นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โจทาโรคอยมูซาชิอยู่ที่โรงเลี้ยงม้ายานางิ คอยเท่าไรก็ไม่มาสักที บ่นแล้วบ่นอีก
“ช้าจัง”
ทุกครั้งที่บ่นก็จะถอนใจแล้วมองเข้าไปในความมืดอันเวิ้งว้าง
กระเช้าหามคนเมาร้องเพลงกันครึกครื้นผ่านไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
“ช้ามาก ช้าจริง ๆ”
หรือว่า...เจ้าหนุ่มน้อยฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงทำหน้าตื่นแล้วออกวิ่งไปทางหมู่บ้านยานางิ
“จะไป ไหน”
โจทาโรหยุดกึกเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องทักออกมาจากความมืด
“โอ๊ะ ครู ทำไม่ช้านัก นี่ข้ากำลังจะวิ่งไปดูอยู่เชียว”
“งั้นเหรอ ดีนะที่พบกันเสียก่อน เฉียดนิดเดียวไม่งั้นคงต้องสวนทางกันอีก”
“ที่นอกประตูใหญ่ พวกโยชิโอกะคอยรุมกันอยู่เต็มเลยละซี”
“ก็หลายคนอยู่นะ”
“พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรครูเหรอ”
“ก็ไม่เห็นทำอะไรนี่”
“ไม่ได้กรูเข้ามาจับ”
“เปล่านี่”
“จริงเหรอ”
โจทาโรเงยหน้าขึ้นจ้องมองครูดาบของตนเต็มตา อ่านสีหน้าพลางถาม
“งั้นก็หมายความว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น”
“อือ”
“ครู...ทางไปบ้านท่านคาราซุมารุไม่ใช่ทางนั้น ต้องเลี้ยวทางนี้ต่างหาก”
“อ้าว งั้นรึ”
“ครูเองก็อยากพบกับโอซือเร็ว ๆ ไม่ใช่เหรอ”
“คิดถึงนะ”
“โอซือจะต้องตกใจมากเลยละ”
“โจทาโร”
“อะไรเหรอ”
“เจ้าจำได้ชื่อหมู่บ้านของโรงเตี๊ยมที่เราพบกันครั้งแรกได้ไหม”
“คิตาโนะเหรอ”
“ใช่ ๆ อยู่ในซอยหลังย่านคิตาโนะ”
“แต่คฤหาสน์คาราซุมารุใหญ่โตกว้างขวางมาก โรงเตี๊ยมแถวนั้นสู้ไม่ได้แน่นอน”
“ข้าไม่ได้คิดที่จะเปรียบเทียบกันสักหน่อย”
มูซาชิหัวเราะชอบใจ
“ค่ำมืดป่านนี้ประตูด้านหน้าปิดแล้วละ แต่ถ้าไปเคาะประตูด้านหลังเดี๋ยวก็จะมีคนมาเปิดให้ ถ้ารู้ว่าข้าพาท่านครูมา ท่านคาราซุมารูอาจออกมาต้อนรับก็ได้ แต่ท่านครูรู้ไหม หลวงพี่ทากูอันนี่แย่มาก ข้างี้เคืองเลย มีอย่างที่ไหนมาบอกเราว่าท่านครูจะทำอะไรหรือไปไหนมาไหนก็อย่าเข้าไปยุ่ง แล้วตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าท่านครูอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่ยอมบอกเรา”
มูซาชินิ่งฟังเงียบ ๆ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้โจทาโรพูดจ้อไม่หยุดอยู่คนเดียว
ไม่นาน ทั้งสองก็เดินมาถึงจุดที่มองเห็นประตูใหญ่ของคฤหาสน์คาราซุมารุ
“ตรงนั้นไงครู”
โจทาโรชี้ให้ดูเมื่อเห็นมูซาชิหยุดยืนนิ่งอยู่
“ครูเห็นแสงไฟสว่างอยู่บนรั้วตรงนั้นไหม ตรงนั้นคือห้องด้านเหนือ และห้องนอนของโอซือก็อยู่ในส่วนนั้น แสงนั่นอาจเป็นแสงตะเกียงของโอซือที่เฝ้ารออยู่ก็ได้”
“... ... ...”
