นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ไม่ว่ายุคใดสมัยใดไม่เว้นว่าแว่นแคว้นแดนไหนย่อมมีพวกอิสระชน ที่หาความสำราญไปวัน ๆ ด้วยความคิดที่ว่าชีวิตเรานั้นสั้นนัก เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็สนุกเสียให้คุ้ม ดั่งคำของท่านโนบูนางะผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่าห้าสิบปีของชีวิตเรานั้นเท่ากับวันเดียวบนสวรรค์ ราวกับฝันเพียงข้ามคืน จึงเที่ยวเล่นทั้งเหล้าและผู้หญิงโดยทำใจแล้วว่าถึงตายเร็วก็ไม่หวั่น
แค่นั้นไม่มีใครว่า แต่คนไร้อนาคตพวกนี้พอรวมกลุ่มกันได้คราใดเป็นต้องแข่งกันโวเรื่องการเมืองและสังคม แต่ละคนจะสงวนท่าที อำพรางตัวตนไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นสีอะไร ท่านโทกุงาวะทางตะวันออกหรือว่าท่านโทโยโทมิทางตะวันตก เพราะจะต้องคอยจับจ้องความผันผวนของกาลเวลาและสถานการณ์ พอมีเถาวัลย์แข็งแกร่งแกว่งผ่านมาถูกจังหวะก็จะรีบคว้าเอาไว้โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นสีอะไร แต่ละคนมาเหนือเมฆกันทั้งนั้นถ้าทางการบ้านเมืองมือไม่ดีจริงก็เอาไม่อยู่
จนกระทั่งโทกุงาวะ อิเอยาซุ บัญชาให้อิตากูระ คัตสึชิเงะ เข้ามารับตำแหน่งที่นครหลวงเกียวโตในปี 1601 มีเรื่องเล่าว่า อิตากูระไม่ได้ตอบรับทันทีที่ได้รับการแต่งตั้ง บอกกับท่านอิเอยาซุว่าจะกลับไปปรึกษากับเมียที่บ้านก่อนจึงจะมาให้คำตอบ ครั้นเมื่อกลับถึงบ้านอิตากูระก็เล่าเรื่องที่ท่านจอมทัพแต่งตั้งให้ตนไปรับตำแหน่งที่เกียวโตให้เมียฟังและบอกว่า
ตั้งแต่สมัยโบราณนานมา ขุนนางหลายต่อหลายคนผู้ทำคุณงามความดีได้รับบำเหน็จรางวัล และตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นไปเป็นเกียรติเป็นศรี แต่ต่อมาไม่นานวงศ์ตระกูลก็เริ่มเสื่อมโทรมจนล่มสลาย และหลายคนต้องจบชีวิตตนเอง สาเหตุของความหายนะทั้งหมดนั้นเกิดจากปัญหาที่เมียและบรรดาญาติก่อขึ้น ดังนั้นข้าจึงต้องปรึกษากับหัวใจของเจ้าก่อน ถ้าเจ้าให้สัญญาว่าจะไม่เข้ามาแทรกแซงงานราชการของข้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าถึงจะยอมรับตำแหน่ง
นางได้ฟังดังนั้นจึงให้สัญญาและบอกว่า
ข้าเป็นผู้หญิง จะไปแทรกแซงงานราชการของขุนนางอย่างท่านได้อย่างไรกัน
วันรุ่งขึ้น อิตากูระแต่งตัวจะออกไปทำงานที่ปราสาทท่านจอมทัพ เมียเห็นคอเสื้อชั้นในของผัวพับอยู่จึงเข้าไปจะจับให้เข้าที่ จึงถูกดุว่า
เจ้าลืมสัญญาที่ให้ไว้เสียแล้วรึ
