นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“ได้เลยครู”
โจทาโรรับคำโดยไม่รีรอ และกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะคิดว่าพอทำงานเสร็จ มูซาชิก็จะไปหาโอซือที่บ้านคาราซูมารุ
“งั้นข้าไปละนะ”
ว่าแล้วก็รีบเอากิโมโนพร้อมจดหมายที่มูซาชิเขียนถึงโคเอ็ตสึห่อผ้า และพอจะหยิบขึ้นสะพายหลังสาวน้อยต้นห้องคุณพี่โยชิโนะก็เดินถือถาดอาหารค่ำเข้ามาที่กระท่อม
สาวน้อยเบิกตาโตเมื่อเห็นโจทาโร ส่งสายตามาเป็นคำถามว่าจะไปไหน
และพอได้ยินมูซาชิชี้แจงให้ฟังนางก็ร้องห้ามเสียงแหลม
“ไม่ได้ ปล่อยให้ออกไปไม่ได้เด็ดขาด”
ว่าแล้วนางก็ระล่ำระลักเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้มูซาชิฟังว่า
เมื่อย่ำค่ำนี้เอง เด็กคนนี้ชักดาบไม้ฟันคนงานหนุ่มคนหนึ่งของสำนักโองิยะที่หน้าเรือน ลงไปนอนโอดโอยอยู่กับพื้นถนน ดีที่ฟันไม่ถูกที่สำคัญจึงรอดชีวิตมาได้
เรื่องเงียบไปแล้วเพราะใคร ๆ เห็นว่าเป็นการทะเลาะกันภายในสำนัก คุณพี่โยชิโนะเองก็ช่วยขอร้องให้ท่านเจ้าสำนักกับพรรคพวกของเจ้าคนที่ถูกฟัน ให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่เด็กคนนี้มันอวดดี ตะโกนปาว ๆ ว่าเป็นศิษย์ของท่านมิยาโมโตะ มูซาชิ ทีนี้ชาวบ้านไม่รู้ว่าใครได้ยินเข้าก็เอาไปลือปากต่อปาก จนรู้กันไปทั่วว่าท่านมูซาชิยังซ่อนตัวอยู่ในสำนักโองิยะ และดูเหมือนจะได้ยินไปถึงหูพวกโอชิโอกะที่ยกขบวนกันมาซุ่มตัวคอยอยู่รอบสำนักนานแล้วด้วย
“อ้อ...” มูซาชิเพิ่งจะรู้เรื่องจึงจ้องมองไปทางโจทาโร
เจ้าตัวดียกมือขึ้นเกาหัวแก้เขินที่ถูกครูจับได้ว่าปิดบังความจริงเอาไว้ และทำตัวลีบถอยไปติดข้างฝา
“ก็เรื่องไว้แล้วยังกล้าดีจะหอบผ้าหอบผ่อนไปไหนอีก ลองออกไปสิจะได้รู้ว่าต้องเจออะไรมั่ง”
สาวน้อยชายตาค้อนโอทาโรและขู่เสียงฝาด ก่อนหันมารายงานมูซาชิว่ารอบ ๆ สำนักเป็นยังไงบ้าง
ศิษย์สำนักโยชิโอกะน่ากลัวมาก พวกนั้นสะกดรอยตามท่านมาถึงที่นี่แล้วล้อมสำนักของเราไว้ได้สามวันแล้วแล้ว หวังจะเอาตัวท่านไปให้ได้ ทั้งคุณพี่โยชิโนะและท่านเจ้าสำนักต่างก็ลำบากใจไปตาม ๆ กัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะท่านโคเอ็ตสึฝากฝังท่านไว้ก่อนกลับไปเมื่อคืนวานซืน และทางสำนักโองิยะเองก็ไม่อาจไล่ท่านออกไปในภาวะวิกฤติเช่นนี้ โดยเฉพาะคุณพี่โยชิโนะพยายามปกป้องท่านเต็มที่ ต้องไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายท่านแน่นอน
แต่...
