นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เมื่อไม่มีใครเข้ามากั้นขวางมูซาชิก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องหยุด
เจ้าหนุ่มนักดาบเดินตัวตรงก้าวยาว ๆ ด้วยท่วงท่าอาจหาญผ่านพ้นร้านน้ำชา ดุ่มไปข้างหน้าได้ราวหนึ่งร้อยก้าวก็มีเสียงตะโกนอย่างเลือดเดือดดังลั่นออกมาจากกลุ่มศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะ
“กล้าดีก็เข้ามา”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงศิษย์ร่วมสำนักแปดเก้าคนก็ชักดาบดังเควี้ยวคว้าวกรูออกมาล้อมหน้าล้อมหลังเป็นวง ร้องท้าเป็นเสียงเดียวกัน
“กล้าดีก็ชักดาบออกมาเลย”
“มูซาชิ หยุดเดี๋ยวนี้”
นักดาบคนหนึ่งถลันออกมาตรงหน้า
“อะไรรึ”
มูซิชิตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติแต่กระแสเสียงนั้นหนักแน่นจนหูของศัตรูสะเทือน เจ้าหนุ่มขยับตัวไปทางด้านข้างและหยุดยืนหยัดอยู่ข้างทางตรงที่มีกระท่อมชายป่าเป็นเครื่องกำบังหลัง มองจากท่อนไม้ที่ก่ายกองกันเป็นภูเขาก็รู้ว่าเป็นกระท่อมที่หลับนอนของคนตัดไม้
คนข้างในได้ยินเสียงเอะอะจึงแง้มประตูออกมาดู
“ทะเลาะกันอีกแล้ว ข้าละเบื่อ”
แต่พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็ร้องไม่เป็นภาษาแล้วรีบปิดประตูขัดสลักกลอนแน่นหนา แล้วก็คงซุกเข้าไปนอนตัวสั่นอยู่ในโปง ไม่มีใครร้องอะไรอีกสักแอะเดียวราวกับเป็นกระท่อมร้าง
ฝ่ายศิษย์สำนักโยชิโอกะกระเหี้ยนกระหือรือราวกับฝูงหมาหลงป่า เป่าปากบ้างส่งเสียงกู่ตะโกนบ้างเป็นสัญญาณให้มากลุ้มรุมกัน และไม่กี่อึดใจต่อมาพรรคพวกก็แห่เข้ามาพร้อมเพรียงกัน มากมายจนตาลายเห็นเป็นเกือบสองเท่า มายี่สิบเห็นเป็นสี่สิบ หรือว่ามาสี่สิบเห็นเป็นเจ็ดสิบ แต่ที่แน่ ๆ คือไม่น้อยกว่าสามสิบ
นักดาบในชุดดำปลอดตีวงล้อมมูซาชิเอาไว้ทุกด้านและเมื่อรวมกระท่อมมืด ๆ ด้านหลังด้วยแล้ว จึงดูเหมือนเจ้าหนุ่มนักดาบยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางวงกั้นของกำแพงสีดำ
ดวงตาโตและคมวาวของมูซาชิจับจ้องไปข้างหน้า คะเนจำนวนนักดาบที่ล้อมอยู่สามด้านและตั้งสมาธิอ่านจากท่าทีของศัตรูว่าจะเคลื่อนไหวไปทางใด
เมื่อคนสามสิบคนมาผนึกกำลังกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอ่านใจของทั้งสามสิบคน เพราะกลุ่มคนย่อมมีใจเดียวกัน และการอ่านใจหมู่คณะนั้นไม่ใช่เรื่องยากเพราะแค่เคลื่อนไหวเพียงนิดเดียวก็จับทางได้แล้ว