“ครู...เรารีบเข้าไปในคฤหาสน์กันเถอะ ข้าจะเคาะประตูเรียกคนยามเอง”
โจทาโรว่าแล้วก็ออกวิ่งทันที ดีแต่มูซาชิคว้าข้อมือเอาไว้ทัน
“ยังเร็วไป”
“จะร่ำไรอะไรอีก”
“ข้าไม่เข้าไปในคฤหาสน์หรอก เจ้าช่วยเข้าไปบอกโอซือทีเถอะ”
“เอ๊ะ ทำไมงั้นล่ะ แล้วครูมาที่นี่ทำไม”
“ก็มาส่งเจ้าน่ะซี”
2
หัวใจน้อย ๆ ของโจทาโรแอบกลัว เพราะสังหรณ์ใจอยู่บ่อย ๆ ว่าครูของตนจะเปลี่ยนใจจากโอซือ และแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว ก็ยังช้ำนักเมื่อลางสังหรณ์เกิดเป็นจริงขึ้นมาอย่างกระทันหันเช่นนี้
โจทาโรแผดเสียงลั่นและแทบจะสั่นเครือ
“ไม่ได้ ไม่ได้ ครูต้องเข้าไปด้วยกัน”
หนุ่มน้อยฉุดแขนมูซาชิสุดแรง ด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะต้องพามูซาชิเข้าไปให้ถึงข้างหมอนของโอซือให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“อย่าเอะอะไป โจทาโร”
มูซาชิจุ๊ปากเตือน เพราะเกรงว่าเสียงของเจ้าหนุ่มน้อยจะไปทำลายความสงบเงียบของละแวกบ้าน
“หยุดเอะอะ แล้วสงบสติอารมณ์ฟังคำพูดของข้าก่อน”
“ไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง เมื่อกี้ท่านครูบอกข้าไม่ใช่รึว่าจะไปด้วยกัน”
“ก็มาด้วยกันถึงที่นี่แล้วไง”
“ใครบอกว่าให้มาแค่ประตูรั้ว ข้าบอกให้ท่านครูมาพบกับโอซือต่างหาก ครูโกหกลูกศิษย์ได้ด้วยเหรอ”
“โจทาโร อย่ามัวแต่โกรธจนไร้สติอย่างนั้น ทำใจให้สงบแล้วฟังข้า วันคืนแห่งความเป็นและความตายกำลังเคลื่อนเข้ามาประชิดตัวนักดาบที่ชื่อมูซาชิคนนี้”
“แค่นี้ทำไมข้าจะไม่รู้ เป็นนักรบซามูไรใคร ๆ ก็ต้องทำใจกันทั้งนั้น ตอนเช้าอยู่เย็นเป็นสุขดีแต่พอเย็นอาจตายได้ ครูเองก็พูดอย่างนั้นจนติดปากไม่ใช่รึ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเริ่มมีเมื่อวานหรือวันนี้เสียเมื่อไหร่”
“จริง คำพูดที่ชินปากไปโดยไม่รู้ตัว พอเจ้าพูดขึ้นมาทำให้รู้สึกว่าตัวเองกลับเป็นคนที่ถูกเจ้าสอน ครั้งนี้ มูซาชิทำใจไว้แล้วว่า อาจไม่รอดแม้หนึ่งชีพในจำนวนที่มีโอกาสอยู่ได้เก้าชีพ ดังนั้นเมื่อความตายอยู่แค่เอื้อมนี้แล้ว จึงคิดว่าไม่พบกับโอซือดีกว่า”
“ทำไม ทำไม ท่านครู ข้าไม่เข้าใจ”
“พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ แต่อีกไม่นาน เมื่อเจ้าโตขึ้นก็จะเข้าใจไปเอง”
“แต่ท่านครู ท่านจะตายในอีกไม่กี่วันนี้จริงเหรอ”