พวกโยชิโอกะมีความมานะอดทนสูงมากจนพวกเรารับมือกันแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะคอยจับตามองคนเข้าออกสำนักเราแล้ว เมื่อวานยังเริ่มส่งคนแต่ละคนรูปร่างใหญ่โตน่ากลัว เข้ามาคาดคั้นกล่าวหาว่าเราซ่อนตัวท่านเอาไว้ และถามนั่นถามนี่ซักไซ้ยียวนกวนโมโหไม่รู้ว่ากี่ครั้ง ยิ่งเราไล่ตะเพิดไฟพวกนั้นก็ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก
แต่ละคนท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ ข้าเห็นเขาถ่มน้ำลายใส่มือทำท่าว่าถ้าออกมาละก็จะขยี้ให้แหลกคามือเลยทีเดียว
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสำนักโยชิโอกะถึงได้ทำท่าอย่างกับกำลังออกศึกทั้งที่ศัตรูมีแค่ท่านคนเดียว
ยกขบวนมาล้อมสำนักเราไม่รู้ว่ากี่ชั้น แสดงว่าครั้งนี้จะต้องฆ่าท่านให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
สาวน้อยต้นห้องรายงานจบแล้วเสริมว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณพี่โยชิโนและท่านเจ้าสำนักจึงเป็นห่วงมาก และบอกว่าให้ซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ ไปอีกสี่ห้าวันก็ได้ ระหว่างนั้นพวกโยชิโอกะอาจเหนื่อยที่จะคอยและถอยขบวนกลับไป...”
สาวน้อยยังพูดจาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแบะโอบอ้อมอารีจากใจจริง ขณะที่ช่วยดูแลมูซาชิกับโจทาโรกินอาหาร
มูซาชิกล่าวขอบคุณความมีน้ำใจของนางแต่ก็บอกไปตามตรงว่าตนก็มีทางไปของตัวเองเหมือนกัน โดยยั้งไว้ไม่บอกออกไปตามที่คิดไว้ว่าจะออกเดินทางจากที่นี่คืนนี้
เพียงแต่ขอให้หาคนช่วยนำของไปส่งที่บ้านของโคเอ็ตสึ ซึ่งสาวน้อยต้นห้องก็จัดการเรียกเจ้าหนุ่มคนงานวิ่งเอาไปส่งให้ทันที
2
ไม่นานเจ้าหนุ่มคนงานก็กลับมาพร้อมกับจดหมายจากโคเอ็ตสึความว่า
หากมีโอกาส เราคงได้พบกันอีก ชีวิตดูเหมือนยืนยาวแต่ที่จริงแล้วแสนสั้น ขอให้ดูแลรักษาสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ และขอให้คิดอยู่เสมอว่าข้าเป็นคนหนึ่งที่คอยให้กำลังใจท่านอยู่ไกล ๆ
...จากโคเอ็ตสึ ถึงท่านมูซาชิ
แม้ข้อความในจดหมายจะสั้นแต่คนอ่านก็ซาบซึ้งกับความรู้สึกจากใจจริงของผู้เขียนยิ่งนัก ยิ่งกว่านั้นการไม่คะยั้นคะยอให้กลับไปยังแสดงให้เห็นว่าโคเท็ตสึเข้าใจความรู้สึกของมูซาชิดีว่า การกลับไปของตนจะทำลายความสงบสุขในชีวิตของสองแม่ลูก
“แล้วนี่คือกิโมโนที่ท่านถอดไว้ที่บ้านท่านโคเอ็ตสึขอรับ”
เจ้าหนุ่มส่งห่อผ้าในมือให้และบอกก่อนกลับไปทำหน้าที่ที่เรือนใหญ่ว่า
