
มิอิเกะพยักหน้าแล้วหันไปทางนักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุ
“ท่านขอรับ ความจริงข้าเตรียมพลพรรคกลุ่มนี้เอาไว้ก่อนแล้ว ท่านคิดว่ายังไง”
“อืม ทั้งธนูและปืนเป็นอาวุธสำหรับโจมตีระยะไกล”
“เราจะให้กองกำลังกลุ่มนี้ซุมอยู่ตามที่สูง อย่างบนต้นไม้”
“ใครรู้เข้าจะไม่ลือกันไปทั่วรึว่าเราเล่นสกปรก”
“ท่านขอรับ จนป่านนี้แล้วจะมัวคิดอะไรกับขี้ปากชาวบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือทำยังไงจึงจะฆ่ามูซาชิให้ได้ เมื่อเราได้ชัยชนะแล้วจะสร้างชื่อขึ้นมายังไงก็ได้ แต่ถ้าแพ้ก็จะทำได้แค่ซ่อนหน้าร่ำไห้ออกไปสู้หน้าชาวบ้านไม่ได้อย่างเดียว ณ บัดนี้เราต้องคิดอย่างเดียวเลยว่าสำนักดาบโยชิโอกะต้องชนะ และฆ่ามูซาชิให้ได้ขอรับ”
“เอาละ ถ้าพวกเจ้าแสดงเจตนารมย์แน่วแน่เช่นนั้น ข้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาคัดง้างได้อีก หากมูซาชิจะมีพรรคพวกมาคุ้มกันสักห้าหกคน พลธนูและพลปืนของเราก็คงสะกัดเอาไว้ไม่ให้หนีเอาตัวรอดออกไปได้ ข้าว่าเราเลิกถกเถียงกันได้แล้ว เผลอ ๆ จะกลับเป็นฝ่ายถูกโจมตีเอาก่อนไม่รู้ตัว เจ้าจัดการเรื่องกระจายกำลังพลทันทีตามแผนที่วางไว้ได้เลย”
พอสิ้นเสียงนักดาบผู้เฒ่า ศิษย์เอกผู้นำทัพก็ออกคำสั่งให้ปฏิบัติสวนขึ้นทันที
เงาดำ ๆ ของนักดาบอาวุธครบมือวิ่งกรูกันออกไปราวฝูงห่านป่าที่ได้ยินเสียงปืนของนายพราน กระจายตัวไปประจำคอยดักศัตรูอยู่ตามจุดที่ได้นัดหมายกันไว้แล้วบนเส้นทางสามแพร่ง บ้างเข้าไปหลบหลังเงาต้นไม้ใหญ่ บ้างหมอบลงกับพื้นเหมือนกบตามท้องนา ส่วนศิษย์เอกราวสิบคนเข้าไปยึดพื้นที่ใต้ต้นสนแห่งยาบุโนะโกเป็นศูนย์บัญชาการ
ไกลออกไปเห็นเงาดำ ๆ พกคันธูและลูกศรไต่เดี่ยขึ้นไปบนต้นไม้ ต้นนั้นต้นนี้สามต้นที่ทางสามแพร่ง ส่วนชายถือปืนปีนขึ้นไปซุ่มอยู่บนคาคบต้นสนแห่งยาบุโนะโก แล้วก็ต้องหลบเงาแสงจันทร์เป็นพัลวันเข้าไปในพุ่มใบสน
ใบสนและเปลือกไม้แห้ง ๆ ร่วงกราว เก็นจิโรที่ยืนนิ่งราวตุ๊กตาเดือนห้าอยู่ใต้ต้น ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุจึงตกใจตัวสั่นเทาขณะยกแขนเสื้อขึ้นปิดป้อง กิริยานั้นไม่พ้นสายตาของนักดาบแห่งมิบุผู้พ่อที่จับจ้องเขม็ง
