xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม ตอน คืนก่อนวันประลองยุทธ์

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
โจทาโรตะโกนเรียกมูซาชิผู้เป็นครูสุดเสียง และพอรู้ตัวว่าร้องเรียกไปก็เปล่าประโยชน์ ก็ร้องไห้โฮออกมา เข่าทรุดลงไปคุกเข่าก้มหน้าซบร้องไห้สะอึกสะอื้นกับพื้นดิน
“... ... ...”
ใจอันซื่อตรงของหนุ่มน้อยที่ยังอยู่ในวัยไร้เดียงสาไม่ทันความคิดของผู้ใหญ่ คาดหวังในแง่ดีมาตลอดว่าเมื่อได้พบกับครูของตนหลังจากเที่ยวติดตามมานานวันแล้วแล้ว ทุกสิ่งจะเป็นไปอย่างราบรื่นและสมหวังกันทุกฝ่าย แต่เมือนการกลับมาเป็นเช่นนี้ แม้จะเข้าใจเหตุผลและจำต้องทำตาม แต่ความผิดหวังและเสียใจนั้นใหญ่หลวงนัก ที่สุดแล้วน้ำตาเท่านั้นคือทางออก
โจทาโรแผดเสียงร้องได้จนเสียงแหบแห้ง เปลี่ยนสะอื้นฮักจนตัวโยน
เงาของใครคนหนึ่งเคลื่อนไหวแวบ ๆ อยู่นอกประตูรั้วด้านหลังคงจะเป็นสาวรับใช้สักคนไปทำธุระข้างนอกและกลับมา เงานั้นชะงักเมื่อได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นด้วยความเศร้าเสียใจ จึงเดินเรียบกำแพงรั้วเข้ามาดู และพอเห็นว่าเป็นใครก็ร้องทักด้วยความสงสัย
“อ้าว... โจทาโร...นั่นโจทาโรไม่ใช่รึ”
โจทาโรเงยหน้าขึ้นมามองเมื่อถูกเรียกถึงสองครั้ง แล้วก็ต้องเบิกตาโตลืมสะอื้นไปอึดใจหนึ่ง
“โอซือเองเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซี ทำไมถึงมานั่งร้องไห้อยู่ตรงนี้”
“โอซือเองก็เถอะ ออกมาเดินข้างนอกทำไมเป็นคนป่วยแท้ ๆ”
“ยังจะมาถามอีกว่าทำไม ไม่รู้เลยรึว่าคนที่ข้าเป็นห่วงก็มีแต่เจ้า...โจทาโรคนเดียวนี่แหละ จะไปไหนทำไม่ไม่บอกข้า ถามคนที่คฤหาสน์ก็ไม่มีใครรู้ รอจนเย็นค่ำ ชาวบ้านเขาจุดตะเกียงจุดโคมไฟกันแล้วไม่เห็นกลับมา จนต้องออกมาตามนี่ไง เป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว”
“อ๋อ ออกมาตามหาข้าเองเหรอ”
“ก็ใช่นะซี คิดไปต่าง ๆ นา ๆ ว่าอาจไปมีเรื่องกับใครหรือว่าเป็นอะไรไป จะนอนก็หลับตาไม่ลง”
“โธ๋เอ๊ย คิดมากไปได้ คนไม่สบายออกมาโดนลมอย่างนี้เดี๋ยวก็จับไข้อีกหรอก เร็ว ๆ รีบกลับไปนอนเดี๋ยวนี้เลย”
“ช่างเถอะ ว่าแต่ทำไมถึงได้ร้องไห้อย่างนี้”
“ไว้จะเล่าให้ฟัง”
“ไม่เอา ดูแล้วไม่ใช่เรื่องธรรมดา เล่ามาเสียดี ๆ ว่ามันเรื่องอะไรกัน”
“ขอนอนก่อนนะเอาไว้ตื่นขึ้นมาจะเล่าให้ฟัง โอซือก็รีบนอนเถิด พรุ่งนี้นอนจับไข้ครางหือ ๆ อีก ข้าไม่รู้ด้วยนะ”
“ได้ พอถึงห้องข้าจะนอนทันที แต่ตอนนี้แย้ม ๆ ให้ฟังนิดเถอะนะ เจ้าตามหลวงพี่ทากูอันไปใช่ไหม”
“ก็ใช่น่ะซี”
“เจ้าได้ที่อยู่ของท่านมูซาชิมาจากหลวงพี่หรือเปล่า”
“ข้าไม่ชอบหลวงพี่คนนี้เลยจริง ๆ ช่างไม่คิดถึงใจเขาใจเราเลยสักนิด”
“อย่างนี้ก็หมายความว่า เจ้ายังไม่รู้ว่าท่านมูซาชิอยู่ที่ไหน”
“ก็...”