จริงดังคาด ไม่มีใครแตกกลุ่มกระโจนเข้ามาฟันมูซาชิทันควัน ทุกคนยังเกาะกลุ่มจดจ้องอย่างกระเหี้ยนกระหือรือร้องด่าทอ สาปแช่งมูซาชิรับกันไปเป็นทอด ๆ อยู่อย่างนั้น บางคนใช้คำหยาบราวกับนักเลงข้างถนนไม่สมกับที่เป็นศิษย์สำนักดาบ บางคนก็ด่าเรียบ ๆ อย่างไอ้บ้า...ไอ้ขี้ขลาด ก็ว่ากันไป แต่ยิ่งล้อมอยู่นานเข้าโดยไม่ลงมือสักทีก็ยิ่งแสดงให้เห็นจุดอ่อนของแต่ละคน
ระหว่างนั้น ฝ่ายมูซาชิที่ตั้งท่ารอรับมือเต็มที่อยู่ตั้งแต่แรกจึงมีเวลาคิดทำอะไร ๆ มากกว่าศัตรู แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นแวววาวก็ยังอ่านจากใบหน้าท่าทีออกว่าคนไหนแข็งแกร่ง คนไหนอ่อนแอไม่เอาไหน ทั้งยังมีเวลาพอที่จะเตรียมใจรับการโจมตีของศัตรูอีกด้วย
“ใครเป็นคนสั่งให้มูซาชิหยุด ข้านี่แหละมูซาชิ”
เข้าหนุ่มนักดาบกวาดสายตาระใบหน้าไปจนทั่ว
“พวกเราที่อยู่ตรงนี้ทุกคนเป็นคนเรียกให้เจ้าหยุด
“งั้นพวกเจ้าก็คือศิษย์สำนักโยชิโอกะ”
“ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้”
“มีธุระอะไรกับข้ารึ”
“ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องบอกอะไรอีกแล้ว มูซาชิ เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง”
2
“เตรียมตัว ?”
มูซาชิเบ้ปากนิด ๆ
เสียงหัวเราะเยียบเย็นที่ลอดซี่ฟันขาวออกมาตามมา ทำเอาศิษย์สำนักดาบที่ล้อมอยู่ราวรั้วเหล็กดำทะมึนแทบหายหึกเหิม แต่ละคนตัวเย็นเฉยบเหมือนถูกลมหนาวแทรกเข้าไปในขุมขน
มูซาชิเห็นดังนั้นจึงข่มขวัญต่อไปทันที
“นักรบเตรียมตัวพร้อมเสนอแม้ในยามหลับ เจ้าจะประดาบกับข้าเมื่อไรก็ได้ทุกเมื่อ ถ้าพวกเจ้ารักที่จะหาเรื่องทะเลาะวิวาทอย่างไม่มีทั้งความหมายและเหตุผล ข้าก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะพูดด้วยอย่างที่มนุษย์เจรจากัน หรือด้วยมารยาของนักดาบ แต่เดี๋ยวก่อน ข้าขอถามเจ้าคำเดียวว่าเจ้าอยากสังหารข้า หรือว่าอยากสู้กันซึ่ง ๆ หน้ากับข้าอย่างลูกผู้ชาย”
“... ... ...”
“ขอถามคำเดียวว่ามาฆ่าล้างแค้น หรือว่ามาประลองฝีมือดาบกันเป็นการแก้ตัวที่พ่ายแพ้ครั้งก่อน”
“... ... ...”
ขณะพูด มูซาชิรู้ดีว่ากำลังเสี่ยงอันตรายอยู่ในระยะเผาขน และทันทีที่ตนเคลื่อนไหวสายตาหรือร่างกายผิดจังหวะ ดาบสามสิบสี่สิบเล่มจะต้องพุ่งเข้าใส่ตนราวน้ำพุพุ่งจากรูที่ถูกปิดกดเอาไว้
ใครคนหนึ่งร้องตอบเสียงกร้าวออกมาจากวงล้อมสามด้านที่นิ่งและเงียบงันอยู่
“ไม่ต้องบอกเจ้าก็รู้ดีแก่ใจ”
ตาเหยี่ยวของมูซาชิวาววาบขึ้นและจับจ้องไปยังเจ้าของเสียงทันควัน มองจากอายุอานามและท่าทางองอาจแล้วน่าจะเป็นศิษย์เอกผู้มีฝีมือเชิดชูเกียรติภูมิของสำนักโยชิโอกะ
นักดาบผู้นั้นคือมิอิเกะ จูโรซาเอมอน