แล้วให้เมียสัญญาอย่างมั่นคงอีกครั้ง ก่อนที่จะไปตอบรับตำแหน่งกับท่านอิเอยาซุ
อิตากูระเข้ารับตำแหน่งด้วยเจตนารมย์แน่วแน่เช่นนั้น ทำให้การทำงานของเขาโปร่งใสมากไม่มีนอกมีในอย่างสิ้นเชิง แต่ในเวลาเดียวกันก็เข้มงวดกวดขันจนคนลือกันทั่ว การมีข้าราชการที่น่าเกรงขามเป็นผู้บังคับบัญชานั้นบางคนอาจไมใชอบใจนัก แต่ต่อมาชาวเมืองก็เริ่มเข้าใจความปรารถนาดีของอิตากูระ และให้ความเคารพนับถือเขาเหมือนพ่อ และรู้สึกอุ่นใจว่ามีพ่อคอยดูแลอยู่
เล่าถึงอิตากูระออกนอกทางไปเสียไกล หันไปดูกันสิว่าใครเป็นคนร้องบอกมาแต่ไกลว่า
“เฮ้ย อิตากูระมา”
ต้องไม่ใช่พวกศิษย์สำนักโยชิโอกะแน่ เพราะกำลังจับจ้องจะเข่นฆ่ากันอยู่คงไม่มีใครเล่นตลกเช่นนั้นแน่นอน
2
อิตากูระ กลายเป็นคำสรรพนามที่หมายถึงเจ้าหน้าที่รักษาความสงบไปแล้ว
และการที่อิตากูระมาตอนที่กำลังจะประดาบกันเช่นนี้ไม่ดีแน่
จริง ๆ แล้วก็ไม่แปลกเจ้าหน้าที่พวกนี้มาเดินลาดตระเวนแถวนี้กันเป็นประจำ หรืออาจได้ยินเสียงเอะอะจึงวิ่งมาดูก็ได้
แต่ที่สำคัญในตอนนี้คือ
ใครเป็นตระโกนว่าอิตากูระมา
เป็นพรรคพวกกันของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือแค่ร้องเตือนพวกชาวบ้านที่เดินไปเดินมา
ศิษย์สำนักโยชิโอกะชะงักและหันไปมองทางต้นเสียง
“ช้าก่อน ช้าก่อน”
นักดาบหนุ่มคนหนึ่งแทรกเข้ามากลางวง ที่ศิษย์สำนักโยชิโอกะเงื้อง่าดาบในมือล้อมมูซาชิอยู่อย่างกระเหี้ยนกระหือรอ
“เอ๊ะ”
“เจ้าคือใคร”
ตาประกายวาวของเจ้าหนุ่มไว้ผมหน้าม้า จ้องตอบตาหลายคู่ของศิษย์สำนักโยชิโอกะ และดวงตากร้าวเป็นประกายไม่แพ้กันของมูซาชิ และว่า
“ข้าไงล่ะ หน้าตาอย่างนี้ ท่านทั้งสองฝ่ายน่าจะจำได้นา ซาซากิ โคจิโรยังไงเล่า ข้านั่งกระเช้าคานหามมาลงที่หน้าประตูใหญ่ ได้ยินเขาโจษกันว่ากำลังจะมีการประดาบกัน คิดอยู่เหมือนกันว่าเกิดเรื่องขึ้นจนได้แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่จนเมื่อกี้นี้เองก็เลยส่งเสียงให้ตกใจเล่น ข้าไม่ใช่พวกโยชิโอกะและก็ไม่ใช่พวกของมูซาชิด้วย แต่ในฐานะที่เป็นนักรบและนักดาบ ข้ามีสิทธิที่จะพูดเพื่อเกียรติภูมิของนักรบและเพื่อนักรบโดยรวมใช่หรือไม่”
ฝีปากของเจ้าหนุ่มช่างกล้าและองอาจไม่เข้ากับทรงผมหน้าม้าที่สมสมัยแม้แต่น้อย เรียวปากได้รูปและดวงตาวาวเป็นประการคู่นั้นไม่แววของความหยิ่งยะโสอยู่เลย