“ตัวสั่นรึ ข้าจำได้ว่าไม่เคยมีลูกขี้ขลาด”
“ลูกไม่ได้กลัว ใบไม้มันตกลงไปในเสื้อก็เลยตัวสั่นเท่านั้นเอง”
“ก็ดี วันนี้เจ้าจะได้มีประสบการณ์ที่มีคุณค่า อีกไม่นานการประลองยุทธก็จะเริ่มขึ้น เจ้าตั้งใจดูให้ดี”
ทันใดนั้นเองทุกคนก็ได้ยินใครคนหนึ่งสบถเสียงดังลั่นมาจากทางแพร่งด้านตะวันออกสุด พร้อมกับเสียงต้นไผ่ในกอเสียดสีกันรุนแรงตามมา
เก็นจิโรผวาเข้ากอดเอวบิดาเอาไว้แน่น
“ท่านพ่อ ลูกกลัว”
มิอิเกะขยับตัวร้องเสียงดังว่ามาแล้ว แล้ววิ่งปราดไปที่ต้นเสียงทันที แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าคนที่ยืนนิ่วคิ้วขมวด ปัดมือไล่ฝุ่นไปตามตัวเสื้อกิโมโนตัวงามล้ำสมัย...ซาซากิ โคจิโรนั่นเอง
“ไม่มีตารึยังไง สถานการณ์กำลังเข้าได้เข้าเข็มอยู่แท้ ๆ ไม่รู้จักตั้งสมาธิให้ดี มีอย่างรึเห็นข้าเป็นมูซาชิไปได้ ทั้งที่วันก่อนตอนข้าจัดการเรื่องประลองยุทธ์ก็เห็นอยู่กันพร้อมหน้า ช่างไม่รู้ตามาตาเรือเอาเลย ข้ามาเป็นพยานการประลองยุทธ์ให้แท้ ๆ เกือบจะต้องเอาชีวิตมาสังเวยปลายทวนเสียแล้ว”
ยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะยิ่งเดือดดาล ส่วนศิษย์สำนักโยชิโอกะต่างผงะกันเป็นแถว เมื่อเห็นกิโมโนลวดลายฉูดฉาดและก็จำได้ว่าเป็นใคร
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ดวงจันทร์ยังลอยคว้างอยู่กลางเวหา
จะบอกว่าเช้าแล้วก็เร็วเกินไป เงาดำ ๆ ของตัวเองทาบทับลงไปบนพื้นดินที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาว ๆ ดูประหลาด
“ข้าว่าน้อยเกินคาดนะ”
“อือ คนที่ไม่คุ้นหน้าก็เยอะ ราวร้อยสี่ห้าสิบคนเห็นจะได้”
“น่าจะเหลือสักแค่ครึ่งสำนัก”
“นั่นไง เก็นซาเอมอนศิษย์เอกมาแล้ว ลูกศิษย์ตามมาเป็นพรวน รวมพวกญาติ ๆ เข้าไปด้วยแล้วเข้าไปด้วยแล้วข้าว่าคงจะแค่ร้อยหกเจ็ดสิบ”
“ตระกูลโยชิโอกะจะไปรอดไหมเนี่ย ขาดเซจูโรกับเด็นชิจิโรที่เป็นสองเสาหลักไปอย่างนี้ นี่ละมังที่เขาเรียกว่าสู้เพื่อกู้หน้า”
กลุ่มเงาดำ ๆ ซุบซิบกัน พออีกกลุ่มเงาหนึ่งที่นั่งรวมตัวกันอยู่ที่ทรากกำแพงหินได้ยินก็ซุบซิบกันต่อ
“พวกนั้นเขาก็นักรบ ถึงคราวสู้ก็ต้องสู้กันซีน่า คนเราจะสู้กัน ไม่ชนะก็ต้องแพ้กันไปข้างหนึ่ง จำนวนไม่สำคัญละมัง” คนหนึ่งในกลุ่มนี้พูดโกรธ ๆ จงใจให้กลุ่มนั้นได้ยิน