มิอิเกะตัดสินใจหยุดการล้อมศัตรูนิ่งอยู่ด้วยการก้าวออกมาประดาบกับศัตรูเป็นคนแรก ศิษย์เอกของสำนักเลื่อนเท้าไปกับพื้นดินด้วยแรงเคลื่อนที่หนักแน่นและมั่นคงอันเป็นท่าของนักดาบที่พร้อมประจันบาน
“เซจูโรครูดาบของข้าต้องพ่ายแพ้แก่เจ้า ไม่นานต่อมาเด็นชิจิโรน้องชายของครูดาบก็ต้องตายไปด้วยฝีมือของเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราจะสู้หน้ากับใครได้ยังไงถ้าปล่อยให้เจ้าลอยนวลอยู่อย่างนี้ ศิษย์สำนักดาบหลายร้อยคนผู้มีความกตัญญูรู้คุณครูและมีความสัตย์ซื่อต่อสำนักดาบ ให้คำมั่นสัญญาร่วมกันว่าจะต้องล้างอายให้ครู และกู้เกียรติของสำนักดาบโยชิโอกะกลับคืนมา เราไม่ได้มาฆ่าล้างแค้นเจ้าแต่มาท้าเจ้าประลองยุทธ์เพื่อแก้ตัวให้เซจูโรครูดาบของเรา และเพื่อให้วิญญาณของน้องชายครูไปสู่สุขคติ มูซาชิ...ข้าเองอดเวทนาเจ้าไม่ได้ ที่วันนี้เจ้าจะต้องสังเวยคมดาบของข้าด้วยหัวของเจ้า”
“โอ้...ช่างเป็นสุนทรวาจาสมกับเป็นนักดาบอะไรเช่นนี้ ถ้านั่นเป็นเจตจำนงของท่านจริงข้าก็คงต้องพร้อมที่จะพลีชีวิตที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวให้แก่คมดาบของท่าน แต่ดูจากพฤติกรรมของพวกท่านแล้วมันเป็นการยกพวกมารุมฆ่ากันชัด ๆ ถ้าท่านประสงค์ที่จะประลองยุทธ์กับข้าจริง ทำไมจึงไม่ทำให้สมศักดิ์ศรีของนักดาบอย่างเซจูกับน้องชายของเขาเล่า”
“หยุด...เจ้าเองไม่ใช่รึที่หลบซ่อนตัวมาจนถึงวันนี้ แล้วนี่ก็กำลังจะหนีไปแว่นแคว้นอื่น ดีที่พวกเราดักไว้ได้ทัน”
“คนขี้ขลาดมักคิดว่าคนอื่นก็ขี้ขลาดเช่นเดียวกับตน ก็เห็นอยู่ตำตาแล้วไม่ใช่หรือว่ามูซาชิไม่ได้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน และไม่จำเป็นต้องหนีใครไปไหนด้วย”
“ก็เพราะเราหาตัวเจ้าพบน่ะซี อย่ามาทำอวดดี”
“พูดได้ยังไง ถ้าคิดจะเล็ดลอดหนีไปจริง ๆ ข้ามีอีกตั้งหลายหนทาง”
“คิดหรือว่าศิษย์สำนักโยชิโอกะจะปล่อยให้เจ้าหนีไปได้”
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าจะต้องมาคอยทักทายข้าไม่ด้วยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง แต่ไม่นึกว่าจะมาคอยดักสังหารข้าให้ผู้คนแตกตื่นไปทั้งย่านเริงรมย์ราวกับฝูงหมาจรจัดรุมทึ้งเหยื่อ ห่รือพวกนักเลงอันธพาลไร้สกุลรุนชาติรุมรังแกคน ๆ เดียวเช่นนี้ การกระทำของพวกเจ้าไม่ได้ทำลายชื่อเสียงของใครคนเดียว แต่นักดาบทั่วทุกหัวระแหงจะพลอยอับอายไปด้วย รู้ไปถึงไหนทั้งครูเจ้าและน้องชายก็จะกลายเป็นเรื่องขบขันให้ใคร ๆ เขาหัวเราะกัน เจ้าทำกันเช่นนี้แทนที่จะเป็นการล้างอาย กลับเป็นการออกมาแฉให้ครูกับน้องชายยิ่งอับอายขึ้นไปอีก