“ข้าอยากถามทุกท่านว่าจะทำยังไงกันหากลูกน้องของท่านอิตากูระมาที่นี่จริง ๆ ท่านจะอายไหมหากถูกจับไปเหมือนพวกอันธพาลข้างถนน ไม่ว่าท่านจะเป็นใครใหญ่โตแค่ไหน แต่ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โดยเฉพาะสำนักของท่านอิตากูระแล้วละก็ ต้องเป็นเรื่องใหญ่ทุกเรื่อง แล้วยิ่งตั้งท่าจะห้ำหั่นกันอย่างนี้ด้วยแล้วไม่มีทางจบลงด้วยการเป็นคดีชาวบ้านทะเลาะกันแน่
แย่ทั้งสถานที่ทั้งเวลา เมื่อนักรบไม่ว่าใครก็ตามก่อความวุ่นวายขึ้นในที่สาธารณะเป็นที่น่าละอาย นักรบทั้งมวลจะต้องพลอยเสื่อมเสียไปด้วย และในฐานะที่เป็นนักรบคนหนึ่งข้าขอให้พวกท่านหยุดการกระทำที่น่าละอายเช่นนี้ทันที หยุดตรงนี้และเดี๋ยวนี้ การตัดสินกันด้วยดาบจะต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องตามวิถีแห่งดาบ คือกำหนดเวลาและสถานที่ให้เป็นที่ตกลงกันทั้งสองฝ่ายก่อน”
คำพูดของโคจิโรมีพลังสะกดให้บรรดาศิษย์สำนักโยชิโอกะนิ่งฟังกันเงียบกริบ และทันทีที่พูดจบมิอิเกะศิษย์เอกของสำนักก็รับคำด้วยเสียงหนักแน่น
“ดี ข้าเข้าใจ แต่ท่านให้หลักประกันได้ไหมว่า ถ้าเรากำหนดเวลาและสถานที่แล้ว มูซาชิจะมาตามนัด”
“ก็ได้”
“ตอบแค่นี้ข้ารับไม่ได้ท่านต้องชัดเจนกว่านี้”
“อย่าลืมว่ามูซาชิเป็นสิ่งมีชีวิต”
“คิดจะช่วยให้หนีงั้นรึ”
“พูดบ้า ๆ”
โคจิโรดุเสียงฝาด
“ถ้าข้าไปเข้าข้างมูซาชิก็หมายความว่าข้าเป็นปรปักษ์กับพวกท่าน ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องไปปกป้องมูซาชิถึงขนาดนั้น ทั้งที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกับเขา แต่ถ้ามูซาชิเกิดหนีออกไปจากเกียวโตจริง ท่านก็ปักป้ายประจานความ ขี้ขลาดของเขาไปทั่วเมือง เอาให้สู้หน้าใครไม่ได้เลยเท่านั้นเอง”
“แค่นั้นไม่พอหรอกท่าน คืนนี้ จะให้เราถอนกำลังออกไปจากที่นี่ก็ได้ แต่ท่านจะต้องให้หลักประกันกับเราก่อนว่าท่านจะกักตัวมูซาชิไว้จนกว่าจะถึงวันประลองยุทธ์”
“เดี๋ยวก่อนได้ไหม ข้าจะลองคาดคั้นดู”
โคจิโรหันหลังกลับ ยืดอกและเดินอาด ๆ เข้าไปหามูซาชิที่ตนรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าจ้องหลังตนอยู่
3
ดวงตาวาวโรจน์ของนักดาบทั้งสองจับจ้องกันราวกับสัตว์ร้ายสองตัวกำลังจ้องเอาเชิงกันอยู่
เจ้าหนุ่มทั้งสองดูเหมือนจะมีอุปนิสัยที่เข้ากันไม่ได้โดยกำเนิด ต่างคนต่างเกรงกันอยู่ในที ความมั่นใจในตัวเองและพลังหนุ่มนั้นหากแตะกันเข้าเมื่อใดจะต้องเกิดการเสียดสีลุกเป็นไฟขึ้นทันที