“ท่านฮนอามิมารดาของท่านโคเอ็ตสึฝากความปรารถนาดีมายังท่านมูซาชิด้วยขอรับ”
มูซาชิแก้ห่อผ้าออกดูกิโมโนเก่าแก่ที่ห่างกายไปนานด้วยความคิดถึง กิโมโนตัวนี้เจ้าหนุ่มสวมใส่ติดตัวมานานจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหนังที่หุ้มห่อกาย ใส่แล้วสบายเนื้อสบายตัวยิ่งกว่ากิโมโนผ้าไหมราคาแพงสมฐานะของตระกูลโคเอ็ตสึที่แม่ชีชราให้ยืมใส่ไปเที่ยวสำนักนางโลม และกิโมโนลวดลายฉูดฉาดที่ทางสำนักนางโลมจัดมาให้ผลัดเปลี่ยน หลายเท่านัก เจ้าหนุ่มมีกิโมโนที่เป็นทั้งชุดฝึกวิชาดาบด้วยตัวนี้เพียงตัวเดียวและไม่คิดที่จะมีมากไปกว่านี้
มูซาชิคลี่กิโมโนที่เนื้อผ้าเก่าเต็มทีออกสวมใส่ ทำใจไว้แล้วว่าคงจะเหม็นอับกลิ่นเหงื่อไคลและน้ำค้างละอองฝน หลังจากถูกพับเก็บเอาไว้หลายวัน แต่พอสอดแขนเข้าไปก็รู้สึกได้ทันทีว่าแปลกไป เห็นรอยพับเรียบเป็นสัน และพิศดูดี ๆ จึงรู้ว่าใครคนหนึ่งซ่อมให้จนดูราวกับเกิดใหม่
“คนที่เป็นแม่นี่ดีจังเลย ถ้าเรามีแม่เหมือนใคร ๆ เขาก็จะดี”
คิดแล้วมูซาชิก็รู้สึกว้าเหว่ เมื่อคิดถึงชีวิตในภายภาคหน้าที่มีแต่ตัวคนเดียว ไม่มีพ่อไม่มีแม่ มีแต่พี่สาวคนเดียวที่บ้านเกิดที่ตนไม่อาจบากหน้ากลับไป
เจ้าหนุ่มนักดาบนั่งก้มหน้ามองเปลวไฟในตะเกียง นึกถึงความเป็นคนจรหมอนหมิ่นของตนอยู่ครู่หนึ่ง
จนคิดว่าได้เวลาแล้วที่จะต้องออกจากที่นี่ ซึ่งเป็นเพียงที่พักชั่วครู่ยามเพียงสามคืน
จึงลุกขึ้นกระชับเงื่อนโอบิที่คาดเอวให้แน่น หยิบดาบคู่ใจขึ้นมาเหน็บแนบเอว ใจที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวสลัดความว้าเหว่ไปทางหนึ่ง และสัญญาที่ให้ไว้กับใจว่า ดาบเล่มนี้คือพ่อแม่ คือเมียและพี่น้อง หวนกลับคืนมาอีกครั้ง
“ไปหรือครู”
โจทาโรออกไปนอกกระท่อมก่อนแล้ว ร้องถามเข้าไป และแหงนหน้ามองดวงดาวบนฟากฟ้ายามราตรีอย่างคนที่กำลังมีความสุข
ออกจากที่นี่ยามนี้กว่าจะถึงคฤหาสน์คาราซูมารุก็คงจะดึกโข แต่ถึงจะดึกแค่ไหนโอซือก็คงยังตื่นและตั้งตารอนางจะตกใจแค่ไหนนะ แต่ที่แน่ๆ จะต้องดีใจมากเสียจนร้องไห้
ท้องฟ้าสวยทุกคืนมาตั้งแต่หิมะหยุดตก โจทาโรคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องพามูซาชิไปพบกับโอซือเพื่อให้นางดีใจ เห็นดวงดาวกระพริบอยู่บนฟากฟ้าก็คิดไปว่า แม้ดวงดาวก็ยังมีความสุขไปกับตน
“โจทาโร เจ้าเข้ามาทางประตูหลังรึ”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าประตูหน้าหรือประตูหลัง ข้าตามแม่สาวน้อยคนเมื่อกี้เข้ามาทางโน้น”