ถ้าเจ้าคิดจะทำเช่นนั้นนั้นต่อไป โดยไม่เกรงว่าตะกูลอันเก่าแก่ของครูเจ้าจะต้องล่มสลาย สำนักดาบโยชิโอกะจะต้องสิ้นชื่อ และพวกเจ้าเองจะต้องละทิ้งความเป็นนักดาบ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องพูดต้องบอกอีกแล้ว นอกจากว่า มูซาชิจะสู้ตราบที่ยังมีมือเท้าและลำตัวอยู่ครบ และจะสู้จนศพศัตรูกองเป็นภูเขาเลากาเลยทีเดียว”
“ปากดีนักรึ”
เจ้าของเสียงไม่ใช่มิอิเกะแต่เป็นของนักดาบคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ นั้น ที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเค้นเสียงออกมาพร้อมชักดาบดังขวับตั้งท่าพร้อมฟัน
“เฮ้ย อิตากูระมา”
เสียงใครคนหนึ่งร้องบอกมาแต่ไกล
3
สมัยนั้นชื่ออิตากูระกลายเป็นสามานยนามของขุนนางผู้น่าเกรงขาม
อิตากูระ คัตสึชิเงะแห่งอิงะ ผู้เป็นเจ้าของชื่อคือขุนนางฝ่ายปกครองผู้มีอำนาจราชศักดิ์คนหนึ่งของนครหลวงเกียวโต แม้จะทำงานเก่งแต่ก็เก่งด้วยการใช้อำนาจเหมือนเป็นหมัดเหล็ก แม้แต่เพลงสำหรับเด็กก็ยังเอ่ยถึงอิตากูระในเนื้อเพลงด้วย อย่างเช่นเพลงหนึ่งร้องว่า
เปลือกเกาลัดของใครอยูบนถนน
ของท่านอิตากูระแห่งอิงะเหรอ
ทุกคนหนีเร็ว
อีกเพลงหนึ่งก็ว่า
ท่านอิตางูระแห่งอิงะ
มีมือแยะกว่าพระโพธิสัตว์คันนอนพันกร
มีตามากกว่าเท็นโมกุสามตา
ท่านเที่ยวตรวจตราไปทั่ว
เกียวโตไม่ใช่นครที่ปกครองได้ง่าย ขณะที่เอโดะเริ่มรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่การเป็นเมืองใหญ่ที่สุด นครหลวงเก่าแห่งนี้ก็ยังเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและการทหาร ทั้งยังก้าวหน้าที่สุดทั้งทางการศึกษาและวัฒนธรรม เป็นที่ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโชกุนกันอย่างชัดเจนมาก
ตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมาชาวเมืองส่วนใหญ่ละทิ้งความทะเยอทะยานที่จะได้เป็นนักรบ หันมาทำอาชีพพ่อค้าบ้างช่างฝีมือบ้าง และโดยรวมเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ในบรรดาพลเมืองยังมีพวกนักรบซามูไรที่เฝ้าคอยเฝ้าดูสถานการณ์ว่าตระกูลโทกูงาวะจะถูกตระกูลโทโยโทมิทำอะไรให้เป็นที่ไม่พอใจหรือไม่ และพวกแม่ทัพที่ไม่มีทั้งภูมิหลังและเชื้อสายตระกูลนักรบแต่มีกองทัพส่วนตัวที่ใหญ่โตไม่น้อย ทั้งยังมีซามูไรไร้นายอย่างที่นาราอยู่เป็นจำนวนมาก