นี่เป็นการปะทะความรู้สึกกันแบบเดียวกับที่สะพานโกโจครั้งนั้น ดวงตาของโคจิโรกับดวงตาของมูซาชิสื่อความรู้สึกต่อกันหมดสิ้นแล้วก่อนที่จะเอ่ยปากพูดกัน เป็นการต่อสู้ทางความคิดที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดของสองนักดาบ
โคจิโรเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน
“จะว่ายังไงมูซาชิ”
“อะไรรึ”
“ก็ที่ข้าพูดกับพวกโยชิโอกะเมื่อกี้”
“ตกลง”
“ดีจริง”
“แต่ ขอค้านเงื่อนไข”
“ไม่พอใจที่จะต้องอยู่ในการควบคุมของข้างั้นรึ”
“ข้าไม่เข้าใจว่าพวกโยชิโอกะคิดอะไรอยู่ ตอนประลองฝีมือกับเซจูโร และเด็นชิจิโร ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรที่น่าละอายสักนิด แล้วทำไมศิษย์ของพวกเขาคิดว่าข้าจะหนีคำท้า”
“อืม ท่านกล้าพูดกล้าทำดีแท้ ข้าจะจำคำพูดนี้ของท่านเอาไว้ เอาละมูซาชิ ท่านต้องการประลองยุทธ์วันไหน”
“ให้ฝ่ายนั้นเป็นคนกำหนดทั้งวันและสถานที่เองเถิด”
“เป็นคำตอบที่ชัดเจนมาก แล้วตั้งแต่วันนี้ท่านตกลงใจรึยังว่าจะไปพักอยู่ที่ไหน”
“ข้าไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง”
“ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าท่านพักอยู่ที่ไหน แล้วจะส่งจดหมายท้าทายให้ท่านได้ยังไง”
“ก็ให้เขากำหนดตรงนี้เลย แล้วข้าจะไปตามคำท้า”
“อืม”
โคจิโรพยักหน้ารับรู้แล้วเดินกลับไปหารือกับมิอิเกะและพวกศิษย์สำนักโยชิโอกะ ครู่หนึ่งต่อมาจึงเดินกลับไปที่มูซาชิอีกครั้ง
“พวกโยชิโอกะบอกว่าขอท้าทายให้มาประลองยุทธ์วันมะรืนเวลาตีห้า”
“ตกลง”
“สถานที่ประลองยุทธ์คือแนวสนเชิงเขาอิจิโจจิบนเส้นทาง เอ็นซันมิจิ”
“เข้าใจละ ที่แนวสนตรงหมู่บ้านอิจิโจจิ ถูกต้องนะ”
“ตัวแทนของสำนักดาบโยชิโอกะที่จะมาประลองยุทธ์กับท่านคือ เก็นทาโรลูกชายคนเดียวของโยชิโอกะ โกซาเอมอน ซึ่งเป็นลุงของเซจูโร และเด็นชิจิโร เก็นทาโรเป็นเจ้าสำนักโยชิโอกะคนใหม่ แต่เก็นจิโรยังเป็นเด็กทางสำนักจึงจัดให้มีลูกศิษย์สองสามคนประกอบมาด้วยเป็นมือสำรองในการประลอง จึงขอให้ท่านทราบเอาไว้ จะได้ว่าจะเข้าใจผิด”
เมื่อสองฝ่ายตกลงนัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว โคจิโรก็เคาะประตูกระท่อมคนตัดไม้และหายเข้าไปในนั้น
“เจ้าช่วยเอาไม้กระดานเหลือใช้ตรงนั้นมาให้หน่อย ข้าจะทำป้าย”
แล้วก็สั่งให้คนของโยชิโอกะวิ่งไปเอาพู่กันกับหมึก และพอได้มาก็จัดแจงใช้พู่กันเขียนวันเวลาและสถานที่ประลองยุทธ์ลงบนแผ่นไม้ด้วยความชำนาญ
