นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เอาละ แม้จะออกมาจากสำนักโองิยะแล้วก็ยังอยู่ในย่านนางโลมที่มีรั้วรอบขอบชิด ทั้งยังไม่รู้ว่าจะรอดปลอดภัยจากวงล้อมของศัตรูออกมาได้ยังไง
โจทาโรเสนอแก่ครูของตนว่า
“ทางนั้นเป็นทางออกไปที่ประตูด้านหน้า คนของโองิยะบอกว่าอันตรายมากเพราะมีพวกโยชิโอกะซุ่มคอยห้ำหั่นครูเต็มไปหมด”
“อืม”
“เราไปทางอื่นกันดีกว่า”
“แต่ว่าตอนกลางคืน เขาปิดประตูอื่นกันหมดไม่ใช่รึ”
“เราก็กระโจนข้ามรั้วหนีไป”
“ขืนใครได้ยินเข้าว่าหนีก็เสียชื่อมูซาชิหมดเลยน่ะซี ไม่ยากหรอกถ้าจะหนีออกจากที่นี่โดยไม่ละลายใจหรือไม่เกรงว่าใครจะมองหรือกล่าวหาว่าอย่างไร แต่คนอย่างข้าทำไม่ได้ เราไม่ต้องรีบร้อนอะไร รอเวลาที่จะเดินโบกมือออกไปจากประตูหน้าอย่างสง่าผ่าเผยดีกว่า”
“เอางั้นเหรอ”
โจทาโรทำหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก แต่หนุ่มน้อยไมขัดขืนเพราะเข้าใจกฎเหล็กในสังคมนักรบเป็นอย่างดีว่า นักรบคนใดที่ไม่ให้ความสำคัญแก่ ความละอายใจ แม้จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีใครเห็นคุณค่า
“แต่ โจทาโร”
“อะไรเหรอ”
“เจ้าเป็นเด็ก ไม่จำเป็นต้องทำอะไรตามข้าไปเสียทุกอย่าง ข้าจะออกไปทางประตูใหญ่ แต่ข้าว่าเจ้าหนีออกไปจากย่านนางโลมก่อนดีกว่า และไปรอข้าอยู่ที่ไหนสักแห่งดีกว่า”
“ครูจะวางมาดสง่างามเดินโบกมือออกไปจากประตูใหญ่ แล้วจะให้ข้าหนีเล็ดลอดออกไปคนเดียวทางไหน”
“ก็กระโจนข้ามรั้วไป”
“คนเดียวน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซี”
“ไม่เอา”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่เห็นน่าถามเลย หนีไปทั้ง ๆ ที่ครูอยู่ด้วยอย่างนี้ ไม่ขี้ขลาดก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
“ข้าไม่ยอมให้ใครมาว่าเจ้าอย่างนั้นหรอกโจทาโร แต่ข้ามูซาชิคนนี้มีปัญหาต้องจัดการกับพวกโยชิโอกะคนเดียว จะให้เจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้”
“งั้นจะให้ข้าไปคอนอยู่ที่ไหน”
“แถวทุ่งเลี้ยงม้ายานางิ”
“ครูต้องมาแน่นะ”
“แน่สิ”
“ไม่ทิ้งข้าไปไหนเงียบ ๆ อีกนะ”
มูซาชิส่ายหน้า
“ข้าไม่โกหกให้เป็นตัวอย่างไม่ดีแก่เจ้า ไปเถอะ ตอนนี้พอดีไม่มีใครเดินผ่านไปมา รีบข้ามรั้วไปเถอะ เร็วค่ะ”
โจทางโรได้ยินดังนั้นจึงกวาดตาไปรอบ ๆ อย่างระวังระไวแล้ววิ่งฝ่าความมืดตรงไปที่รั้ว แต่รั้วไม้เสี้ยมปลายแหลมสูงกว่าตัวถึงสามเท่า
ไม่ไหวแน่ รั้วสูงออกอย่างนี้ข้ากระโจนข้ามไปไม่พ้นหรอก
มูซาชิเห็นโจทาโรมองขึ้นไปบนรั้วสูงด้วยสายตาที่แสดงว่าไม่มั่นใจ ก็ไปเอากระสอบฟ่างใส่ถ่านมาจากไหนไม่รู้มาวางไว้ที่รั้ว
โจทาโรมองการเคลื่อนไหวของมูซาชิอยู่เงียบ ๆ สงบปากสงบคำโดยไม่โพล่งออกมาว่าถึงจะเอาของอย่างนั้นมารองเท้าก็ไม่ช่วยให้ข้ามพ้นไปได้ มูซาชิมองลอดรั้วออกไปและนิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
“... ... ...”