“ใครไม่อยากมาก็ไม่ต้องมา...เจ้าว่าไหม ถ้าสำนักดาบสลายตัวก็เป็นธรรมดาที่ใคร ๆ ก็ต้องคิดถึงวิถีชีวิต คิดถึงอนาคตของตัวเอง...และที่เห็นมาชุมนุมกันที่นี่ก็มีเพียงศิษย์ที่ยังจงรักภักดีต่อสำนักและยึดมั่นในอุดมการณ์ของตนเท่านั้น”
“คนยิ่งมากเป็นร้อยสองร้อยก็ยิ่งมากความ เกะกะยุ่งเหยิงกันไปใหญ่ คนที่จะสู้กับเขาจริง ๆ มีแค่คนเดียว”
“ฮะ ฮะ ฮะ ก็ยังอวดดีกันอยู่นั่น ดูตอนประลองยุทธ์กันที่เร็งเงโออินสิ เห็นอยู่กันเป็นสิบยี่สิบ แต่มูซาชิก็ยังลอยนวลออกมาได้
เทือกเขาเออิซัน เทือกเขาอิจิโจจิ ยอดเขาเนียวอิงาทาเกะ และเทือยกเขาใหญ่น้อยที่สลับสล้างอยู่ในฉากหลัง ยังหลับสนิทอยู่ท่ามกลางหมู่เมฆที่นุ่มฟูราวผ้านวมจากสรวงสวรรค์
สนต้นสูงใหญ่ที่ชาวบ้านเรียกกันว่าต้นสนแห่งยาบุโนะโกยืนต้นสูงเด่นอยู่ตรงหัวแยกของทางสามแพร่ง ทางหนึ่งที่แยกออกไปจากทางเดินเขาสองแพร่ง เป็นทางเดินไปยังบริเวณที่เคยเป็นวัดอิจิโจจิในอดีต
ต้นสนแห่งยาบุโนะโกแผ่กิ่งก้านราวร่มคันมหึมาบดบังแสงจันทร์ยามเช้า วัดอยู่เชิงเขาอิจิโจจิทางขึ้นจึงลาดชันและขรุขระไปด้วยก้อนหินก้อนกรวด ยามฝนตกธารน้ำที่แห้งผากอยู่หลายสายก็จะฟื้นตัวขึ้นมาไหลรินสักทีหนึ่ง
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะมากหน้าหลายตามารวมตัวกันอยู่ที่ต้นสนแห่งยาบุโนะโก ยุบยับราวฝูงปูชวนกันมาจับจองพื้นที่ชมจันทร์ได้ครู่ใหญ่แล้ว
“ตรงนี้เป็นทางสามแพร่ง มูซาชิจะมาจากทางไหนนั้นเป็นเรื่องน่าคิด เราควรแยกกองกำลังออกเป็นสามส่วนซุ่มดูระหว่างทางเดินเข้ามาที่นี่ และที่ใต้ต้นสนตรงนี้ควรให้บรรดาศิษย์เอกฝีมือดีคอยเฝ้าระวังท่านเก็นจิโร กับท่านเก็นซะแห่งมิบุสักสิบนาย คงต้องขอให้ท่านมิอิเกะและท่านอูเอดะช่วยประจำที่จุดนี้”
พอศิษย์สำนักฝ่ายวางแผนนายหนึ่งพูดจบ อีกนายหนึ่งก็ค้านขึ้นและเสนอว่า
“คงไม่เหมาะละมังเพราะตรงนี้เป็นที่แคบ หากวางกำลังกระจุกตัวกันอยู่มากคนในจุดเดียว จะเคลื่อนไหวได้ไม่คล่องตัว เกิดเหตุฉุกเฉินอะไรขึ้นเป็นต้องวิ่งชนกันนัวเนีย ทางที่ดีเราควรถอยไปซุ่มอยู่ห่างสักระยะหนึ่ง ปล่อยให้มูซาชิชะล่าใจเดินผ่านไปก่อนแล้วจึงลุกฮือขึ้นมาล้อมหน้าล้อมหลังพร้อมกันทีเดียว รับรองอยู่มือเราแน่”