“รู้เหรอ”
“เรื่องนี้เอาไว้ก่อน ไปนอนกันเถอะ นอนก่อนดีกว่า แล้วค่อยคุยกันทีหลัง”
“จะปิดบังข้าไปทำไมโจทาโร รู้อะไรก็เล่า ๆ มา ถ้ายังแกล้งอมพะนำอยู่อย่างนี้ ข้าก็จะไม่นอนและนั่งอยู่ตรงนี้แหละ”
“ฮึ”
โจทาโรดึงมือโอซือให้เดินตามมา ทำหน้านิ่วคิ้วขมวคล้ายจะร้องไห้ออกมาอีก
“...คนป่วยคนนี้ กับครูของข้าคนนั้น ทำไมถึงทำให้ข้าเป็นทุกข์ไม่รู้หยุดรู้หย่อน เรื่องนี้ข้าไม่อาจเล่าได้ถ้าไม่พาโอซือไปนอนลงบนฟูก เอาผ้าเย็น ๆ วางบนหน้าผากให้ใจเย็นลงเสียก่อน มาเร็ว เข้ามาข้างใน ไม่งั้นข้าจับขี่หลังแบกเข้าไปถึงฟูกเลยนะ”
โจทาโรจับมือโอซือเอาไว้แล้วยกมืออีกข้างหนึ่งทุบประตูร้องเรียกคนมาเปิดเสียงดังลั่น
“ยาม ยามเปิดประตูเร็ว ปล่อยคนเจ็บออกมาเดินรับน้ำค้างอยู่ได้ไง เปิดเร็ว ๆ ทำอะไรกันอยู่ ขืนชักช้าคนเจ็บตัวเย็นไข้ขึ้นกันพอดี


2
กล่าวฝ่ายฮนอิเด็น มาตาฮาจิ
เจ้าหนุ่มวิ่งแน่บไม่มองซ้ายมองขวาจากโกะโจตรงไปยังซันเน็นซากะ หน้าผากชุ่มเหงื่อ หน้าแดงด้วยฤทธิ์สุราที่ยังค้างอยู่
ที่หมายคือโรงเตี๊ยมแห่งนั้นเอง เจ้าหนุ่มวิ่งไปบนทางกรวดขรุขระขึ้นไปถึงกลางเนิน เข้าตรอกห้องแถวโกโรโกโส เข้าไปถึงเรือนเล็กของโรงเตี๊ยมที่อยู่ลึกเข้าไปในไร่ผัก
“แม่”
มาตาฮาจิเรียกพลางเยี่ยมหน้าเข้าไปดูในบ้าน
“...อะไรกัน ยังนอนกลางวันอยู่อีก”
เจ้าหนุ่มบ่นพึมพัม ขณะเดินไปล้างหน้า ล้างมือล้างเท้าที่บ่อน้ำแล้วพักอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนกลับขึ้นไปดูบนบ้าน แต่ แม่เฒ่าก็ยังหลับซบหน้าอยู่กับหมอน ส่งเสียงกรนไม่รู้ว่าออกจากปากหรือว่าจมูก
“อะไรเนี่ย นอนยังกับแมวนอนหวด ว่างเป็นไม่ได้ นอนลูกเดียวเลย”
แม่เฒ่าที่เจ้าลูกชายคิดว่านอนหลับสนิทอยู่ พอแว่วเสียงบ่นก็หรี่ตาขึ้นมองมา และผลุดลุกขึ้นนั่ง
“อะไร ?”