“เอาเถอะนะ อย่าไปพูดเรื่องตายให้โอซือได้ยินระหว่างที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่อิย่างนี้ บอกให้นางบำรุงรักษาร่างกายให้แข็งแรงและเลือกทางเดินชีวิตให้ดีเพื่อจะได้มีความสุข โจทาโรช่วยนำคำสั่งเสียของข้าไปบอก โอซือด้วย แต่อย่างพูดถึงความตายของข้าเป็นอันขาด เข้าใจนะ”
“ไม่เอา ไม่เอา ข้าจะบอกโอซือให้หมด ข้านิ่งไว้ไม่ได้แน่ จะยังไงก็แล้วแต่ ท่านครูมากับข้าเถิดนะ”
“ทำไมเจ้าถึงได้เป็นคนเข้าใจยากเช่นนี้ฮึ โจทาโร”
มูซาชิสลัดมือออกจากการเกาะกุม
“แต่ ท่านครู”
โจทาโรร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
“แต่...แต่ โอซือน่าสงสารเหลือเกิน ถ้าข้าเอาคำของท่านครูไปบอก โอซือก็จะยิ่งอาการหนักขึ้นไปอีก”
“เจ้าไปบอกนางนะว่า ตราบใดที่ข้ายังเป็นนักดาบฝึกหัดร่อนเร่พเนจรไปทั่วแหล่งหล้าเช่นนี้ เราไม่ควรทบกันดีกว่า ทางที่ข้าเลือกเดินคือวิถีแห่งนักรบ ที่ต้องรักษาวินัย ต้องควบคุมและเอาชนะอารมณ์ให้ได้ ใช้ชีวิตอย่างสมถะ อดทนต่อความยากลำบาก และท่องไปบนหนทางทุรกันดาร ไม่เช่นนั้นก็จะไม่พบแสงสว่างบนวิถีทางสายนี้ เจ้าเองถ้ามุ่งจะเป็นนักดาบก็ต้องประพฤติเยี่ยงข้า”
“... ... ...”
เห็นโจทาโรสะอึกสะอื้นน้ำตานองหน้าแล้วมูซาชิอดเวทนาสงสารไม่ได้ จึงโอบศีรษะเข้ามาซุกกับอกกว้าง
“ใครที่เป็นนักรบซามูไรจะไม่มีวันรู้ว่าชีวิตจะสิ้นลงเมื่อไร เจ้าก็เหมือนกัน โจทาโร หากข้าตายไปเจ้าจงหาครูคนใหม่ ที่ข้าไม่เข้าไปพบโอซือวันนี้ก็เพราะข้ามองการไกล และรู้ว่านางจะมีความสุขมากกว่าถ้าไม่ได้เจอกัน และเมื่อนางมีความสุขในวันหนึ่งข้างหน้า นางก็จะเข้าว่าข้ารู้สึกอย่างไรในวันนี้
เจ้าแน่ใจหรือว่าแสงนั้นมาจากห้องโอซือ ถ้าใช่นางต้องกำลังว้าเหว่ เจ้ารีบกลับไปแล้วนอนเสียเถิด”
3
แม้จะต่อต้านค้านเสียงแข็ง สะอื้นพลางสะบัดหน้าหันหลังทำงอน แต่โจทาโรก็เริ่มเข้าใจความทุกข์ยากลำบากใจของมูซาชิที่ต้องตัดใจจากโอซือครั้งนี้ โอซือน่าสงสารแต่ก็ไม่อาจคาดคั้นเอากับท่านครูของตนมากไปกว่านี้
“ถ้าอย่างนั้นท่านครู”
โจทาโรหันมาต่อรองอีกครั้ง ด้วยความหวังว่าอาจมีฟางเส้นสุดท้ายให้ยึดเหนี่ยวเอาไว้
“พอฝึกฝนวิชาดาบสำเร็จลุล่วงแล้ว ท่านครูจะกลับมาอยู่กับโอซือด้วยความสุขใช่ไหม ครูจะกลับมาหานางใช่ไหม ฝึกจนคิดว่าครบถ้วนกระบวนยุทธิ์แล้ว ครูจะกลับมาหานาง อย่างนั้นใช่ไหม บอกซิ บอก”
“ถ้าถึงวันนั้นนะ”
“ถึงวันไหน แล้วเมื่อไหร่จะถึง”
“ข้าบอกไม่ได้หรอกว่าเมื่อไหร่”
“สองปีเหรอ”
“... ... ...”
“งั้นก็สามปี”
“... ... ...”