พวกโยชิโอกะเป็นคนเอาไปปักประกาศไว้ในที่ ๆ คนผ่านไปมาจะได้เห็นกันทั่ว นับเป็นหลักประกันได้เป็นอย่างดีเพราะถ้าใครไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันก็จะถูกประณามว่าขี้ขลาด
มูซาชิรีบเดินไปทางโรงเลี้ยงม้ายานางิ ทำท่าคล้ายกับเป็นเรื่องของคนอื่น
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ไม่ว่ายุคใดสมัยใดไม่เว้นว่าแว่นแคว้นแดนไหนย่อมมีพวกอิสระชน ที่หาความสำราญไปวัน ๆ ด้วยความคิดที่ว่าชีวิตเรานั้นสั้นนัก เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็สนุกเสียให้คุ้ม ดั่งคำของท่านโนบูนางะผู้ยิ่งใหญ่ที่ว่าห้าสิบปีของชีวิตเรานั้นเท่ากับวันเดียวบนสวรรค์ ราวกับฝันเพียงข้ามคืน จึงเที่ยวเล่นทั้งเหล้าและผู้หญิงโดยทำใจแล้วว่าถึงตายเร็วก็ไม่หวั่น
แค่นั้นไม่มีใครว่า แต่คนไร้อนาคตพวกนี้พอรวมกลุ่มกันได้คราใดเป็นต้องแข่งกันโวเรื่องการเมืองและสังคม แต่ละคนจะสงวนท่าที อำพรางตัวตนไม่ให้ใครรู้ว่าเป็นสีอะไร ท่านโทกุงาวะทางตะวันออกหรือว่าท่านโทโยโทมิทางตะวันตก เพราะจะต้องคอยจับจ้องความผันผวนของกาลเวลาและสถานการณ์ พอมีเถาวัลย์แข็งแกร่งแกว่งผ่านมาถูกจังหวะก็จะรีบคว้าเอาไว้โดยไม่คำนึงว่าจะเป็นสีอะไร แต่ละคนมาเหนือเมฆกันทั้งนั้นถ้าทางการบ้านเมืองมือไม่ดีจริงก็เอาไม่อยู่
จนกระทั่งโทกุงาวะ อิเอยาซุ บัญชาให้อิตากูระ คัตสึชิเงะ เข้ามารับตำแหน่งที่นครหลวงเกียวโตในปี 1601 มีเรื่องเล่าว่า อิตากูระไม่ได้ตอบรับทันทีที่ได้รับการแต่งตั้ง บอกกับท่านอิเอยาซุว่าจะกลับไปปรึกษากับเมียที่บ้านก่อนจึงจะมาให้คำตอบ ครั้นเมื่อกลับถึงบ้านอิตากูระก็เล่าเรื่องที่ท่านจอมทัพแต่งตั้งให้ตนไปรับตำแหน่งที่เกียวโตให้เมียฟังและบอกว่า
ตั้งแต่สมัยโบราณนานมา ขุนนางหลายต่อหลายคนผู้ทำคุณงามความดีได้รับบำเหน็จรางวัล และตำแหน่งหน้าที่สูงขึ้นไปเป็นเกียรติเป็นศรี แต่ต่อมาไม่นานวงศ์ตระกูลก็เริ่มเสื่อมโทรมจนล่มสลาย และหลายคนต้องจบชีวิตตนเอง สาเหตุของความหายนะทั้งหมดนั้นเกิดจากปัญหาที่เมียและบรรดาญาติก่อขึ้น ดังนั้นข้าจึงต้องปรึกษากับหัวใจของเจ้าก่อน ถ้าเจ้าให้สัญญาว่าจะไม่เข้ามาแทรกแซงงานราชการของข้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าถึงจะยอมรับตำแหน่ง
นางได้ฟังดังนั้นจึงให้สัญญาและบอกว่า
ข้าเป็นผู้หญิง จะไปแทรกแซงงานราชการของขุนนางอย่างท่านได้อย่างไรกัน
วันรุ่งขึ้น อิตากูระแต่งตัวจะออกไปทำงานที่ปราสาทท่านจอมทัพ เมียเห็นคอเสื้อชั้นในของผัวพับอยู่จึงเข้าไปจะจับให้เข้าที่ จึงถูกดุว่า