“อ้าว ตื่นอยู่เหรอ”
“ลูกอะไรว่าพ่อแม่ไม่กลัวบาปกรรม ไม่รู้หรือไงว่าข้านอนเพื่อชีวิต”
“แหม ช่างพูดดีนักนะ...นอนเพื่อชีวิตรึ ทีข้าเวลาสบายใจจะนอนสักหน่อยก็คอยดุคอยว่าซ้ำซาก ว่ายังหนุ่มยังแน่นเอาแต่นอนบ้างละ นอนเล่นอยู่ได้ทำไมไม่ออกไปเที่ยวตามหาเจ้ามูซาชิบ้างละ พ่อแม่ที่เอาแต่บ่นว่าลูกทั้งที่ตัวเองนอนเอา ๆ อย่างนี้ ควรหันไปดูตัวเองเสียบ้าง”
“พอ ๆ ข้าไม่อยากเถียงกับเจ้า ข้าเองถึงจะใจคอแข็งแกร่งไม่ยอมแพ้ใคร แต่ร่างกายมันเอาชนะอายุไม่ได้ ตั้งแต่คืนวันนั้นที่เราสองคนแม่ลูกจัดการกับโอซือไม่ได้ดังใจ ข้าก็ท้อใจและสิ้นเรี่ยวแรงต้องนอนซม ต้นแขนที่ถูกพระ ทากูอันบีบเอาก็ยังเจ็บอยู่เลย”
“เวลาข้าคึกคักขึ้นมาทำไมแม่ถึงได้อ่อนแอ และเวลาแม่แกร่งขึ้นมาข้าถึงได้หมดพลังสู้ สลับกันไปมาไม่หยุด”
“ข้าอ่อนแอที่ไหนกัน วันนี้ข้าแค่นอนพักเอาแรง และข้าก็ไม่ได้แก่ถึงขนาดจะทำอ่อนแอให้ใคร ๆ เห็น ว่าแต่เจ้าเถอะ เจ้าถามไถ่ใคร ๆ ได้ความบ้างหรือเปล่าว่าโอซือหายไปไหน และเจ้ามูซาชิมันเป็นตายร้ายดียังไง”
“โอ๊ยแม่ ไม่ต้องถามเลย เขาลือกันเป็นข่าวใหญ่รู้ไปจนทั่ว ที่ไม่รู้ก็เห็นจะมีแม่ที่มัวแต่นอนกลางวันอยู่นี่คนเดียวละมัง”
“ถ้าจะเป็นข่าวใหญ่”
แม่เฒ่าโอซูงิกระเถิบเข้ามาใกล้ลูกชาย
“เรื่องอะไรรึ มาตาฮาจิ”
“มูซาชิกับพวกสำนักดาบโยชิโอกะจะประลองยุทธ์กันอีกเป็นครั้งที่สาม”
“เออ ข่าวใหญ่จริง ๆ ที่ไหนและเมื่อไหร่”
“เขาปักป้ายไว้ที่หน้าประตูใหญ่สำนักนางโลม บอกแค่ว่านัดกันที่หมู่บ้านอิจิโจจิ เวลารุ่งสางวันพรุ่งนี้”
“มาตาฮาจิ”
“อะไรรึ”
“เจ้าเห็นป้ายนั่นที่ข้างประตูใหญ่ของซ่องนางโลมรึ”
“ใช่ คนรุมดูกันเต็มเลยแม่”
“อย่าบอกนะว่าเจ้าไปเที่ยวผู้หญิงทั้งที่ยังกลางวันแสก ๆ”
“มะ...ไม่ใช่”
มาตาฮาจิรีบโบกไม้โบกมือปฏิเสธเป็นพัลวัน
“ข้าแค่ไปดื่มอะไรแถวนั้นนิดหน่อย แม่ก็เห็นว่าข้าปรับเปลี่ยนตัวเองแล้วเหมือนเกิดใหม่ และจากนั้นก็ออก ตามหาข่าวคราวของมูซาชิกับโอซือไม่ได้หยุด แม่ชอบมองข้าแง่ร้ายอยู่เรื่อยเลย”
แม่เฒ่านึกเวทนาสงสารขึ้นมาเมื่อได้ยินลูกชายพ้อด้วยความน้อยใจ
“เอาเถอะ ๆ มาตาฮาจิ อย่าอารมณ์เสียไปหน่อยเลย แม่แค่หยอกเล่นเท่านั้นเอง ข้าเห็นแล้วและปลื้มใจมากด้วยที่เห็นเข้ากลับเนื้อกลับตัวไม่เสเพลเหมือนแต่ก่อน แต่เอ... ทำไมมูซาชิกับพวกโยชิโอกะถึงได้นัดประลองยุทธ์กันเร่งด่วนนัก”