“ครู มีใครอยู่นอกรั้วเหรอ”
“เวลาโดดลงไปเจ้าต้องระวัง นอกรั้วตรงนี้มีต้นกกขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ข้างล่างจึงหนองเป็นน้ำ”
“หนองน้ำข้าไม่กลัวหรอกครู แต่รั้วมันสูงเหลือเกิน มือข้าเอื้อมขึ้นไปไม่ถึงเลย”
“ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยยกตัวเจ้าขึ้นไปบนรั้วเอง แต่เจ้าต้องมองไปรอบ ๆ ให้แน่ใจก่อนกระโดดลงไป เพราะพวกโยชิโอกะไม่ได้ซุ่มคอยอยู่ที่ประตูหน้าแห่งเดียว แต่กระจายตัวล้อมอยู่ทั่วสำนักโองิโนะ ข้างนอกมันมืดขืนบุ่มบ่ามกระโจนลงไป อาจมีโครโผนจากที่ซ่อนเข้ามาฟันเอาได้”
“ได้เลยครู”
“เอาละ ข้าจะโยนกระสอบถ่านลงไปที่ฟากโน้น เจ้าเล็งกระสอบให้ดี มองซ้ายขวาให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดสังเกต ก่อนโดดลงไป เข้าใจนะ”
ว่าแล้วก็ย่อตัวลงให้หนุ่มน้อบขี่คร่อมบนบ่าแล้วลุกขึ้นยืนตัวตรง
2
“เอื้อมถึงไหม โจทาโร”
“ยังไม่ถึง”
“งั้นลองลุกขึ้นยืนบนบ่าข้าดูสิ”
“ทั้งรองเท้าฟางอย่างนี้น่ะเหรอ”
“เออ เปื้อนโคนก็ไม่เป็นไร”
โจทาโรทำตาม ยันตัวขึ้นไปยืนทรงตัวอยู่บนบ่ามูซาชิ
“ว่าไง ถึงรึยังล่ะ”
“ยังเลยครู”
“ยุ่งยากจัง งั้นลองโดดขึ้นไปเกาะรั้วแล้วปีนขึ้นไปได้ไหม”
“ไม่ไหวมั้ง”
“ไม่ไหวเลยรึ งั้นเอางี้ละกัน เจ้ายืนบนฝ่ามือข้า”
“ได้เหรอ”
“เออน่า มือข้ารับน้ำหนักได้ห้าถึงสิบคนสบาย ๆ พร้อมรึยัง เหยียบขึ้นมาบนมือข้าได้เลย”
มูซาชิให้โจทาโรยืนบนมือทั้งคู่คอยจนทรงตัวได้ดีแล้วจึงยกร่างเจ้าหนุ่มน้อยสูงขึ้นไปเหมือนยกไหใบลูกหนึ่ง
“เฮ้ย ๆ ถึงแล้ว ถึงแล้วครู”
พอเห็นว่าโจทาโรขึ้นไปอยู่บนรั้วเรียบร้อยแล้ว มูซาชิก็เอากระสอบถ่านที่เตรียมไว้เควี้ยงข้ามรั้วออกไป
กระสอบถ่านตกลงไปในดงกกเสียงดังผลุ โจทาโรมองซ้ายมองขวาอย่างที่ครูสอน และพอเห็นว่าไม่มีอะไรผิดสังเกตแล้วจึงกระโจนผลุงลงไปบนกระสอบ
“โธ่เอ๋ย ตรงนี้ไม่เห็นมีหนองบึงอะไรเลยครู เป็นท้องทุ่งธรรมดานี่เอง”
“ดีแล้ว ระวังตัวให้ดีนะโจทาโร”
“แล้วเจอกันที่ทุ่งเลี้ยงม้ายานางินะ”
มูซาชิยืนแนบหน้ามองลอดรั้วอยู่จนเสียงฝีเท้าของโจทาโรดังไกลออกไปในความมืดมิด
---และพอเห็นว่าเจ้าหนุ่มน้อยน่าจะปลอดภัยดีแล้วจึงออกเดินเร็ว ๆ ออกไปจากที่นั้นด้วยความรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น
เจ้าหนุ่มนักดาบเดินออกจากความมืดสลัวด้านหลังย่านนางโลม มาถึงทางสามแพร่งและเลือกไปทางถนนสายหลักที่คับคั่งไปด้วยผู้คน เดินกลมกลืนไปกับบรรดานักเที่ยวกลางคืนมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ด้านหน้า