“งั้นก็ออกไปคอยอยู่ตรงนั้นก่อน”
“แล้วครูล่ะ”
“ข้าจะไปลาคุณพี่โยชิโนะสักหน่อย แล้วจะตามไป”
“งั้นข้าออกไปคอยตรงนั้นนะ”
ความจริงแล้วเจ้าหนุ่มน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ไม่ได้อยู่ข้าง ๆ มูซาชิ แต่สำหรับคืนนี้โจทาโรตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำตัวเป็นเด็กว่าง่าย ไม่ว่ามูซาชิจะสั่งให้ทำอะไรก็จะทำโดยไม่บิดพริ้ว
3
มูซาชิปล่อยตัวตามสบายระหว่างสามวันที่ซ่อนตัวอยู่ที่กระท่อมในสำนักนางโลมโอกิยะ การปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอกครั้งนี้ทำให้เจ้าหนุ่มรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งมาก
มีเวลาย้อนไปนึกถึงตนเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อใจตนนั้นแข็งและเย็นเยียบราวน้ำแข็งแผ่นหนา ๆ ไม่รู้สึกรู้สากับอะไร ๆ รอบตัว
มองเห็นตัวเองที่ปิดใจไม่ใยดีกับแสงจันทร์ ไม่สนใจดอกไม้แม้แต่จะดอมดม ไม่เปิดใจรับแสงสว่างของดวงตะวัน
แต่มูซาชิก็เชื่อว่าความมุมานะไปในวิถีทางเดียวของตนนั้นมีความถูกต้อง และขณะเดียวกันก็กลัวว่าการประพฤติเช่นนั้นมีแต่จะทำให้ตนเป็นคนใจแคบและดื้อดึงคนหนึ่งเท่านั้นเอง
นานมาแล้ว หลวงพี่ทากูอันบอกตนว่า
ความแข็งแกร่งของเจ้าไม่ผิดอะไรกับความแข็งแกร่งของสัตว์ป่า
พระนิกคันแห่งโอโซอินบอกด้วยว่า
เจ้าจงอ่อนแอลงอีก
มูซาชิประจักษ์ใจว่าคำเตือนของผู้ทรงปัญญา กับสิ่งที่ได้จากการปล่อยตัวตามสบายอยู่ที่กระท่อมน้อยสองสามวันนี้มีความสำคัญมากต่อชีวิตในภายภาคหน้าของตน
เมื่อถึงคราวที่จะจากกระท่อมน้อยที่ไร่ดอกโบตันของสำนักนางโลมโองิยะ มูซาชิไม่คิดแม้สักนิดว่าตนได้ใช้เวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ แม้จะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ได้แต่ปล่อยตัวไปตามธรรมชาติอยากดื่มสาเกก็ดื่ม อยากนอนก็ล้ามตัวลงนอนกลิ้งบนพื้นเสื่อ อ่านหนังสือ เล่นกับพู่กันและกระดาษ อยากหาวก็หาวไม่ต้องเกรงใจใคร แม้จะแค่สองสามวันแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่าอย่างที่หาไม่ได้ง่าย ๆ รู้สึกขอบคุณผู้ที่ให้โอกาสนี้แก่ตนยิ่งนัก
อยากขอบคุณคุณพี่โยชิโนะสักคำ
มูซาชิยืนอยู่สวนมองไปยังเรือนใหญ่ที่งดงามตระการตาไปด้วยแสงและเงา ที่ห้องด้านในคงกำลังครึกครื้นไปด้วยเสียงเครื่องสายชามิเซ็งและเสียงร้องเพลงของสาว ๆ และเสียงห้าว ๆ ของพวกแขกที่ร้องเล่นเช่นเคย ไม่น่าจะหาจังหวะเข้าไปพบคุณพี่โยชิโนะได้