“วิถีแห่งการฝึกวิชาดาบไม่มีวันสิ้นสุด”
“หมายความว่าท่านครูจะไม่ได้พบกับโอซือตลอดชีวิตงั้นเหรอ”
“หากข้ามีพรสวรรค์เชิงดาบติดตัวมาตั้งแต่เกิดวันหนึ่งข้าคงบรรลุความสำเร็จดังหวัง แต่ถ้าไม่ใช่ข้าก็คงเป็นไอ้บ้าที่ฝึกวิชาดาบไปด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปตลอดชีวิต แต่เหนือกว่าอื่นใดก็คือ ความตายกำลังรอข้าอยู่ตรงหน้า โจทาโร เจ้าคิดดูให้ดี ๆ คนที่จะตายไปอย่างข้า จะไปให้สัญญากับหญิงสาวที่อยู่ในวัยผลิดอกออกผลอย่างโอซือได้ยังไง”
มูซาชิพลั้งปากพูดเลยเถิดออกไป โจทาโรขมวดคิ้วอึ้งไปนิดหนึ่งคล้ายกับไม่ค่อยเข้าใจนัยสำคัญ ก่อนโพล่งออกมาว่า
“ก็ไม่ต้องสัญญาหรอกท่านครู แค่เข้าไปพบโอซือเท่านั้น จะเป็นไรไป”
มูซาชิชักจะเถียงไม่ขึ้น ยิ่งพูดไปก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของตนค้านกันเอง ทำให้ทั้งลังเลและหนักใจ
“ไม่ได้หรอกโจทาโร โอซือเป็นหญิงสาวและมูซาชิก็เป็นชายหนุ่ม ข้าบอกตรง ๆ โดยไม่อายเจ้าเลยว่าหากได้พบกัน ผลสุดท้ายข้าคงต้องแพ้น้ำตาของนาง น้ำตาของโอซือจะทำให้การตัดสินที่มั่นคงของข้าคลอนแคลนและล่มสลายหมดสิ้น”
ความรู้สึกของมูซาชิในคืนนี้ แสดงออกมาในรูปแบบเดียวกันกับเมื่อครั้งที่หนีโอซือทั้งที่เห็นหน้านางชัด ๆ ที่หุบเขายากิว แต่เจ้าหนุ่มบอกตนเองอยู่ในใจว่ามีอะไรที่แตกต่างกันมาก
การจากที่สะพานฮานาดะก็เช่นกัน มูซาชิตอนนี้ไม่ใช่เจ้าหนุ่มที่ทำอะไรแต่ละทีจะต้องดุเดือดเลือดร้อน เอาใจตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่มีคิดหน้าคิดหลัง แต่เป็นเจ้าหนุ่มนักดาบที่ใจเย็นอดทน ความแข็งกระด้างเมื่อครั้งเป็นเด็กเหลือขออยู่ที่บ้านเกิดก็อ่อนโยนขึ้น ด้วยความรู้ที่บ่มเพาะในช่วงที่ถูกกักตัวอยู่บนยอดปราสาทฮิเมจิ
คนเรานั้นแค่ได้รู้คุณค่าของชีวิตที่เกิดได้เพียงครั้งเดียวในโลก ก็พอที่จะทำให้เกิดความกลัวการสูญเสีย เพียงแค่รู้มุมมองคนที่ใช้ชีวิตวิถีอื่นที่นอกเหนือจากดาบเท่านั้น ก็ลดความอหังการของคนเราลงได้ เมื่อพูดถึงผู้หญิง เสน่ห์ของคุณพี่โยชิโนะอาจปลุกไฟพิศวาสของมูซาชิให้โหมแรงขึ้นและเจ้าหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับรัก แต่กรณีของโอซือ มูซาชิไม่มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมตนเองได้สำเร็จ เจ้าหนุ่มรู้ตัวดีว่าตนจะคิดถึงโอซือโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของนางหากมีตนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้
มูซาชิมองไปที่โจทาโรซึ่งยังสะอึกสะอื้นอยู่
เข้าใจหรือยัง โจทาโร
โจทาโรเงยหน้าขึ้นจากท่อนแขนที่ซบลงร้องไห้อยู่เมื่อได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู แต่ตรงหน้ามีแต่ความมืดมิดและหมอกทึบ