แต่พอก้าวเท้าออกประตูใหญ่ทั้งที่อยู่ในชุดกิโมโนตัวโปรดและไม่ได้สวมหมวกฟางอย่างนักเดินทาง ก็ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกใจ
“เฮ้ย นั่นมันมูซาชิ”
ดวงตาประกายวาวนับไม่ถ้วนคู่ของนักดาบที่ซุ่มอยู่ในความมืด จับจ้องเป็นตาเดียวกันมาที่เจ้าหนุ่มนักดาบที่ก้าวออกประตูมาด้วยท่วงท่าอาจหาญ
คนหามแคร่ที่ชุมนุมกันอยู่สองฟากประตูเข้าออกย่านนางโลม และซามูไรสองสามคนนั่งยอง ๆ ผิงไฟอยู่ข้าง ๆ นั้นพลอยจ้องมองไปทางประตูใหญ่ด้วย
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะแห่กันมาซุ่มคอยเอาเรื่องกับมูซาชิกันมาสามวันสามคืนแล้ว แยกย้านกันซุ่มอยู่เป็นคู่ ๆ ที่ร้านน้ำชา ร้านอาหารตรงข้ามกับสำนักนางโลมโองิยะเป็นหลัก สี่ห้าคนผลัดเวรกันเฝ้าที่หน้าประตูใหญ่ คอยตรวจดูคนที่เข้าออกตลอดวัน ใครโพกผ้าหรือใส่หมวกฟางก็ชะโงกเข้าไปดูใกล้ ๆ อย่างไม่เกรงใจ ใครนั่งกระเช้าหามมาก็ถูกเรียกให้หยุด และเปิดม่านตรวจดูภายในโดยพลการ
ทุกคนช่วยกันตรวจดูอย่างเคร่งครัดจนแน่ใจแล้วว่ามูซาชิไม่ได้ลอดสายตาของพวกตนออกไปตั้งแต่คืนวันหิมะตก จึงพยายามหาตัวเจ้าหนุ่มนักดาบตามที่ต่าง ๆ โดยพุ่งความสงสัยไปที่สำนักโองิยะ แต่ก็ได้เข้าไปสอบถามและพยายามเจรจาขอเข้าไปค้นหาตัวมูซาชิในนั้น แต่ทางสำนักไม่ให้ความร่วมมือได้แต่ปฏิเสธว่าไม่เคยต้อนรับแขกชื่อนี้
แม้ค่อนข้างจะแน่ใจว่าคุณพี่โยชิโนะแห่งโองิยะช่วยให้มูซาชิซ่อนตัวอยู่ในสำนัก แต่ก็ไม่ใครกล้าทำอะไรเพราะคุณพี่เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมทั้งในบรรดาเจ้าขุนมูลนายและชาวเมือง ดีไม่ดีพวกตนอาจลำบากได้
พวกโยชิโอกะจึงทำได้เพียงซุ่มดูอยู่ห่าง ๆ พร้อมกันนั้นก็วางแผนรับมืออย่างแยบยลเมื่อมูซาชิปรากฏตัวออกมา โดยสันนิษฐานหลายกรณีที่อาจเป็นไปได้ เช่น ปลอมตัวออกมา ซ่อนตัวออกมาในกระเช้าหาม และเน้นไปที่กรณีหนีข้ามรั้วออกไป จึงได้เสริมกำลังทางด้านนั้นเป็นพิเศษ
แต่ไม่ว่าพยายามเพียงใดก็ไม่ได้ผล ดังนั้นทุกคนจึงตะลึงพรึงเพริดเมื่อจู่ ๆ มูซาชิก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ของย่านสำนักนางโลมด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย และไม่มีใครกรูออกมากั้นขวางเอาไว้ในทันที
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
เอาละ แม้จะออกมาจากสำนักโองิยะแล้วก็ยังอยู่ในย่านนางโลมที่มีรั้วรอบขอบชิด ทั้งยังไม่รู้ว่าจะรอดปลอดภัยจากวงล้อมของศัตรูออกมาได้ยังไง