พวกนักเลงอันธพาลที่มีอยู่ทุกหย่อมหญ้า หลายคนรวมหัวกับซามูไรไร้นายหากินทางมิจฉาชีพ รีดไถชาวบ้าน คุมบ่อนการพนัน ลักตัวผู้คนไปเรียกค่าไถ่ และหาช่องทางก่อกวนชาวบ้านไม่ได้หยุด ขณะเดียวกันกิจการร้านดื่มกินและซ่องนางโลมเจริญรุ่งเรือง เปิดร้านใหม่ ๆ กันไม่หยุดหย่อน
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เมื่อไม่มีใครเข้ามากั้นขวางมูซาชิก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ต้องหยุด
เจ้าหนุ่มนักดาบเดินตัวตรงก้าวยาว ๆ ด้วยท่วงท่าอาจหาญผ่านพ้นร้านน้ำชา ดุ่มไปข้างหน้าได้ราวหนึ่งร้อยก้าวก็มีเสียงตะโกนอย่างเลือดเดือดดังลั่นออกมาจากกลุ่มศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะ
“กล้าดีก็เข้ามา”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงศิษย์ร่วมสำนักแปดเก้าคนก็ชักดาบดังเควี้ยวคว้าวกรูออกมาล้อมหน้าล้อมหลังเป็นวง ร้องท้าเป็นเสียงเดียวกัน
“กล้าดีก็ชักดาบออกมาเลย”
“มูซาชิ หยุดเดี๋ยวนี้”
นักดาบคนหนึ่งถลันออกมาตรงหน้า
“อะไรรึ”
มูซิชิตอบเหมือนเป็นเรื่องปกติแต่กระแสเสียงนั้นหนักแน่นจนหูของศัตรูสะเทือน เจ้าหนุ่มขยับตัวไปทางด้านข้างและหยุดยืนหยัดอยู่ข้างทางตรงที่มีกระท่อมชายป่าเป็นเครื่องกำบังหลัง มองจากท่อนไม้ที่ก่ายกองกันเป็นภูเขาก็รู้ว่าเป็นกระท่อมที่หลับนอนของคนตัดไม้
คนข้างในได้ยินเสียงเอะอะจึงแง้มประตูออกมาดู
“ทะเลาะกันอีกแล้ว ข้าละเบื่อ”
แต่พอเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็ร้องไม่เป็นภาษาแล้วรีบปิดประตูขัดสลักกลอนแน่นหนา แล้วก็คงซุกเข้าไปนอนตัวสั่นอยู่ในโปง ไม่มีใครร้องอะไรอีกสักแอะเดียวราวกับเป็นกระท่อมร้าง
ฝ่ายศิษย์สำนักโยชิโอกะกระเหี้ยนกระหือรือราวกับฝูงหมาหลงป่า เป่าปากบ้างส่งเสียงกู่ตะโกนบ้างเป็นสัญญาณให้มากลุ้มรุมกัน และไม่กี่อึดใจต่อมาพรรคพวกก็แห่เข้ามาพร้อมเพรียงกัน มากมายจนตาลายเห็นเป็นเกือบสองเท่า มายี่สิบเห็นเป็นสี่สิบ หรือว่ามาสี่สิบเห็นเป็นเจ็ดสิบ แต่ที่แน่ ๆ คือไม่น้อยกว่าสามสิบ
นักดาบในชุดดำปลอดตีวงล้อมมูซาชิเอาไว้ทุกด้านและเมื่อรวมกระท่อมมืด ๆ ด้านหลังด้วยแล้ว จึงดูเหมือนเจ้าหนุ่มนักดาบยืนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางวงกั้นของกำแพงสีดำ
ดวงตาโตและคมวาวของมูซาชิจับจ้องไปข้างหน้า คะเนจำนวนนักดาบที่ล้อมอยู่สามด้านและตั้งสมาธิอ่านจากท่าทีของศัตรูว่าจะเคลื่อนไหวไปทางใด
เมื่อคนสามสิบคนมาผนึกกำลังกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนเช่นนี้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องอ่านใจของทั้งสามสิบคน เพราะกลุ่มคนย่อมมีใจเดียวกัน และการอ่านใจหมู่คณะนั้นไม่ใช่เรื่องยากเพราะแค่เคลื่อนไหวเพียงนิดเดียวก็จับทางได้แล้ว