“ครู”
หนุ่มน้อยตะโกนเรียกสุดเสียง พร้อมกับวิ่งไปจนสุดมุมกำแพงรั้ว
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โจทาโรคอยมูซาชิอยู่ที่โรงเลี้ยงม้ายานางิ คอยเท่าไรก็ไม่มาสักที บ่นแล้วบ่นอีก
“ช้าจัง”
ทุกครั้งที่บ่นก็จะถอนใจแล้วมองเข้าไปในความมืดอันเวิ้งว้าง
กระเช้าหามคนเมาร้องเพลงกันครึกครื้นผ่านไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า
“ช้ามาก ช้าจริง ๆ”
หรือว่า...เจ้าหนุ่มน้อยฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ จึงทำหน้าตื่นแล้วออกวิ่งไปทางหมู่บ้านยานางิ
“จะไป ไหน”
โจทาโรหยุดกึกเมื่อได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องทักออกมาจากความมืด
“โอ๊ะ ครู ทำไม่ช้านัก นี่ข้ากำลังจะวิ่งไปดูอยู่เชียว”
“งั้นเหรอ ดีนะที่พบกันเสียก่อน เฉียดนิดเดียวไม่งั้นคงต้องสวนทางกันอีก”
“ที่นอกประตูใหญ่ พวกโยชิโอกะคอยรุมกันอยู่เต็มเลยละซี”
“ก็หลายคนอยู่นะ”
“พวกนั้นไม่ได้ทำอะไรครูเหรอ”
“ก็ไม่เห็นทำอะไรนี่”
“ไม่ได้กรูเข้ามาจับ”
“เปล่านี่”
“จริงเหรอ”
โจทาโรเงยหน้าขึ้นจ้องมองครูดาบของตนเต็มตา อ่านสีหน้าพลางถาม
“งั้นก็หมายความว่าไม่ได้เกิดอะไรขึ้น”
“อือ”
“ครู...ทางไปบ้านท่านคาราซุมารุไม่ใช่ทางนั้น ต้องเลี้ยวทางนี้ต่างหาก”
“อ้าว งั้นรึ”
“ครูเองก็อยากพบกับโอซือเร็ว ๆ ไม่ใช่เหรอ”
“คิดถึงนะ”
“โอซือจะต้องตกใจมากเลยละ”
“โจทาโร”
“อะไรเหรอ”
“เจ้าจำได้ชื่อหมู่บ้านของโรงเตี๊ยมที่เราพบกันครั้งแรกได้ไหม”
“คิตาโนะเหรอ”
“ใช่ ๆ อยู่ในซอยหลังย่านคิตาโนะ”
“แต่คฤหาสน์คาราซุมารุใหญ่โตกว้างขวางมาก โรงเตี๊ยมแถวนั้นสู้ไม่ได้แน่นอน”
“ข้าไม่ได้คิดที่จะเปรียบเทียบกันสักหน่อย”
มูซาชิหัวเราะชอบใจ
“ค่ำมืดป่านนี้ประตูด้านหน้าปิดแล้วละ แต่ถ้าไปเคาะประตูด้านหลังเดี๋ยวก็จะมีคนมาเปิดให้ ถ้ารู้ว่าข้าพาท่านครูมา ท่านคาราซุมารูอาจออกมาต้อนรับก็ได้ แต่ท่านครูรู้ไหม หลวงพี่ทากูอันนี่แย่มาก ข้างี้เคืองเลย มีอย่างที่ไหนมาบอกเราว่าท่านครูจะทำอะไรหรือไปไหนมาไหนก็อย่าเข้าไปยุ่ง แล้วตัวเอง รู้ทั้งรู้ว่าท่านครูอยู่ที่ไหน แต่ก็ไม่ยอมบอกเรา”
มูซาชินิ่งฟังเงียบ ๆ ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ปล่อยให้โจทาโรพูดจ้อไม่หยุดอยู่คนเดียว
ไม่นาน ทั้งสองก็เดินมาถึงจุดที่มองเห็นประตูใหญ่ของคฤหาสน์คาราซุมารุ
“ตรงนั้นไงครู”
โจทาโรชี้ให้ดูเมื่อเห็นมูซาชิหยุดยืนนิ่งอยู่
“ครูเห็นแสงไฟสว่างอยู่บนรั้วตรงนั้นไหม ตรงนั้นคือห้องด้านเหนือ และห้องนอนของโอซือก็อยู่ในส่วนนั้น แสงนั่นอาจเป็นแสงตะเกียงของโอซือที่เฝ้ารออยู่ก็ได้”
“... ... ...”