เพื่อได้ฟังศิษย์สำนักดาบทั้งกองทัพต่างกระเหี้ยนกระหือรือ ชูดาบชูทวนส่งเสียงร้องเรียกกำลังกันพร้อมเพรียง ด้วยความฮึกเหิม อาวุธน่าเกรงขามสะท้อนแสงจันทร์เป็นประกายเฉียบคมเสียดแทงขึ้นไปบนสวรรค์ และในกองทัพโยชิโอกะย่อมไม่มีนักรบขี้ขลาดเลยสักคน
“มาแล้ว มาแล้ว”
แม้จะรู้ว่ายังเร็วกว่าเวลานัดประลองยุทธ์ แต่เสียงกู่ก้องก็ทำให้กลุ่มเงาที่เฝ้าสังเกตการณ์อยู่ไหวตัวขนลุกขนชันขึ้นทั้งตัวและเงียบกริบราวนัดกันไว้
“ท่านเก็นจิโร”
“มาด้วยกระเช้าหามเหรอ”
“คงต้องอย่างนั้น ก็ท่านยังเด็ก”
สายตาทุกคู่จับจ้องไปที่จุดเดียว---โคมไฟสามสี่ดวงส่องแสงวอมแวมไหวตามแรงลมชายเขา เคลื่อนตัวใกล้เข้ามาจากด้านโน้น
แสงจันทร์ยามเช้าข่มแสงโคมไฟให้ริบหรี่
2
“อืม พร้อมเพรียงกันดี”
นักดาบผู้เฒ่าก้าวลงจากกระเช้าหามคันหนึ่ง ส่วนหนุ่มน้อยอายุราวสิบสามสิบสี่ก้าวลงมาจากอีกคันหนึ่ง
เก็นซาเอมอนและกับเก็นจิโรลูกชายผู้มาถึงด้วยกระเช้าหาม คาดหน้าผากด้วยแถบผ้าสีขาว พันน่องขึ้นมาสูงในชุดประจันบาน
“เก็นจิโร”
นักดาบผู้เฒ่าเรียกลูกชายและสั่งว่า “เจ้าจงไปยืนนิ่ง ๆ อยู่ที่โคนต้นสนนั่น แล้วอย่าไปไหนเข้าใจไหม”
หนุ่มน้อยพยักหน้า
นักดาบผู้เฒ่าลูบหัวลูกชายเชิงให้กำลังใจพร้อมกับบอกว่า
“วันนี้ เจ้าเป็นคู่ประลองยุทธ์แต่ในนาม คนที่จะต่อสู้จริง ๆ คือบรรดาศิษย์สำนักดาบของเรา เจ้ายังเด็กนักขอให้ยืนนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้นเป็นพอ”
เก็นจิโรพยักหน้าอย่างว่าง่ายก่อนเดินไปยืนที่โคนต้นสน ท่วงท่าของหนุ่มน้อยงามสง่าน่าเอ็นดูราวกับตุ๊กตาเทศกาลเด็กผู้ชายในเดือนห้า
“ยังอีกนานกว่าจะสว่าง”
นักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุคลำที่เอวและดึงกล้องยาสูบอันยาวออกมาถามหาไฟจุดสูบ จงใจแสดงให้พลพรรคเห็นว่าจิตใจของตนนั้นแกร่งกร้าวไม่ได้กลัวเกรงศัตรูไม่ว่าจะหน้าไหนทั้งสิ้น
มิอิเกะศิษย์เอกก้าวออกมาจากกลุ่มนักดาบและบอกว่า
“ท่านผู้เฒ่าแห่งมิบุขอรับ หินเหล็กไฟสำหรับจุดยาสูบนั้นมีอยู่มากหลาย แต่ข้าอยากขอให้ท่านจัดแบ่งกำลังพลเสียก่อนเป็นอย่างแรก”
“อืม ก็สมเหตุสมผลดี”
นักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุผู้มีศักดิ์เป็นลุงของเซจูโรเจ้าสำนักโยชิโอกะคนก่อน ยินดีให้ลูกชายลงประลองยุทธ์กับ มูซาชิแม้แต่ในนามก็แสดงให้เห็นถึงความมีน้ำใจดีแห่งตน และทำตามข้อเสนอของศิษย์เอกโดยไม่บ่นสักคำ
“ถ้างั้นเราก็รีบจัดแบ่งกองกำลังตั้งรับศัตรูกันเลยจะช้าอยู่ใย แต่นักดาบของเรามากันมากมายอย่างนี้จะจัดแบ่งอย่างไรจึงจะดี”
“เราตกลงกันว่าจะกระจายกำลังจากต้นสนแห่งยาบุโนะโก ไปซุ่มตัวอยู่เป็นระยะ ๆ ห่างกันราวยี่สิบก้าว ที่สองฟากทางสามแพร่ง”
“แล้วตรงนี้ล่ะ”
“ตัวข้าเอง ท่านผู้เฒ่า และศิษย์เอกอีกราวสิบคนจะอยู่ข้าง ๆ ท่านเก็นจิโร ไม่ใช่เพื่ออารักขาอย่างเดียว แต่จะกรูเข้าไปสบทบกับกองกำลังบนเส้นทางสายใดสายหนึ่งทันทีที่ทางนั้นส่งสัญญาณมา เพื่อพิฆาตศัตรูให้สิ้นชื่อ”
“ช้าก่อน”
นักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุนิ่งคิดด้วยความสุขุมรอบคอบสมกับเป็นผู้ช่ำชองกระบวนยุทธ์
“เราไม่รู้ว่ามูซาชิจะผ่านมาทางใด ถ้าเรากระจายกำลังอย่างที่ท่านว่า เราจะมีนักดาบราวยี่สิบคนเท่านั้นที่เข้าโจมตีได้ทันที ณ จุดที่มูซาชิผ่านเข้ามา”
“แต่พวกเราก็จะกรูเข้าไปล้อมไว้ได้ในทันทีนะขอรับ”
“ไม่นะ เราจะมั่นใจได้ยังไงว่ามูซาชิจะมาคนเดียว จงอย่างประมาทข้าว่านักดาบคนนี้จะต้องมีพรรคพวกตามมาด้วยแน่นอน และอีกอย่างมูซาชินั้น ข้าไม่รู้ว่าฝีดาบจะคมกริบขนาดไหน แต่ที่แน่ ๆ คือศัตรูของเราผู้นี้หนีเอาตัวรอดได้อย่างชาญฉลาด เจ้าจำการประลองยุทธ์ที่วัดเร็งเงโออินในวันหิมะตกไม่ได้รึ พอล้มเด็นชิจิโรได้สำเร็จก็หายวับไปกับตา แสดงว่ามูซาชิเป็นนักดาบผู้รอบรู้ตำรับวิชัยสงครามว่าด้วยการหนีอย่างถ่องแท้คนหนึ่ง
คราวนี้ก็เช่นกัน เมื่อผ่านมาทางใดก็ตามและถูกรุมล้อมมูซาชิก็จะฟาดฟันทำเอาฝ่ายเราบาดเจ็บสักสามสี่คนแล้วถอยไป หลังจากนั้นก็ไปโพนทะนาว่าได้ประดาบกับศิษย์สำนักโยชิโอกะเจ็ดสิบแปดสิบนาย ที่ต้นสนแห่ง ยาบุโนะโกตามคำท้าประลองยุทธ์ และได้ชัยชนะกลับมา เจ้าว่ามันคุ้มไหม”
“พวกเราจะไม่ยอมให้มูซาชิทำอย่างที่ท่านว่าแน่นอน”
“เราจะเถียงกันทำไมให้เสียเวลา ในเมื่อความจริงมีอยู่ว่าแม้มูซาชิจะยกพวกสักกี่คนมาเป็นมือดาบสำรองยามเพลี่ยงพล้ำ แต่ชาวบ้านก็ตระหนักดีอยู่ว่าการประดาบกันครั้งนี้เป็นการประลองยุทธ์ระหว่างมูซาชิคนเดียวกับโยชิโอกะทั้งสำนัก และหากเราชนะท่านคิดว่าจะมองหน้าชาวบ้านได้รึ มูซาชิย่อมได้รับความเห็นใจจากสังคมไปเต็ม ๆ”