“นัดกันตีห้านี่ยังไม่สว่างเลยนะแม่”
“เจ้าเคยบอกใช่ไหมว่ารู้จักคนที่สำนักดาบโยชิโอกะ”
“ใช่ แต่ก็รู้จักในเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แม่จะทำไมเหรอ”
“ข้าอยากให้ช่วยพาไปดูโรงฝึกวิชาดาบชิโจของโยชิโอกะสักหน่อย เดี๋ยวนี้เลย เจ้ารีบไปเตรียมตัวด่วน”

3
แม่เฒ่าโอซูงิเอาแต่ใจตัวเองมาแต่ไหนแต่ไร พอบอกว่าจะไปเป็นต้องไป ไม่ยอมรอและไม่ให้เวลาใครทั้งนั้น
“มาตาฮาจิ เร็ว ๆ สิ”
แม่เฒ่าเร่ง ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเมื่อเห็นลูกชายยังนิ่งอยู่ ไม่ทำท่าว่าจะขยับตัวลุกขึ้นไปแตรียมตัวตามสั่ง
“แม่จะรีบไปไหน บ้านไม่ได้ไฟไหม้สักหน่อย แต่อย่างแรกสุดเลย ถามหน่อยได้ไหมว่าจะไปสำนักดาบโยชิโอกะทำไม จะไปทำอะไร”
“เราจะไปลองขอร้องเขาดู”
“ขอร้องอะไร”
“พรุ่งนี้ตอนรุ่งสาง พวกศิษย์สำนักโยชิโอกะจะออกไปฆ่ามูซาชิใช่ไหม ข้าจะขอให้เราสองแม่ลูกร่วมขบวนไปด้วย เราอาจช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ข้าอยากมีส่วนลงดาบฆ่าเจ้ามูซาชิ แค่ดาบเดียวข้าก็ตายตาหลับแล้ว”
“ฮะ ฮะ ฮะ ตลกมากเลยแม่”
มาตาฮาจิ หัวเราะลั่น
“หัวเราะอะไร”
“ก็แม่พูดหน้าตาเฉย ไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไรเลยจริง ๆ”
“เจ้าน่ะสิไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“เอาเถอะ อยากว่าข้าก็ว่าไป แทนที่จะมานั่งเถียงข้าง ๆ คู ๆ กับข้า แม่ควรเข้าไปในเมืองแล้วฟังพวกชาวบ้านเขาโจษขานกันก่อนดีกว่า จะได้รู้ว่าพวกโยชิโอกะโดนอะไรไปบ้าง เริ่มจากเซจูโรที่พ่ายแพ้ก่อนเป็นคนแรก ตามมาด้วยเด็นชิจิโรที่ถูกฟันดับ และครั้งนี้เรียกได้เลยว่าเป็นการประลองมรณะ ศิษย์สำนักทุกคนกำลังกระหายเลือดเพราะนี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่จะกู้ชื่อสำนักดาบของตน ถึงจะปิดเป็นความลับแต่ใคร ๆ เขาก็รู้กันไปทั่วแล้วว่าพวกนั้นจะทำทุกวิถีทางเพื่อแก้แค้นและกู้หน้าครูของพวกตน และเมื่อจวนตัวเข้าจริง ๆ ก็จะไม่นึกถึงเกียรติภูมิ หรือจิตวิญญาณของนักดาบ หรือว่ากฎเกณฑ์อะไรทั้งนั้น และแม้จะต้องใช้วิธีรุมแบบหมาหมู่ก็ยอม ขอให้ได้ฆ่า มูซาชิเท่านั้นเป็นพอ”
“โอ้โห ขนาดนั้นเลยรึ”