“ครู...เรารีบเข้าไปในคฤหาสน์กันเถอะ ข้าจะเคาะประตูเรียกคนยามเอง”
โจทาโรว่าแล้วก็ออกวิ่งทันที ดีแต่มูซาชิคว้าข้อมือเอาไว้ทัน
“ยังเร็วไป”
“จะร่ำไรอะไรอีก”
“ข้าไม่เข้าไปในคฤหาสน์หรอก เจ้าช่วยเข้าไปบอกโอซือทีเถอะ”
“เอ๊ะ ทำไมงั้นล่ะ แล้วครูมาที่นี่ทำไม”
“ก็มาส่งเจ้าน่ะซี”
2
หัวใจน้อย ๆ ของโจทาโรแอบกลัว เพราะสังหรณ์ใจอยู่บ่อย ๆ ว่าครูของตนจะเปลี่ยนใจจากโอซือ และแม้จะเตรียมตัวเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้ว ก็ยังช้ำนักเมื่อลางสังหรณ์เกิดเป็นจริงขึ้นมาอย่างกระทันหันเช่นนี้
โจทาโรแผดเสียงลั่นและแทบจะสั่นเครือ
“ไม่ได้ ไม่ได้ ครูต้องเข้าไปด้วยกัน”
หนุ่มน้อยฉุดแขนมูซาชิสุดแรง ด้วยความตั้งใจเด็ดเดี่ยวที่จะต้องพามูซาชิเข้าไปให้ถึงข้างหมอนของโอซือให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
“อย่าเอะอะไป โจทาโร”
มูซาชิจุ๊ปากเตือน เพราะเกรงว่าเสียงของเจ้าหนุ่มน้อยจะไปทำลายความสงบเงียบของละแวกบ้าน
“หยุดเอะอะ แล้วสงบสติอารมณ์ฟังคำพูดของข้าก่อน”
“ไม่ฟัง ข้าไม่ฟัง เมื่อกี้ท่านครูบอกข้าไม่ใช่รึว่าจะไปด้วยกัน”
“ก็มาด้วยกันถึงที่นี่แล้วไง”
“ใครบอกว่าให้มาแค่ประตูรั้ว ข้าบอกให้ท่านครูมาพบกับโอซือต่างหาก ครูโกหกลูกศิษย์ได้ด้วยเหรอ”
“โจทาโร อย่ามัวแต่โกรธจนไร้สติอย่างนั้น ทำใจให้สงบแล้วฟังข้า วันคืนแห่งความเป็นและความตายกำลังเคลื่อนเข้ามาประชิดตัวนักดาบที่ชื่อมูซาชิคนนี้”
“แค่นี้ทำไมข้าจะไม่รู้ เป็นนักรบซามูไรใคร ๆ ก็ต้องทำใจกันทั้งนั้น ตอนเช้าอยู่เย็นเป็นสุขดีแต่พอเย็นอาจตายได้ ครูเองก็พูดอย่างนั้นจนติดปากไม่ใช่รึ เรื่องพวกนี้ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะเริ่มมีเมื่อวานหรือวันนี้เสียเมื่อไหร่”
“จริง คำพูดที่ชินปากไปโดยไม่รู้ตัว พอเจ้าพูดขึ้นมาทำให้รู้สึกว่าตัวเองกลับเป็นคนที่ถูกเจ้าสอน ครั้งนี้ มูซาชิทำใจไว้แล้วว่า อาจไม่รอดแม้หนึ่งชีพในจำนวนที่มีโอกาสอยู่ได้เก้าชีพ ดังนั้นเมื่อความตายอยู่แค่เอื้อมนี้แล้ว จึงคิดว่าไม่พบกับโอซือดีกว่า”
“ทำไม ทำไม ท่านครู ข้าไม่เข้าใจ”
“พูดไปเจ้าก็ไม่เข้าใจ แต่อีกไม่นาน เมื่อเจ้าโตขึ้นก็จะเข้าใจไปเอง”
“แต่ท่านครู ท่านจะตายในอีกไม่กี่วันนี้จริงเหรอ”