โจทาโรเสนอแก่ครูของตนว่า
“ทางนั้นเป็นทางออกไปที่ประตูด้านหน้า คนของโองิยะบอกว่าอันตรายมากเพราะมีพวกโยชิโอกะซุ่มคอยห้ำหั่นครูเต็มไปหมด”
“อืม”
“เราไปทางอื่นกันดีกว่า”
“แต่ว่าตอนกลางคืน เขาปิดประตูอื่นกันหมดไม่ใช่รึ”
“เราก็กระโจนข้ามรั้วหนีไป”
“ขืนใครได้ยินเข้าว่าหนีก็เสียชื่อมูซาชิหมดเลยน่ะซี ไม่ยากหรอกถ้าจะหนีออกจากที่นี่โดยไม่ละลายใจหรือไม่เกรงว่าใครจะมองหรือกล่าวหาว่าอย่างไร แต่คนอย่างข้าทำไม่ได้ เราไม่ต้องรีบร้อนอะไร รอเวลาที่จะเดินโบกมือออกไปจากประตูหน้าอย่างสง่าผ่าเผยดีกว่า”
“เอางั้นเหรอ”
โจทาโรทำหน้าไม่ค่อยสบายใจนัก แต่หนุ่มน้อยไมขัดขืนเพราะเข้าใจกฎเหล็กในสังคมนักรบเป็นอย่างดีว่า นักรบคนใดที่ไม่ให้ความสำคัญแก่ ความละอายใจ แม้จะมีชีวิตอยู่ก็ไม่มีใครเห็นคุณค่า
“แต่ โจทาโร”
“อะไรเหรอ”
“เจ้าเป็นเด็ก ไม่จำเป็นต้องทำอะไรตามข้าไปเสียทุกอย่าง ข้าจะออกไปทางประตูใหญ่ แต่ข้าว่าเจ้าหนีออกไปจากย่านนางโลมก่อนดีกว่า และไปรอข้าอยู่ที่ไหนสักแห่งดีกว่า”
“ครูจะวางมาดสง่างามเดินโบกมือออกไปจากประตูใหญ่ แล้วจะให้ข้าหนีเล็ดลอดออกไปคนเดียวทางไหน”
“ก็กระโจนข้ามรั้วไป”
“คนเดียวน่ะเหรอ”
“ก็ใช่น่ะซี”
“ไม่เอา”
“ทำไมล่ะ”
“ไม่เห็นน่าถามเลย หนีไปทั้ง ๆ ที่ครูอยู่ด้วยอย่างนี้ ไม่ขี้ขลาดก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
“ข้าไม่ยอมให้ใครมาว่าเจ้าอย่างนั้นหรอกโจทาโร แต่ข้ามูซาชิคนนี้มีปัญหาต้องจัดการกับพวกโยชิโอกะคนเดียว จะให้เจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วยไม่ได้”
“งั้นจะให้ข้าไปคอนอยู่ที่ไหน”
“แถวทุ่งเลี้ยงม้ายานางิ”
“ครูต้องมาแน่นะ”
“แน่สิ”
“ไม่ทิ้งข้าไปไหนเงียบ ๆ อีกนะ”
มูซาชิส่ายหน้า
“ข้าไม่โกหกให้เป็นตัวอย่างไม่ดีแก่เจ้า ไปเถอะ ตอนนี้พอดีไม่มีใครเดินผ่านไปมา รีบข้ามรั้วไปเถอะ เร็วค่ะ”
โจทางโรได้ยินดังนั้นจึงกวาดตาไปรอบ ๆ อย่างระวังระไวแล้ววิ่งฝ่าความมืดตรงไปที่รั้ว แต่รั้วไม้เสี้ยมปลายแหลมสูงกว่าตัวถึงสามเท่า
ไม่ไหวแน่ รั้วสูงออกอย่างนี้ข้ากระโจนข้ามไปไม่พ้นหรอก
มูซาชิเห็นโจทาโรมองขึ้นไปบนรั้วสูงด้วยสายตาที่แสดงว่าไม่มั่นใจ ก็ไปเอากระสอบฟ่างใส่ถ่านมาจากไหนไม่รู้มาวางไว้ที่รั้ว
โจทาโรมองการเคลื่อนไหวของมูซาชิอยู่เงียบ ๆ สงบปากสงบคำโดยไม่โพล่งออกมาว่าถึงจะเอาของอย่างนั้นมารองเท้าก็ไม่ช่วยให้ข้ามพ้นไปได้ มูซาชิมองลอดรั้วออกไปและนิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง
“... ... ...”