เจ้าลืมสัญญาที่ให้ไว้เสียแล้วรึ
แล้วให้เมียสัญญาอย่างมั่นคงอีกครั้ง ก่อนที่จะไปตอบรับตำแหน่งกับท่านอิเอยาซุ
อิตากูระเข้ารับตำแหน่งด้วยเจตนารมย์แน่วแน่เช่นนั้น ทำให้การทำงานของเขาโปร่งใสมากไม่มีนอกมีในอย่างสิ้นเชิง แต่ในเวลาเดียวกันก็เข้มงวดกวดขันจนคนลือกันทั่ว การมีข้าราชการที่น่าเกรงขามเป็นผู้บังคับบัญชานั้นบางคนอาจไมใชอบใจนัก แต่ต่อมาชาวเมืองก็เริ่มเข้าใจความปรารถนาดีของอิตากูระ และให้ความเคารพนับถือเขาเหมือนพ่อ และรู้สึกอุ่นใจว่ามีพ่อคอยดูแลอยู่
เล่าถึงอิตากูระออกนอกทางไปเสียไกล หันไปดูกันสิว่าใครเป็นคนร้องบอกมาแต่ไกลว่า
“เฮ้ย อิตากูระมา”
ต้องไม่ใช่พวกศิษย์สำนักโยชิโอกะแน่ เพราะกำลังจับจ้องจะเข่นฆ่ากันอยู่คงไม่มีใครเล่นตลกเช่นนั้นแน่นอน
2
อิตากูระ กลายเป็นคำสรรพนามที่หมายถึงเจ้าหน้าที่รักษาความสงบไปแล้ว
และการที่อิตากูระมาตอนที่กำลังจะประดาบกันเช่นนี้ไม่ดีแน่
จริง ๆ แล้วก็ไม่แปลกเจ้าหน้าที่พวกนี้มาเดินลาดตระเวนแถวนี้กันเป็นประจำ หรืออาจได้ยินเสียงเอะอะจึงวิ่งมาดูก็ได้
แต่ที่สำคัญในตอนนี้คือ
ใครเป็นตระโกนว่าอิตากูระมา
เป็นพรรคพวกกันของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หรือแค่ร้องเตือนพวกชาวบ้านที่เดินไปเดินมา
ศิษย์สำนักโยชิโอกะชะงักและหันไปมองทางต้นเสียง
“ช้าก่อน ช้าก่อน”
นักดาบหนุ่มคนหนึ่งแทรกเข้ามากลางวง ที่ศิษย์สำนักโยชิโอกะเงื้อง่าดาบในมือล้อมมูซาชิอยู่อย่างกระเหี้ยนกระหือรอ
“เอ๊ะ”
“เจ้าคือใคร”
ตาประกายวาวของเจ้าหนุ่มไว้ผมหน้าม้า จ้องตอบตาหลายคู่ของศิษย์สำนักโยชิโอกะ และดวงตากร้าวเป็นประกายไม่แพ้กันของมูซาชิ และว่า
“ข้าไงล่ะ หน้าตาอย่างนี้ ท่านทั้งสองฝ่ายน่าจะจำได้นา ซาซากิ โคจิโรยังไงเล่า ข้านั่งกระเช้าคานหามมาลงที่หน้าประตูใหญ่ ได้ยินเขาโจษกันว่ากำลังจะมีการประดาบกัน คิดอยู่เหมือนกันว่าเกิดเรื่องขึ้นจนได้แต่ก็ไม่แน่ใจว่าจะใช่จนเมื่อกี้นี้เองก็เลยส่งเสียงให้ตกใจเล่น ข้าไม่ใช่พวกโยชิโอกะและก็ไม่ใช่พวกของมูซาชิด้วย แต่ในฐานะที่เป็นนักรบและนักดาบ ข้ามีสิทธิที่จะพูดเพื่อเกียรติภูมิของนักรบและเพื่อนักรบโดยรวมใช่หรือไม่”
ฝีปากของเจ้าหนุ่มช่างกล้าและองอาจไม่เข้ากับทรงผมหน้าม้าที่สมสมัยแม้แต่น้อย เรียวปากได้รูปและดวงตาวาวเป็นประการคู่นั้นไม่แววของความหยิ่งยะโสอยู่เลย