งั้นก็ขอบคุณจากตรงนี้แล้วกัน
คิดได้ดังนั้นมูซาชิจึงตั้งใจกล่าวคำอำลา และคำขอบคุณคุณพี่โยชิโนะจากใจจริง ในความเอื้อเฟื้อและไมตรีจิตที่เธอมอบให้ในช่วงสามวันที่ผ่านมา และเดินจากไป
มูซาชิก้าวออกไปจากประตูด้านหลัง และยกมือให้โจทาโรที่เห็นเป็นเงา ๆ อยู่ตรงที่ที่ตนบอกให้คอยอยู่
“ไปกันเถอะเจ้าหนุ่ม”
แต่แทนที่จะได้ยินเสียงตอบจากโจทาโร กลับเป็นเสียงเรียกของสาวน้อยรินยะที่วิ่งตามหลังมา
พอวิ่งมาทันสาวน้อยก็ส่งอะไรอย่างหนึ่งให้มูซาชิกำเอาไว้และบอกว่า
“ของจากคุณพี่”
แล้ววิ่งกลับเข้าประตูหลังไป
มูซาชิแบมือออกดูเห็นว่าเป็นกระดาษที่น่าจะเป็นจดหมายพับไว้หลายทบ จึงคลี่ออกอ่าน
กลิ่นอ่อน ๆ หอมละมุนของไม้กฤษณาโชยมาก่อนที่จะเห็นตัวหนังสือ
แสงจันทร์ที่เคลื่อนผ่านแนวแมกไม้ เตือนใจให้ระลึกถึงกันมากกว่าดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งและล่วงโรยในไม่กี่ราตรี
ฉันขอส่งถ้อยคำนี้มาเพื่อเป็นที่ระลึกยามจาก แม้ใคร ๆ จะเห็นขันและบอกว่าถ้าจะร้องไห้ ให้ไปร้องกับจอกสาเกของคนอื่น
โยชิโนะ
“ครู จดหมายจากใครรึ”
“ไม่ต้องรู้หรอก”
“ผู้หญิงละซี”
“ไม่รู้”
“เขียนมาว่ายังไง”
“ไม่ต้องถามก็ได้นะ”
มูซาชิตัดบท โจทาโรยืดตัวขึ้นทำจมูดฟุดฟิด
“หอมจัง คล้ายกลิ่นไม้กฤษณา”
ว่าแล้วก็ชะโงกหน้าไปดูจดหมายในมือครู
น่าแปลกที่โจทาโรรู้จักกลิ่นไม้กฤษณาด้วย
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“ได้เลยครู”
โจทาโรรับคำโดยไม่รีรอ และกระหยิ่มยิ้มย่องเพราะคิดว่าพอทำงานเสร็จ มูซาชิก็จะไปหาโอซือที่บ้านคาราซูมารุ
“งั้นข้าไปละนะ”
ว่าแล้วก็รีบเอากิโมโนพร้อมจดหมายที่มูซาชิเขียนถึงโคเอ็ตสึห่อผ้า และพอจะหยิบขึ้นสะพายหลังสาวน้อยต้นห้องคุณพี่โยชิโนะก็เดินถือถาดอาหารค่ำเข้ามาที่กระท่อม
สาวน้อยเบิกตาโตเมื่อเห็นโจทาโร ส่งสายตามาเป็นคำถามว่าจะไปไหน
และพอได้ยินมูซาชิชี้แจงให้ฟังนางก็ร้องห้ามเสียงแหลม
“ไม่ได้ ปล่อยให้ออกไปไม่ได้เด็ดขาด”
ว่าแล้วนางก็ระล่ำระลักเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้มูซาชิฟังว่า
เมื่อย่ำค่ำนี้เอง เด็กคนนี้ชักดาบไม้ฟันคนงานหนุ่มคนหนึ่งของสำนักโองิยะที่หน้าเรือน ลงไปนอนโอดโอยอยู่กับพื้นถนน ดีที่ฟันไม่ถูกที่สำคัญจึงรอดชีวิตมาได้