โอซูงิหรี่ตาด้วยความพอใจ แค่ได้ฟังใจของแม่เฒ่าสารพัดพิษก็หึกเหิมขึ้นมามากแล้ว
“คราวนี้แหละเจ้ามูซาชิจะต้องถูกฟันเละแน่”
“ก็ไม่แน่นัก คนเกียวโตวิจารณ์กันสนุกปากเลยทีเดียว ส่วนใหญ่มองว่ามูซาชิอาจมีตัวช่วย คือไปเกณฑ์นักดาบมือดีมาเป็นพวก หากศิษย์โยชิโอกะใช้วิธีหมาหมู่ พรรคพวกของมูซาชิก็ต้องเล่นด้วยแน่ คราวนี้ก็เป็นการยกพวกตีกันของแท้ แม่วาดภาพดูแล้วกัน ยายแก่หลังโกงคนหนึ่งกระย่องกระแย่งเข้าไปกลางสนามรบที่กำลังร้อนระอุขนาดนั้น แล้วบอกว่าข้ามาเป็นตัวช่วย คิดหรือว่าจะมีใครเข้ามารบกับแม่ ข้าว่าคงได้หัวเราะกลิ้งไปตาม ๆ กันมากกว่า”
“อืม...อาจใช่ แต่เจ้ากับข้าสองคนแม่ลูก ทิ้งบ้านเกิดเดินทางรอนแรมมาตามล้างแค้นเจ้ามูซาชิมานานเต็มที แต่พอได้โอกาสกลับมีคนอื่นมาแย่งเหยื่อเอาไปสังหารต่อหน้าต่อตา เจ้าคิดว่าเราจะนิ่งเฉยอยู่ได้รึ ข้าคนนึงละที่ยอมไม่ได้”
“ข้าคิดอย่างนี้นะแม่ พรุ่งนี้เราไปที่หมู่บ้านอิจิโจจิตอนรุ่งสางก่อนเวลานัด จะได้เห็นสถานที่และก็ลู่ทางการประลองยุทธ์ และพอมูซาชิเพลี่ยงพล้ำถูกพวกโยชิโอกะฟันดับ เราสองคนแม่ลูกก็จะเข้าไปเล่าเรื่องราวของเราให้เขาฟัง แล้วขอฟันศพของเจ้านั่นสักดาบสองดาบให้สมแค้น จากนั้นก็ขอเส้นผม แขนเสื้อ หรือว่าอะไรสักอย่างที่เป็นของมูซาชิ เพื่อจะได้เอาไปเป็นหลักฐานแสดงให้คนที่บ้านเกิดเราเชื่อว่าได้ล้างแค้นมูซาชิสำเร็จดังที่ได้ลั่นวาจาไว้ และตระกูลของเราก็จะได้กลับมามีหน้ามีตาดังเดิม”
“แผนของเจ้าชาญฉลาดไม่น้อย ข้าเห็นด้วยเพราะคิดว่าคงไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้”
แม่เฒ่าว่าแล้วขยับตัวทำท่าทะมัดทะแมง
“ไม่ใช่แค่กู้ชื่อเสียงวงศ์ตระกูลกลับคืนมาเท่านั้น ถ้ามูซาชิตายโอซือก็จะขาดที่ยึดเหนี่ยวไม่มีทางไป เหมือนกับลิงตกจากต้นไม้ ทีนี้พอเราหาตัวนางพบทุกอย่างก็เข้าทางเราเท่านั้นเอง”
นางพูดเองพยักหน้าเอง และสงบสติอารมณ์ลงได้ในที่สุด
มาตาฮาจิส่างเมาไปนานแล้วและชักเปรี้ยวปากขึ้นมาอีก
“ตกลงตามนี้นะ คืนนี้นอนเอาแรงเข้าไว้เพราะต้องตื่นแต่เช้ามืด เรามาดื่มกันสักนิดก่อนข้าวเย็นดีไหมแม่”
“สาเกรึ ไปขอเขาที่โรงครัวสิ ดื่มฉลองล่วงหน้ากันก่อน”
มาตาฮาจิยันตัวลุกขึ้นแต่ก็ต้องชะงัก และจ้องมองไปที่หน้าต่างบานเล็ก ๆ ข้าง ๆ นั้น คล้ายกับเห็นอะไรสักอย่างที่ไม่ได้คาดคิด


กำลังโหลดความคิดเห็น