“ข้าอยากถามทุกท่านว่าจะทำยังไงกันหากลูกน้องของท่านอิตากูระมาที่นี่จริง ๆ ท่านจะอายไหมหากถูกจับไปเหมือนพวกอันธพาลข้างถนน ไม่ว่าท่านจะเป็นใครใหญ่โตแค่ไหน แต่ถ้าตกอยู่ในเงื้อมมือของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง โดยเฉพาะสำนักของท่านอิตากูระแล้วละก็ ต้องเป็นเรื่องใหญ่ทุกเรื่อง แล้วยิ่งตั้งท่าจะห้ำหั่นกันอย่างนี้ด้วยแล้วไม่มีทางจบลงด้วยการเป็นคดีชาวบ้านทะเลาะกันแน่
แย่ทั้งสถานที่ทั้งเวลา เมื่อนักรบไม่ว่าใครก็ตามก่อความวุ่นวายขึ้นในที่สาธารณะเป็นที่น่าละอาย นักรบทั้งมวลจะต้องพลอยเสื่อมเสียไปด้วย และในฐานะที่เป็นนักรบคนหนึ่งข้าขอให้พวกท่านหยุดการกระทำที่น่าละอายเช่นนี้ทันที หยุดตรงนี้และเดี๋ยวนี้ การตัดสินกันด้วยดาบจะต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องตามวิถีแห่งดาบ คือกำหนดเวลาและสถานที่ให้เป็นที่ตกลงกันทั้งสองฝ่ายก่อน”
คำพูดของโคจิโรมีพลังสะกดให้บรรดาศิษย์สำนักโยชิโอกะนิ่งฟังกันเงียบกริบ และทันทีที่พูดจบมิอิเกะศิษย์เอกของสำนักก็รับคำด้วยเสียงหนักแน่น
“ดี ข้าเข้าใจ แต่ท่านให้หลักประกันได้ไหมว่า ถ้าเรากำหนดเวลาและสถานที่แล้ว มูซาชิจะมาตามนัด”
“ก็ได้”
“ตอบแค่นี้ข้ารับไม่ได้ท่านต้องชัดเจนกว่านี้”
“อย่าลืมว่ามูซาชิเป็นสิ่งมีชีวิต”
“คิดจะช่วยให้หนีงั้นรึ”
“พูดบ้า ๆ”
โคจิโรดุเสียงฝาด
“ถ้าข้าไปเข้าข้างมูซาชิก็หมายความว่าข้าเป็นปรปักษ์กับพวกท่าน ไม่มีเหตุผลอะไรที่ข้าจะต้องไปปกป้องมูซาชิถึงขนาดนั้น ทั้งที่ไม่ได้เป็นเพื่อนกับเขา แต่ถ้ามูซาชิเกิดหนีออกไปจากเกียวโตจริง ท่านก็ปักป้ายประจานความ ขี้ขลาดของเขาไปทั่วเมือง เอาให้สู้หน้าใครไม่ได้เลยเท่านั้นเอง”
“แค่นั้นไม่พอหรอกท่าน คืนนี้ จะให้เราถอนกำลังออกไปจากที่นี่ก็ได้ แต่ท่านจะต้องให้หลักประกันกับเราก่อนว่าท่านจะกักตัวมูซาชิไว้จนกว่าจะถึงวันประลองยุทธ์”
“เดี๋ยวก่อนได้ไหม ข้าจะลองคาดคั้นดู”
โคจิโรหันหลังกลับ ยืดอกและเดินอาด ๆ เข้าไปหามูซาชิที่ตนรู้สึกอยู่ตลอดเวลาว่าจ้องหลังตนอยู่
3
ดวงตาวาวโรจน์ของนักดาบทั้งสองจับจ้องกันราวกับสัตว์ร้ายสองตัวกำลังจ้องเอาเชิงกันอยู่
เจ้าหนุ่มทั้งสองดูเหมือนจะมีอุปนิสัยที่เข้ากันไม่ได้โดยกำเนิด ต่างคนต่างเกรงกันอยู่ในที ความมั่นใจในตัวเองและพลังหนุ่มนั้นหากแตะกันเข้าเมื่อใดจะต้องเกิดการเสียดสีลุกเป็นไฟขึ้นทันที