“เอาเถอะนะ อย่าไปพูดเรื่องตายให้โอซือได้ยินระหว่างที่เจ็บไข้ได้ป่วยอยู่อิย่างนี้ บอกให้นางบำรุงรักษาร่างกายให้แข็งแรงและเลือกทางเดินชีวิตให้ดีเพื่อจะได้มีความสุข โจทาโรช่วยนำคำสั่งเสียของข้าไปบอก โอซือด้วย แต่อย่างพูดถึงความตายของข้าเป็นอันขาด เข้าใจนะ”
“ไม่เอา ไม่เอา ข้าจะบอกโอซือให้หมด ข้านิ่งไว้ไม่ได้แน่ จะยังไงก็แล้วแต่ ท่านครูมากับข้าเถิดนะ”
“ทำไมเจ้าถึงได้เป็นคนเข้าใจยากเช่นนี้ฮึ โจทาโร”
มูซาชิสลัดมือออกจากการเกาะกุม
“แต่ ท่านครู”
โจทาโรร้องไห้ออกมาอย่างสุดกลั้น
“แต่...แต่ โอซือน่าสงสารเหลือเกิน ถ้าข้าเอาคำของท่านครูไปบอก โอซือก็จะยิ่งอาการหนักขึ้นไปอีก”
“เจ้าไปบอกนางนะว่า ตราบใดที่ข้ายังเป็นนักดาบฝึกหัดร่อนเร่พเนจรไปทั่วแหล่งหล้าเช่นนี้ เราไม่ควรทบกันดีกว่า ทางที่ข้าเลือกเดินคือวิถีแห่งนักรบ ที่ต้องรักษาวินัย ต้องควบคุมและเอาชนะอารมณ์ให้ได้ ใช้ชีวิตอย่างสมถะ อดทนต่อความยากลำบาก และท่องไปบนหนทางทุรกันดาร ไม่เช่นนั้นก็จะไม่พบแสงสว่างบนวิถีทางสายนี้ เจ้าเองถ้ามุ่งจะเป็นนักดาบก็ต้องประพฤติเยี่ยงข้า”
“... ... ...”
เห็นโจทาโรสะอึกสะอื้นน้ำตานองหน้าแล้วมูซาชิอดเวทนาสงสารไม่ได้ จึงโอบศีรษะเข้ามาซุกกับอกกว้าง
“ใครที่เป็นนักรบซามูไรจะไม่มีวันรู้ว่าชีวิตจะสิ้นลงเมื่อไร เจ้าก็เหมือนกัน โจทาโร หากข้าตายไปเจ้าจงหาครูคนใหม่ ที่ข้าไม่เข้าไปพบโอซือวันนี้ก็เพราะข้ามองการไกล และรู้ว่านางจะมีความสุขมากกว่าถ้าไม่ได้เจอกัน และเมื่อนางมีความสุขในวันหนึ่งข้างหน้า นางก็จะเข้าว่าข้ารู้สึกอย่างไรในวันนี้
เจ้าแน่ใจหรือว่าแสงนั้นมาจากห้องโอซือ ถ้าใช่นางต้องกำลังว้าเหว่ เจ้ารีบกลับไปแล้วนอนเสียเถิด”
3
แม้จะต่อต้านค้านเสียงแข็ง สะอื้นพลางสะบัดหน้าหันหลังทำงอน แต่โจทาโรก็เริ่มเข้าใจความทุกข์ยากลำบากใจของมูซาชิที่ต้องตัดใจจากโอซือครั้งนี้ โอซือน่าสงสารแต่ก็ไม่อาจคาดคั้นเอากับท่านครูของตนมากไปกว่านี้
“ถ้าอย่างนั้นท่านครู”
โจทาโรหันมาต่อรองอีกครั้ง ด้วยความหวังว่าอาจมีฟางเส้นสุดท้ายให้ยึดเหนี่ยวเอาไว้
“พอฝึกฝนวิชาดาบสำเร็จลุล่วงแล้ว ท่านครูจะกลับมาอยู่กับโอซือด้วยความสุขใช่ไหม ครูจะกลับมาหานางใช่ไหม ฝึกจนคิดว่าครบถ้วนกระบวนยุทธิ์แล้ว ครูจะกลับมาหานาง อย่างนั้นใช่ไหม บอกซิ บอก”
“ถ้าถึงวันนั้นนะ”
“ถึงวันไหน แล้วเมื่อไหร่จะถึง”
“ข้าบอกไม่ได้หรอกว่าเมื่อไหร่”
“สองปีเหรอ”
“... ... ...”
“งั้นก็สามปี”
“... ... ...”