“ครู มีใครอยู่นอกรั้วเหรอ”
“เวลาโดดลงไปเจ้าต้องระวัง นอกรั้วตรงนี้มีต้นกกขึ้นอยู่เป็นดงใหญ่ข้างล่างจึงหนองเป็นน้ำ”
“หนองน้ำข้าไม่กลัวหรอกครู แต่รั้วมันสูงเหลือเกิน มือข้าเอื้อมขึ้นไปไม่ถึงเลย”
“ไม่เป็นไร ข้าจะช่วยยกตัวเจ้าขึ้นไปบนรั้วเอง แต่เจ้าต้องมองไปรอบ ๆ ให้แน่ใจก่อนกระโดดลงไป เพราะพวกโยชิโอกะไม่ได้ซุ่มคอยอยู่ที่ประตูหน้าแห่งเดียว แต่กระจายตัวล้อมอยู่ทั่วสำนักโองิโนะ ข้างนอกมันมืดขืนบุ่มบ่ามกระโจนลงไป อาจมีโครโผนจากที่ซ่อนเข้ามาฟันเอาได้”
“ได้เลยครู”
“เอาละ ข้าจะโยนกระสอบถ่านลงไปที่ฟากโน้น เจ้าเล็งกระสอบให้ดี มองซ้ายขวาให้แน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดสังเกต ก่อนโดดลงไป เข้าใจนะ”
ว่าแล้วก็ย่อตัวลงให้หนุ่มน้อบขี่คร่อมบนบ่าแล้วลุกขึ้นยืนตัวตรง
2
“เอื้อมถึงไหม โจทาโร”
“ยังไม่ถึง”
“งั้นลองลุกขึ้นยืนบนบ่าข้าดูสิ”
“ทั้งรองเท้าฟางอย่างนี้น่ะเหรอ”
“เออ เปื้อนโคนก็ไม่เป็นไร”
โจทาโรทำตาม ยันตัวขึ้นไปยืนทรงตัวอยู่บนบ่ามูซาชิ
“ว่าไง ถึงรึยังล่ะ”
“ยังเลยครู”
“ยุ่งยากจัง งั้นลองโดดขึ้นไปเกาะรั้วแล้วปีนขึ้นไปได้ไหม”
“ไม่ไหวมั้ง”
“ไม่ไหวเลยรึ งั้นเอางี้ละกัน เจ้ายืนบนฝ่ามือข้า”
“ได้เหรอ”
“เออน่า มือข้ารับน้ำหนักได้ห้าถึงสิบคนสบาย ๆ พร้อมรึยัง เหยียบขึ้นมาบนมือข้าได้เลย”
มูซาชิให้โจทาโรยืนบนมือทั้งคู่คอยจนทรงตัวได้ดีแล้วจึงยกร่างเจ้าหนุ่มน้อยสูงขึ้นไปเหมือนยกไหใบลูกหนึ่ง
“เฮ้ย ๆ ถึงแล้ว ถึงแล้วครู”
พอเห็นว่าโจทาโรขึ้นไปอยู่บนรั้วเรียบร้อยแล้ว มูซาชิก็เอากระสอบถ่านที่เตรียมไว้เควี้ยงข้ามรั้วออกไป
กระสอบถ่านตกลงไปในดงกกเสียงดังผลุ โจทาโรมองซ้ายมองขวาอย่างที่ครูสอน และพอเห็นว่าไม่มีอะไรผิดสังเกตแล้วจึงกระโจนผลุงลงไปบนกระสอบ
“โธ่เอ๋ย ตรงนี้ไม่เห็นมีหนองบึงอะไรเลยครู เป็นท้องทุ่งธรรมดานี่เอง”
“ดีแล้ว ระวังตัวให้ดีนะโจทาโร”
“แล้วเจอกันที่ทุ่งเลี้ยงม้ายานางินะ”
มูซาชิยืนแนบหน้ามองลอดรั้วอยู่จนเสียงฝีเท้าของโจทาโรดังไกลออกไปในความมืดมิด
---และพอเห็นว่าเจ้าหนุ่มน้อยน่าจะปลอดภัยดีแล้วจึงออกเดินเร็ว ๆ ออกไปจากที่นั้นด้วยความรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น