เรื่องเงียบไปแล้วเพราะใคร ๆ เห็นว่าเป็นการทะเลาะกันภายในสำนัก คุณพี่โยชิโนะเองก็ช่วยขอร้องให้ท่านเจ้าสำนักกับพรรคพวกของเจ้าคนที่ถูกฟัน ให้เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่เด็กคนนี้มันอวดดี ตะโกนปาว ๆ ว่าเป็นศิษย์ของท่านมิยาโมโตะ มูซาชิ ทีนี้ชาวบ้านไม่รู้ว่าใครได้ยินเข้าก็เอาไปลือปากต่อปาก จนรู้กันไปทั่วว่าท่านมูซาชิยังซ่อนตัวอยู่ในสำนักโองิยะ และดูเหมือนจะได้ยินไปถึงหูพวกโอชิโอกะที่ยกขบวนกันมาซุ่มตัวคอยอยู่รอบสำนักนานแล้วด้วย
“อ้อ...” มูซาชิเพิ่งจะรู้เรื่องจึงจ้องมองไปทางโจทาโร
เจ้าตัวดียกมือขึ้นเกาหัวแก้เขินที่ถูกครูจับได้ว่าปิดบังความจริงเอาไว้ และทำตัวลีบถอยไปติดข้างฝา
“ก็เรื่องไว้แล้วยังกล้าดีจะหอบผ้าหอบผ่อนไปไหนอีก ลองออกไปสิจะได้รู้ว่าต้องเจออะไรมั่ง”
สาวน้อยชายตาค้อนโอทาโรและขู่เสียงฝาด ก่อนหันมารายงานมูซาชิว่ารอบ ๆ สำนักเป็นยังไงบ้าง
ศิษย์สำนักโยชิโอกะน่ากลัวมาก พวกนั้นสะกดรอยตามท่านมาถึงที่นี่แล้วล้อมสำนักของเราไว้ได้สามวันแล้วแล้ว หวังจะเอาตัวท่านไปให้ได้ ทั้งคุณพี่โยชิโนะและท่านเจ้าสำนักต่างก็ลำบากใจไปตาม ๆ กัน แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง เพราะท่านโคเอ็ตสึฝากฝังท่านไว้ก่อนกลับไปเมื่อคืนวานซืน และทางสำนักโองิยะเองก็ไม่อาจไล่ท่านออกไปในภาวะวิกฤติเช่นนี้ โดยเฉพาะคุณพี่โยชิโนะพยายามปกป้องท่านเต็มที่ ต้องไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายท่านแน่นอน
แต่...
พวกโยชิโอกะมีความมานะอดทนสูงมากจนพวกเรารับมือกันแทบจะไม่ไหวอยู่แล้ว เพราะนอกจากจะคอยจับตามองคนเข้าออกสำนักเราแล้ว เมื่อวานยังเริ่มส่งคนแต่ละคนรูปร่างใหญ่โตน่ากลัว เข้ามาคาดคั้นกล่าวหาว่าเราซ่อนตัวท่านเอาไว้ และถามนั่นถามนี่ซักไซ้ยียวนกวนโมโหไม่รู้ว่ากี่ครั้ง ยิ่งเราไล่ตะเพิดไฟพวกนั้นก็ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก
แต่ละคนท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ ข้าเห็นเขาถ่มน้ำลายใส่มือทำท่าว่าถ้าออกมาละก็จะขยี้ให้แหลกคามือเลยทีเดียว
ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสำนักโยชิโอกะถึงได้ทำท่าอย่างกับกำลังออกศึกทั้งที่ศัตรูมีแค่ท่านคนเดียว
ยกขบวนมาล้อมสำนักเราไม่รู้ว่ากี่ชั้น แสดงว่าครั้งนี้จะต้องฆ่าท่านให้ได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
สาวน้อยต้นห้องรายงานจบแล้วเสริมว่า
“เมื่อเป็นเช่นนี้ คุณพี่โยชิโนและท่านเจ้าสำนักจึงเป็นห่วงมาก และบอกว่าให้ซ่อนตัวอยู่เงียบ ๆ ไปอีกสี่ห้าวันก็ได้ ระหว่างนั้นพวกโยชิโอกะอาจเหนื่อยที่จะคอยและถอยขบวนกลับไป...”