จริงดังคาด ไม่มีใครแตกกลุ่มกระโจนเข้ามาฟันมูซาชิทันควัน ทุกคนยังเกาะกลุ่มจดจ้องอย่างกระเหี้ยนกระหือรือร้องด่าทอ สาปแช่งมูซาชิรับกันไปเป็นทอด ๆ อยู่อย่างนั้น บางคนใช้คำหยาบราวกับนักเลงข้างถนนไม่สมกับที่เป็นศิษย์สำนักดาบ บางคนก็ด่าเรียบ ๆ อย่างไอ้บ้า...ไอ้ขี้ขลาด ก็ว่ากันไป แต่ยิ่งล้อมอยู่นานเข้าโดยไม่ลงมือสักทีก็ยิ่งแสดงให้เห็นจุดอ่อนของแต่ละคน
ระหว่างนั้น ฝ่ายมูซาชิที่ตั้งท่ารอรับมือเต็มที่อยู่ตั้งแต่แรกจึงมีเวลาคิดทำอะไร ๆ มากกว่าศัตรู แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ดวงตากลมโตคู่นั้นแวววาวก็ยังอ่านจากใบหน้าท่าทีออกว่าคนไหนแข็งแกร่ง คนไหนอ่อนแอไม่เอาไหน ทั้งยังมีเวลาพอที่จะเตรียมใจรับการโจมตีของศัตรูอีกด้วย
“ใครเป็นคนสั่งให้มูซาชิหยุด ข้านี่แหละมูซาชิ”
เข้าหนุ่มนักดาบกวาดสายตาระใบหน้าไปจนทั่ว
“พวกเราที่อยู่ตรงนี้ทุกคนเป็นคนเรียกให้เจ้าหยุด
“งั้นพวกเจ้าก็คือศิษย์สำนักโยชิโอกะ”
“ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้”
“มีธุระอะไรกับข้ารึ”
“ข้าคิดว่าคงไม่จำเป็นต้องบอกอะไรอีกแล้ว มูซาชิ เจ้าเตรียมตัวพร้อมหรือยัง”
2
“เตรียมตัว ?”
มูซาชิเบ้ปากนิด ๆ
เสียงหัวเราะเยียบเย็นที่ลอดซี่ฟันขาวออกมาตามมา ทำเอาศิษย์สำนักดาบที่ล้อมอยู่ราวรั้วเหล็กดำทะมึนแทบหายหึกเหิม แต่ละคนตัวเย็นเฉยบเหมือนถูกลมหนาวแทรกเข้าไปในขุมขน
มูซาชิเห็นดังนั้นจึงข่มขวัญต่อไปทันที
“นักรบเตรียมตัวพร้อมเสนอแม้ในยามหลับ เจ้าจะประดาบกับข้าเมื่อไรก็ได้ทุกเมื่อ ถ้าพวกเจ้ารักที่จะหาเรื่องทะเลาะวิวาทอย่างไม่มีทั้งความหมายและเหตุผล ข้าก็ไม่เห็นประโยชน์อะไรที่จะพูดด้วยอย่างที่มนุษย์เจรจากัน หรือด้วยมารยาของนักดาบ แต่เดี๋ยวก่อน ข้าขอถามเจ้าคำเดียวว่าเจ้าอยากสังหารข้า หรือว่าอยากสู้กันซึ่ง ๆ หน้ากับข้าอย่างลูกผู้ชาย”
“... ... ...”
“ขอถามคำเดียวว่ามาฆ่าล้างแค้น หรือว่ามาประลองฝีมือดาบกันเป็นการแก้ตัวที่พ่ายแพ้ครั้งก่อน”
“... ... ...”
ขณะพูด มูซาชิรู้ดีว่ากำลังเสี่ยงอันตรายอยู่ในระยะเผาขน และทันทีที่ตนเคลื่อนไหวสายตาหรือร่างกายผิดจังหวะ ดาบสามสิบสี่สิบเล่มจะต้องพุ่งเข้าใส่ตนราวน้ำพุพุ่งจากรูที่ถูกปิดกดเอาไว้
ใครคนหนึ่งร้องตอบเสียงกร้าวออกมาจากวงล้อมสามด้านที่นิ่งและเงียบงันอยู่
“ไม่ต้องบอกเจ้าก็รู้ดีแก่ใจ”
ตาเหยี่ยวของมูซาชิวาววาบขึ้นและจับจ้องไปยังเจ้าของเสียงทันควัน มองจากอายุอานามและท่าทางองอาจแล้วน่าจะเป็นศิษย์เอกผู้มีฝีมือเชิดชูเกียรติภูมิของสำนักโยชิโอกะ