“ข้าเข้าใจละ หัวใจของการประลองยุทธ์ครั้งนี้คือจะปล่อยให้มูซาชิรอดชีวิตออกไปจากสมรภูมิต้นสนแห่ง ยาบุโนะโกแห่งนี้ไม่ได้เด็ดขาด”
“ใช่”
“ท่านไม่ต้องกล่าวซ้ำข้าก็เข้าใจ หากเกิดเหตุหนึ่งในหมื่นที่ทำให้เราพลาดปล่อยมูซาชิรอดเงื้อมมือไปได้ จากนั้นไม่ว่าจะพยายามเพียงไรแม้จนเลือดตากระเด็น เราก็ไม่อาจลบมลทินออกจากชื่อสำนักโยชิโอกะอันยิ่งใหญ่ของเราได้ ดังนั้น ณ อรุณรุ่งของวันนี้เราจะต้องสังหารมูซาชิให้สิ้นชื่อไม่ว่าจะด้วยกลยุทธ์ใดก็ตาม เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าคนตายไม่พูด ฉะนั้นถ้าเราฆ่าเสีย มูซาชิก็ไม่มีโอกาสได้ไปโพนทะนาให้ชาวบ้านล่วงรู้กลอุบายของเรา”
ว่าแล้วมิอิเกะก็กวาดสายตาไปยังกลุ่มศิษย์สำนักดาบที่มารวมตัวอยู่รายรอบ และขานชื่อเรียกออกมาสี่ห้าคน
3
ศิษย์นักดาบทั้งสี่ที่ก้าวออกมาจากกลุ่ม สามนายถือคันธนูขนาดเล็กและอีกคนหนึ่งถือปืน
“เราพร้อมแล้ว”
มิอิเกะพยักหน้าแล้วหันไปทางนักดาบผู้เฒ่าแห่งมิบุ
“ท่านขอรับ ความจริงข้าเตรียมพลพรรคกลุ่มนี้เอาไว้ก่อนแล้ว ท่านคิดว่ายังไง”
“อืม ทั้งธนูและปืนเป็นอาวุธสำหรับโจมตีระยะไกล”
“เราจะให้กองกำลังกลุ่มนี้ซุมอยู่ตามที่สูง อย่างบนต้นไม้”
“ใครรู้เข้าจะไม่ลือกันไปทั่วรึว่าเราเล่นสกปรก”
“ท่านขอรับ จนป่านนี้แล้วจะมัวคิดอะไรกับขี้ปากชาวบ้าน สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้คือทำยังไงจึงจะฆ่ามูซาชิให้ได้ เมื่อเราได้ชัยชนะแล้วจะสร้างชื่อขึ้นมายังไงก็ได้ แต่ถ้าแพ้ก็จะทำได้แค่ซ่อนหน้าร่ำไห้ออกไปสู้หน้าชาวบ้านไม่ได้อย่างเดียว ณ บัดนี้เราต้องคิดอย่างเดียวเลยว่าสำนักดาบโยชิโอกะต้องชนะ และฆ่ามูซาชิให้ได้ขอรับ”
“เอาละ ถ้าพวกเจ้าแสดงเจตนารมย์แน่วแน่เช่นนั้น ข้าก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาคัดง้างได้อีก หากมูซาชิจะมีพรรคพวกมาคุ้มกันสักห้าหกคน พลธนูและพลปืนของเราก็คงสะกัดเอาไว้ไม่ให้หนีเอาตัวรอดออกไปได้ ข้าว่าเราเลิกถกเถียงกันได้แล้ว เผลอ ๆ จะกลับเป็นฝ่ายถูกโจมตีเอาก่อนไม่รู้ตัว เจ้าจัดการเรื่องกระจายกำลังพลทันทีตามแผนที่วางไว้ได้เลย”