“วิถีแห่งการฝึกวิชาดาบไม่มีวันสิ้นสุด”
“หมายความว่าท่านครูจะไม่ได้พบกับโอซือตลอดชีวิตงั้นเหรอ”
“หากข้ามีพรสวรรค์เชิงดาบติดตัวมาตั้งแต่เกิดวันหนึ่งข้าคงบรรลุความสำเร็จดังหวัง แต่ถ้าไม่ใช่ข้าก็คงเป็นไอ้บ้าที่ฝึกวิชาดาบไปด้วยความหวังลม ๆ แล้ง ๆ ไปตลอดชีวิต แต่เหนือกว่าอื่นใดก็คือ ความตายกำลังรอข้าอยู่ตรงหน้า โจทาโร เจ้าคิดดูให้ดี ๆ คนที่จะตายไปอย่างข้า จะไปให้สัญญากับหญิงสาวที่อยู่ในวัยผลิดอกออกผลอย่างโอซือได้ยังไง”
มูซาชิพลั้งปากพูดเลยเถิดออกไป โจทาโรขมวดคิ้วอึ้งไปนิดหนึ่งคล้ายกับไม่ค่อยเข้าใจนัยสำคัญ ก่อนโพล่งออกมาว่า
“ก็ไม่ต้องสัญญาหรอกท่านครู แค่เข้าไปพบโอซือเท่านั้น จะเป็นไรไป”
มูซาชิชักจะเถียงไม่ขึ้น ยิ่งพูดไปก็ยิ่งรู้สึกว่าคำพูดของตนค้านกันเอง ทำให้ทั้งลังเลและหนักใจ
“ไม่ได้หรอกโจทาโร โอซือเป็นหญิงสาวและมูซาชิก็เป็นชายหนุ่ม ข้าบอกตรง ๆ โดยไม่อายเจ้าเลยว่าหากได้พบกัน ผลสุดท้ายข้าคงต้องแพ้น้ำตาของนาง น้ำตาของโอซือจะทำให้การตัดสินที่มั่นคงของข้าคลอนแคลนและล่มสลายหมดสิ้น”
ความรู้สึกของมูซาชิในคืนนี้ แสดงออกมาในรูปแบบเดียวกันกับเมื่อครั้งที่หนีโอซือทั้งที่เห็นหน้านางชัด ๆ ที่หุบเขายากิว แต่เจ้าหนุ่มบอกตนเองอยู่ในใจว่ามีอะไรที่แตกต่างกันมาก
การจากที่สะพานฮานาดะก็เช่นกัน มูซาชิตอนนี้ไม่ใช่เจ้าหนุ่มที่ทำอะไรแต่ละทีจะต้องดุเดือดเลือดร้อน เอาใจตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่มีคิดหน้าคิดหลัง แต่เป็นเจ้าหนุ่มนักดาบที่ใจเย็นอดทน ความแข็งกระด้างเมื่อครั้งเป็นเด็กเหลือขออยู่ที่บ้านเกิดก็อ่อนโยนขึ้น ด้วยความรู้ที่บ่มเพาะในช่วงที่ถูกกักตัวอยู่บนยอดปราสาทฮิเมจิ
คนเรานั้นแค่ได้รู้คุณค่าของชีวิตที่เกิดได้เพียงครั้งเดียวในโลก ก็พอที่จะทำให้เกิดความกลัวการสูญเสีย เพียงแค่รู้มุมมองคนที่ใช้ชีวิตวิถีอื่นที่นอกเหนือจากดาบเท่านั้น ก็ลดความอหังการของคนเราลงได้ เมื่อพูดถึงผู้หญิง เสน่ห์ของคุณพี่โยชิโนะอาจปลุกไฟพิศวาสของมูซาชิให้โหมแรงขึ้นและเจ้าหนุ่มก็ไม่ปฏิเสธที่จะรับรัก แต่กรณีของโอซือ มูซาชิไม่มั่นใจว่าจะสามารถควบคุมตนเองได้สำเร็จ เจ้าหนุ่มรู้ตัวดีว่าตนจะคิดถึงโอซือโดยไม่คำนึงถึงชีวิตของนางหากมีตนเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้
มูซาชิมองไปที่โจทาโรซึ่งยังสะอึกสะอื้นอยู่
เข้าใจหรือยัง โจทาโร
โจทาโรเงยหน้าขึ้นจากท่อนแขนที่ซบลงร้องไห้อยู่เมื่อได้ยินเสียงกระซิบที่ข้างหู แต่ตรงหน้ามีแต่ความมืดมิดและหมอกทึบ
“ครู”
หนุ่มน้อยตะโกนเรียกสุดเสียง พร้อมกับวิ่งไปจนสุดมุมกำแพงรั้ว