นี่เป็นการปะทะความรู้สึกกันแบบเดียวกับที่สะพานโกโจครั้งนั้น ดวงตาของโคจิโรกับดวงตาของมูซาชิสื่อความรู้สึกต่อกันหมดสิ้นแล้วก่อนที่จะเอ่ยปากพูดกัน เป็นการต่อสู้ทางความคิดที่ไม่จำเป็นต้องใช้คำพูดของสองนักดาบ
โคจิโรเป็นคนเอ่ยขึ้นก่อน
“จะว่ายังไงมูซาชิ”
“อะไรรึ”
“ก็ที่ข้าพูดกับพวกโยชิโอกะเมื่อกี้”
“ตกลง”
“ดีจริง”
“แต่ ขอค้านเงื่อนไข”
“ไม่พอใจที่จะต้องอยู่ในการควบคุมของข้างั้นรึ”
“ข้าไม่เข้าใจว่าพวกโยชิโอกะคิดอะไรอยู่ ตอนประลองฝีมือกับเซจูโร และเด็นชิจิโร ข้าก็ไม่ได้ทำอะไรที่น่าละอายสักนิด แล้วทำไมศิษย์ของพวกเขาคิดว่าข้าจะหนีคำท้า”
“อืม ท่านกล้าพูดกล้าทำดีแท้ ข้าจะจำคำพูดนี้ของท่านเอาไว้ เอาละมูซาชิ ท่านต้องการประลองยุทธ์วันไหน”
“ให้ฝ่ายนั้นเป็นคนกำหนดทั้งวันและสถานที่เองเถิด”
“เป็นคำตอบที่ชัดเจนมาก แล้วตั้งแต่วันนี้ท่านตกลงใจรึยังว่าจะไปพักอยู่ที่ไหน”
“ข้าไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่ง”
“ถ้าอีกฝ่ายไม่รู้ว่าท่านพักอยู่ที่ไหน แล้วจะส่งจดหมายท้าทายให้ท่านได้ยังไง”
“ก็ให้เขากำหนดตรงนี้เลย แล้วข้าจะไปตามคำท้า”
“อืม”
โคจิโรพยักหน้ารับรู้แล้วเดินกลับไปหารือกับมิอิเกะและพวกศิษย์สำนักโยชิโอกะ ครู่หนึ่งต่อมาจึงเดินกลับไปที่มูซาชิอีกครั้ง
“พวกโยชิโอกะบอกว่าขอท้าทายให้มาประลองยุทธ์วันมะรืนเวลาตีห้า”
“ตกลง”
“สถานที่ประลองยุทธ์คือแนวสนเชิงเขาอิจิโจจิบนเส้นทาง เอ็นซันมิจิ”
“เข้าใจละ ที่แนวสนตรงหมู่บ้านอิจิโจจิ ถูกต้องนะ”
“ตัวแทนของสำนักดาบโยชิโอกะที่จะมาประลองยุทธ์กับท่านคือ เก็นทาโรลูกชายคนเดียวของโยชิโอกะ โกซาเอมอน ซึ่งเป็นลุงของเซจูโร และเด็นชิจิโร เก็นทาโรเป็นเจ้าสำนักโยชิโอกะคนใหม่ แต่เก็นจิโรยังเป็นเด็กทางสำนักจึงจัดให้มีลูกศิษย์สองสามคนประกอบมาด้วยเป็นมือสำรองในการประลอง จึงขอให้ท่านทราบเอาไว้ จะได้ว่าจะเข้าใจผิด”
เมื่อสองฝ่ายตกลงนัดหมายกันเรียบร้อยแล้ว โคจิโรก็เคาะประตูกระท่อมคนตัดไม้และหายเข้าไปในนั้น
“เจ้าช่วยเอาไม้กระดานเหลือใช้ตรงนั้นมาให้หน่อย ข้าจะทำป้าย”
แล้วก็สั่งให้คนของโยชิโอกะวิ่งไปเอาพู่กันกับหมึก และพอได้มาก็จัดแจงใช้พู่กันเขียนวันเวลาและสถานที่ประลองยุทธ์ลงบนแผ่นไม้ด้วยความชำนาญ
พวกโยชิโอกะเป็นคนเอาไปปักประกาศไว้ในที่ ๆ คนผ่านไปมาจะได้เห็นกันทั่ว นับเป็นหลักประกันได้เป็นอย่างดีเพราะถ้าใครไม่ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ต่อกันก็จะถูกประณามว่าขี้ขลาด
มูซาชิรีบเดินไปทางโรงเลี้ยงม้ายานางิ ทำท่าคล้ายกับเป็นเรื่องของคนอื่น