สาวน้อยยังพูดจาแสดงความเป็นห่วงเป็นใยแบะโอบอ้อมอารีจากใจจริง ขณะที่ช่วยดูแลมูซาชิกับโจทาโรกินอาหาร
มูซาชิกล่าวขอบคุณความมีน้ำใจของนางแต่ก็บอกไปตามตรงว่าตนก็มีทางไปของตัวเองเหมือนกัน โดยยั้งไว้ไม่บอกออกไปตามที่คิดไว้ว่าจะออกเดินทางจากที่นี่คืนนี้
เพียงแต่ขอให้หาคนช่วยนำของไปส่งที่บ้านของโคเอ็ตสึ ซึ่งสาวน้อยต้นห้องก็จัดการเรียกเจ้าหนุ่มคนงานวิ่งเอาไปส่งให้ทันที
2
ไม่นานเจ้าหนุ่มคนงานก็กลับมาพร้อมกับจดหมายจากโคเอ็ตสึความว่า
หากมีโอกาส เราคงได้พบกันอีก ชีวิตดูเหมือนยืนยาวแต่ที่จริงแล้วแสนสั้น ขอให้ดูแลรักษาสุขภาพของร่างกายให้แข็งแรงสมบูรณ์ และขอให้คิดอยู่เสมอว่าข้าเป็นคนหนึ่งที่คอยให้กำลังใจท่านอยู่ไกล ๆ
...จากโคเอ็ตสึ ถึงท่านมูซาชิ
แม้ข้อความในจดหมายจะสั้นแต่คนอ่านก็ซาบซึ้งกับความรู้สึกจากใจจริงของผู้เขียนยิ่งนัก ยิ่งกว่านั้นการไม่คะยั้นคะยอให้กลับไปยังแสดงให้เห็นว่าโคเท็ตสึเข้าใจความรู้สึกของมูซาชิดีว่า การกลับไปของตนจะทำลายความสงบสุขในชีวิตของสองแม่ลูก
“แล้วนี่คือกิโมโนที่ท่านถอดไว้ที่บ้านท่านโคเอ็ตสึขอรับ”
เจ้าหนุ่มส่งห่อผ้าในมือให้และบอกก่อนกลับไปทำหน้าที่ที่เรือนใหญ่ว่า
“ท่านฮนอามิมารดาของท่านโคเอ็ตสึฝากความปรารถนาดีมายังท่านมูซาชิด้วยขอรับ”
มูซาชิแก้ห่อผ้าออกดูกิโมโนเก่าแก่ที่ห่างกายไปนานด้วยความคิดถึง กิโมโนตัวนี้เจ้าหนุ่มสวมใส่ติดตัวมานานจนแทบจะเป็นส่วนหนึ่งของเนื้อหนังที่หุ้มห่อกาย ใส่แล้วสบายเนื้อสบายตัวยิ่งกว่ากิโมโนผ้าไหมราคาแพงสมฐานะของตระกูลโคเอ็ตสึที่แม่ชีชราให้ยืมใส่ไปเที่ยวสำนักนางโลม และกิโมโนลวดลายฉูดฉาดที่ทางสำนักนางโลมจัดมาให้ผลัดเปลี่ยน หลายเท่านัก เจ้าหนุ่มมีกิโมโนที่เป็นทั้งชุดฝึกวิชาดาบด้วยตัวนี้เพียงตัวเดียวและไม่คิดที่จะมีมากไปกว่านี้
มูซาชิคลี่กิโมโนที่เนื้อผ้าเก่าเต็มทีออกสวมใส่ ทำใจไว้แล้วว่าคงจะเหม็นอับกลิ่นเหงื่อไคลและน้ำค้างละอองฝน หลังจากถูกพับเก็บเอาไว้หลายวัน แต่พอสอดแขนเข้าไปก็รู้สึกได้ทันทีว่าแปลกไป เห็นรอยพับเรียบเป็นสัน และพิศดูดี ๆ จึงรู้ว่าใครคนหนึ่งซ่อมให้จนดูราวกับเกิดใหม่
“คนที่เป็นแม่นี่ดีจังเลย ถ้าเรามีแม่เหมือนใคร ๆ เขาก็จะดี”
คิดแล้วมูซาชิก็รู้สึกว้าเหว่ เมื่อคิดถึงชีวิตในภายภาคหน้าที่มีแต่ตัวคนเดียว ไม่มีพ่อไม่มีแม่ มีแต่พี่สาวคนเดียวที่บ้านเกิดที่ตนไม่อาจบากหน้ากลับไป