นักดาบผู้นั้นคือมิอิเกะ จูโรซาเอมอน
มิอิเกะตัดสินใจหยุดการล้อมศัตรูนิ่งอยู่ด้วยการก้าวออกมาประดาบกับศัตรูเป็นคนแรก ศิษย์เอกของสำนักเลื่อนเท้าไปกับพื้นดินด้วยแรงเคลื่อนที่หนักแน่นและมั่นคงอันเป็นท่าของนักดาบที่พร้อมประจันบาน
“เซจูโรครูดาบของข้าต้องพ่ายแพ้แก่เจ้า ไม่นานต่อมาเด็นชิจิโรน้องชายของครูดาบก็ต้องตายไปด้วยฝีมือของเจ้า เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราจะสู้หน้ากับใครได้ยังไงถ้าปล่อยให้เจ้าลอยนวลอยู่อย่างนี้ ศิษย์สำนักดาบหลายร้อยคนผู้มีความกตัญญูรู้คุณครูและมีความสัตย์ซื่อต่อสำนักดาบ ให้คำมั่นสัญญาร่วมกันว่าจะต้องล้างอายให้ครู และกู้เกียรติของสำนักดาบโยชิโอกะกลับคืนมา เราไม่ได้มาฆ่าล้างแค้นเจ้าแต่มาท้าเจ้าประลองยุทธ์เพื่อแก้ตัวให้เซจูโรครูดาบของเรา และเพื่อให้วิญญาณของน้องชายครูไปสู่สุขคติ มูซาชิ...ข้าเองอดเวทนาเจ้าไม่ได้ ที่วันนี้เจ้าจะต้องสังเวยคมดาบของข้าด้วยหัวของเจ้า”
“โอ้...ช่างเป็นสุนทรวาจาสมกับเป็นนักดาบอะไรเช่นนี้ ถ้านั่นเป็นเจตจำนงของท่านจริงข้าก็คงต้องพร้อมที่จะพลีชีวิตที่มีอยู่เพียงหนึ่งเดียวให้แก่คมดาบของท่าน แต่ดูจากพฤติกรรมของพวกท่านแล้วมันเป็นการยกพวกมารุมฆ่ากันชัด ๆ ถ้าท่านประสงค์ที่จะประลองยุทธ์กับข้าจริง ทำไมจึงไม่ทำให้สมศักดิ์ศรีของนักดาบอย่างเซจูกับน้องชายของเขาเล่า”
“หยุด...เจ้าเองไม่ใช่รึที่หลบซ่อนตัวมาจนถึงวันนี้ แล้วนี่ก็กำลังจะหนีไปแว่นแคว้นอื่น ดีที่พวกเราดักไว้ได้ทัน”
“คนขี้ขลาดมักคิดว่าคนอื่นก็ขี้ขลาดเช่นเดียวกับตน ก็เห็นอยู่ตำตาแล้วไม่ใช่หรือว่ามูซาชิไม่ได้ไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหน และไม่จำเป็นต้องหนีใครไปไหนด้วย”
“ก็เพราะเราหาตัวเจ้าพบน่ะซี อย่ามาทำอวดดี”
“พูดได้ยังไง ถ้าคิดจะเล็ดลอดหนีไปจริง ๆ ข้ามีอีกตั้งหลายหนทาง”
“คิดหรือว่าศิษย์สำนักโยชิโอกะจะปล่อยให้เจ้าหนีไปได้”
“ข้ารู้ว่าพวกเจ้าจะต้องมาคอยทักทายข้าไม่ด้วยวิธีใดก็วิธีหนึ่ง แต่ไม่นึกว่าจะมาคอยดักสังหารข้าให้ผู้คนแตกตื่นไปทั้งย่านเริงรมย์ราวกับฝูงหมาจรจัดรุมทึ้งเหยื่อ ห่รือพวกนักเลงอันธพาลไร้สกุลรุนชาติรุมรังแกคน ๆ เดียวเช่นนี้ การกระทำของพวกเจ้าไม่ได้ทำลายชื่อเสียงของใครคนเดียว แต่นักดาบทั่วทุกหัวระแหงจะพลอยอับอายไปด้วย รู้ไปถึงไหนทั้งครูเจ้าและน้องชายก็จะกลายเป็นเรื่องขบขันให้ใคร ๆ เขาหัวเราะกัน เจ้าทำกันเช่นนี้แทนที่จะเป็นการล้างอาย กลับเป็นการออกมาแฉให้ครูกับน้องชายยิ่งอับอายขึ้นไปอีก