เจ้าหนุ่มนักดาบเดินออกจากความมืดสลัวด้านหลังย่านนางโลม มาถึงทางสามแพร่งและเลือกไปทางถนนสายหลักที่คับคั่งไปด้วยผู้คน เดินกลมกลืนไปกับบรรดานักเที่ยวกลางคืนมุ่งหน้าไปยังประตูใหญ่ด้านหน้า
แต่พอก้าวเท้าออกประตูใหญ่ทั้งที่อยู่ในชุดกิโมโนตัวโปรดและไม่ได้สวมหมวกฟางอย่างนักเดินทาง ก็ได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกใจ
“เฮ้ย นั่นมันมูซาชิ”
ดวงตาประกายวาวนับไม่ถ้วนคู่ของนักดาบที่ซุ่มอยู่ในความมืด จับจ้องเป็นตาเดียวกันมาที่เจ้าหนุ่มนักดาบที่ก้าวออกประตูมาด้วยท่วงท่าอาจหาญ
คนหามแคร่ที่ชุมนุมกันอยู่สองฟากประตูเข้าออกย่านนางโลม และซามูไรสองสามคนนั่งยอง ๆ ผิงไฟอยู่ข้าง ๆ นั้นพลอยจ้องมองไปทางประตูใหญ่ด้วย
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะแห่กันมาซุ่มคอยเอาเรื่องกับมูซาชิกันมาสามวันสามคืนแล้ว แยกย้านกันซุ่มอยู่เป็นคู่ ๆ ที่ร้านน้ำชา ร้านอาหารตรงข้ามกับสำนักนางโลมโองิยะเป็นหลัก สี่ห้าคนผลัดเวรกันเฝ้าที่หน้าประตูใหญ่ คอยตรวจดูคนที่เข้าออกตลอดวัน ใครโพกผ้าหรือใส่หมวกฟางก็ชะโงกเข้าไปดูใกล้ ๆ อย่างไม่เกรงใจ ใครนั่งกระเช้าหามมาก็ถูกเรียกให้หยุด และเปิดม่านตรวจดูภายในโดยพลการ
ทุกคนช่วยกันตรวจดูอย่างเคร่งครัดจนแน่ใจแล้วว่ามูซาชิไม่ได้ลอดสายตาของพวกตนออกไปตั้งแต่คืนวันหิมะตก จึงพยายามหาตัวเจ้าหนุ่มนักดาบตามที่ต่าง ๆ โดยพุ่งความสงสัยไปที่สำนักโองิยะ แต่ก็ได้เข้าไปสอบถามและพยายามเจรจาขอเข้าไปค้นหาตัวมูซาชิในนั้น แต่ทางสำนักไม่ให้ความร่วมมือได้แต่ปฏิเสธว่าไม่เคยต้อนรับแขกชื่อนี้
แม้ค่อนข้างจะแน่ใจว่าคุณพี่โยชิโนะแห่งโองิยะช่วยให้มูซาชิซ่อนตัวอยู่ในสำนัก แต่ก็ไม่ใครกล้าทำอะไรเพราะคุณพี่เป็นคนมีหน้ามีตาในสังคมทั้งในบรรดาเจ้าขุนมูลนายและชาวเมือง ดีไม่ดีพวกตนอาจลำบากได้
พวกโยชิโอกะจึงทำได้เพียงซุ่มดูอยู่ห่าง ๆ พร้อมกันนั้นก็วางแผนรับมืออย่างแยบยลเมื่อมูซาชิปรากฏตัวออกมา โดยสันนิษฐานหลายกรณีที่อาจเป็นไปได้ เช่น ปลอมตัวออกมา ซ่อนตัวออกมาในกระเช้าหาม และเน้นไปที่กรณีหนีข้ามรั้วออกไป จึงได้เสริมกำลังทางด้านนั้นเป็นพิเศษ
แต่ไม่ว่าพยายามเพียงใดก็ไม่ได้ผล ดังนั้นทุกคนจึงตะลึงพรึงเพริดเมื่อจู่ ๆ มูซาชิก็เดินออกมาจากประตูใหญ่ของย่านสำนักนางโลมด้วยท่วงท่าสง่าผ่าเผย และไม่มีใครกรูออกมากั้นขวางเอาไว้ในทันที