พอสิ้นเสียงนักดาบผู้เฒ่า ศิษย์เอกผู้นำทัพก็ออกคำสั่งให้ปฏิบัติสวนขึ้นทันที
เงาดำ ๆ ของนักดาบอาวุธครบมือวิ่งกรูกันออกไปราวฝูงห่านป่าที่ได้ยินเสียงปืนของนายพราน กระจายตัวไปประจำคอยดักศัตรูอยู่ตามจุดที่ได้นัดหมายกันไว้แล้วบนเส้นทางสามแพร่ง บ้างเข้าไปหลบหลังเงาต้นไม้ใหญ่ บ้างหมอบลงกับพื้นเหมือนกบตามท้องนา ส่วนศิษย์เอกราวสิบคนเข้าไปยึดพื้นที่ใต้ต้นสนแห่งยาบุโนะโกเป็นศูนย์บัญชาการ
ไกลออกไปเห็นเงาดำ ๆ พกคันธูและลูกศรไต่เดี่ยขึ้นไปบนต้นไม้ ต้นนั้นต้นนี้สามต้นที่ทางสามแพร่ง ส่วนชายถือปืนปีนขึ้นไปซุ่มอยู่บนคาคบต้นสนแห่งยาบุโนะโก แล้วก็ต้องหลบเงาแสงจันทร์เป็นพัลวันเข้าไปในพุ่มใบสน
ใบสนและเปลือกไม้แห้ง ๆ ร่วงกราว เก็นจิโรที่ยืนนิ่งราวตุ๊กตาเดือนห้าอยู่ใต้ต้น ไม่รู้ต้นสายปลายเหตุจึงตกใจตัวสั่นเทาขณะยกแขนเสื้อขึ้นปิดป้อง กิริยานั้นไม่พ้นสายตาของนักดาบแห่งมิบุผู้พ่อที่จับจ้องเขม็ง
“ตัวสั่นรึ ข้าจำได้ว่าไม่เคยมีลูกขี้ขลาด”
“ลูกไม่ได้กลัว ใบไม้มันตกลงไปในเสื้อก็เลยตัวสั่นเท่านั้นเอง”
“ก็ดี วันนี้เจ้าจะได้มีประสบการณ์ที่มีคุณค่า อีกไม่นานการประลองยุทธก็จะเริ่มขึ้น เจ้าตั้งใจดูให้ดี”
ทันใดนั้นเองทุกคนก็ได้ยินใครคนหนึ่งสบถเสียงดังลั่นมาจากทางแพร่งด้านตะวันออกสุด พร้อมกับเสียงต้นไผ่ในกอเสียดสีกันรุนแรงตามมา
เก็นจิโรผวาเข้ากอดเอวบิดาเอาไว้แน่น
“ท่านพ่อ ลูกกลัว”
มิอิเกะขยับตัวร้องเสียงดังว่ามาแล้ว แล้ววิ่งปราดไปที่ต้นเสียงทันที แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นหน้าคนที่ยืนนิ่วคิ้วขมวด ปัดมือไล่ฝุ่นไปตามตัวเสื้อกิโมโนตัวงามล้ำสมัย...ซาซากิ โคจิโรนั่นเอง
“ไม่มีตารึยังไง สถานการณ์กำลังเข้าได้เข้าเข็มอยู่แท้ ๆ ไม่รู้จักตั้งสมาธิให้ดี มีอย่างรึเห็นข้าเป็นมูซาชิไปได้ ทั้งที่วันก่อนตอนข้าจัดการเรื่องประลองยุทธ์ก็เห็นอยู่กันพร้อมหน้า ช่างไม่รู้ตามาตาเรือเอาเลย ข้ามาเป็นพยานการประลองยุทธ์ให้แท้ ๆ เกือบจะต้องเอาชีวิตมาสังเวยปลายทวนเสียแล้ว”
ยิ่งพูดก็ดูเหมือนจะยิ่งเดือดดาล ส่วนศิษย์สำนักโยชิโอกะต่างผงะกันเป็นแถว เมื่อเห็นกิโมโนลวดลายฉูดฉาดและก็จำได้ว่าเป็นใคร