ถ้าเจ้าคิดจะทำเช่นนั้นนั้นต่อไป โดยไม่เกรงว่าตะกูลอันเก่าแก่ของครูเจ้าจะต้องล่มสลาย สำนักดาบโยชิโอกะจะต้องสิ้นชื่อ และพวกเจ้าเองจะต้องละทิ้งความเป็นนักดาบ ข้าก็ไม่มีอะไรต้องพูดต้องบอกอีกแล้ว นอกจากว่า มูซาชิจะสู้ตราบที่ยังมีมือเท้าและลำตัวอยู่ครบ และจะสู้จนศพศัตรูกองเป็นภูเขาเลากาเลยทีเดียว”
“ปากดีนักรึ”
เจ้าของเสียงไม่ใช่มิอิเกะแต่เป็นของนักดาบคนหนึ่งที่อยู่ข้าง ๆ นั้น ที่เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเค้นเสียงออกมาพร้อมชักดาบดังขวับตั้งท่าพร้อมฟัน
“เฮ้ย อิตากูระมา”
เสียงใครคนหนึ่งร้องบอกมาแต่ไกล
3
สมัยนั้นชื่ออิตากูระกลายเป็นสามานยนามของขุนนางผู้น่าเกรงขาม
อิตากูระ คัตสึชิเงะแห่งอิงะ ผู้เป็นเจ้าของชื่อคือขุนนางฝ่ายปกครองผู้มีอำนาจราชศักดิ์คนหนึ่งของนครหลวงเกียวโต แม้จะทำงานเก่งแต่ก็เก่งด้วยการใช้อำนาจเหมือนเป็นหมัดเหล็ก แม้แต่เพลงสำหรับเด็กก็ยังเอ่ยถึงอิตากูระในเนื้อเพลงด้วย อย่างเช่นเพลงหนึ่งร้องว่า
เปลือกเกาลัดของใครอยูบนถนน
ของท่านอิตากูระแห่งอิงะเหรอ
ทุกคนหนีเร็ว
อีกเพลงหนึ่งก็ว่า
ท่านอิตางูระแห่งอิงะ
มีมือแยะกว่าพระโพธิสัตว์คันนอนพันกร
มีตามากกว่าเท็นโมกุสามตา
ท่านเที่ยวตรวจตราไปทั่ว
เกียวโตไม่ใช่นครที่ปกครองได้ง่าย ขณะที่เอโดะเริ่มรุ่งเรืองขึ้นมาแทนที่การเป็นเมืองใหญ่ที่สุด นครหลวงเก่าแห่งนี้ก็ยังเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจและการทหาร ทั้งยังก้าวหน้าที่สุดทั้งทางการศึกษาและวัฒนธรรม เป็นที่ที่มีการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโชกุนกันอย่างชัดเจนมาก
ตั้งแต่ราวศตวรรษที่ 14 เป็นต้นมาชาวเมืองส่วนใหญ่ละทิ้งความทะเยอทะยานที่จะได้เป็นนักรบ หันมาทำอาชีพพ่อค้าบ้างช่างฝีมือบ้าง และโดยรวมเป็นพวกอนุรักษ์นิยม ในบรรดาพลเมืองยังมีพวกนักรบซามูไรที่เฝ้าคอยเฝ้าดูสถานการณ์ว่าตระกูลโทกูงาวะจะถูกตระกูลโทโยโทมิทำอะไรให้เป็นที่ไม่พอใจหรือไม่ และพวกแม่ทัพที่ไม่มีทั้งภูมิหลังและเชื้อสายตระกูลนักรบแต่มีกองทัพส่วนตัวที่ใหญ่โตไม่น้อย ทั้งยังมีซามูไรไร้นายอย่างที่นาราอยู่เป็นจำนวนมาก
พวกนักเลงอันธพาลที่มีอยู่ทุกหย่อมหญ้า หลายคนรวมหัวกับซามูไรไร้นายหากินทางมิจฉาชีพ รีดไถชาวบ้าน คุมบ่อนการพนัน ลักตัวผู้คนไปเรียกค่าไถ่ และหาช่องทางก่อกวนชาวบ้านไม่ได้หยุด ขณะเดียวกันกิจการร้านดื่มกินและซ่องนางโลมเจริญรุ่งเรือง เปิดร้านใหม่ ๆ กันไม่หยุดหย่อน