เจ้าหนุ่มนักดาบนั่งก้มหน้ามองเปลวไฟในตะเกียง นึกถึงความเป็นคนจรหมอนหมิ่นของตนอยู่ครู่หนึ่ง
จนคิดว่าได้เวลาแล้วที่จะต้องออกจากที่นี่ ซึ่งเป็นเพียงที่พักชั่วครู่ยามเพียงสามคืน
จึงลุกขึ้นกระชับเงื่อนโอบิที่คาดเอวให้แน่น หยิบดาบคู่ใจขึ้นมาเหน็บแนบเอว ใจที่มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวสลัดความว้าเหว่ไปทางหนึ่ง และสัญญาที่ให้ไว้กับใจว่า ดาบเล่มนี้คือพ่อแม่ คือเมียและพี่น้อง หวนกลับคืนมาอีกครั้ง
“ไปหรือครู”
โจทาโรออกไปนอกกระท่อมก่อนแล้ว ร้องถามเข้าไป และแหงนหน้ามองดวงดาวบนฟากฟ้ายามราตรีอย่างคนที่กำลังมีความสุข
ออกจากที่นี่ยามนี้กว่าจะถึงคฤหาสน์คาราซูมารุก็คงจะดึกโข แต่ถึงจะดึกแค่ไหนโอซือก็คงยังตื่นและตั้งตารอนางจะตกใจแค่ไหนนะ แต่ที่แน่ๆ จะต้องดีใจมากเสียจนร้องไห้
ท้องฟ้าสวยทุกคืนมาตั้งแต่หิมะหยุดตก โจทาโรคิดอยู่อย่างเดียวว่าจะต้องพามูซาชิไปพบกับโอซือเพื่อให้นางดีใจ เห็นดวงดาวกระพริบอยู่บนฟากฟ้าก็คิดไปว่า แม้ดวงดาวก็ยังมีความสุขไปกับตน
“โจทาโร เจ้าเข้ามาทางประตูหลังรึ”
“ไม่รู้เหมือนกันว่าประตูหน้าหรือประตูหลัง ข้าตามแม่สาวน้อยคนเมื่อกี้เข้ามาทางโน้น”
“งั้นก็ออกไปคอยอยู่ตรงนั้นก่อน”
“แล้วครูล่ะ”
“ข้าจะไปลาคุณพี่โยชิโนะสักหน่อย แล้วจะตามไป”
“งั้นข้าออกไปคอยตรงนั้นนะ”
ความจริงแล้วเจ้าหนุ่มน้อยรู้สึกไม่ค่อยสบายใจที่ไม่ได้อยู่ข้าง ๆ มูซาชิ แต่สำหรับคืนนี้โจทาโรตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำตัวเป็นเด็กว่าง่าย ไม่ว่ามูซาชิจะสั่งให้ทำอะไรก็จะทำโดยไม่บิดพริ้ว
3
มูซาชิปล่อยตัวตามสบายระหว่างสามวันที่ซ่อนตัวอยู่ที่กระท่อมในสำนักนางโลมโอกิยะ การปิดกั้นตนเองจากโลกภายนอกครั้งนี้ทำให้เจ้าหนุ่มรู้สึกว่าจิตใจปลอดโปร่งมาก
มีเวลาย้อนไปนึกถึงตนเองในช่วงเวลาที่ผ่านมา เมื่อใจตนนั้นแข็งและเย็นเยียบราวน้ำแข็งแผ่นหนา ๆ ไม่รู้สึกรู้สากับอะไร ๆ รอบตัว
มองเห็นตัวเองที่ปิดใจไม่ใยดีกับแสงจันทร์ ไม่สนใจดอกไม้แม้แต่จะดอมดม ไม่เปิดใจรับแสงสว่างของดวงตะวัน
แต่มูซาชิก็เชื่อว่าความมุมานะไปในวิถีทางเดียวของตนนั้นมีความถูกต้อง และขณะเดียวกันก็กลัวว่าการประพฤติเช่นนั้นมีแต่จะทำให้ตนเป็นคนใจแคบและดื้อดึงคนหนึ่งเท่านั้นเอง
นานมาแล้ว หลวงพี่ทากูอันบอกตนว่า
ความแข็งแกร่งของเจ้าไม่ผิดอะไรกับความแข็งแกร่งของสัตว์ป่า
พระนิกคันแห่งโอโซอินบอกด้วยว่า
เจ้าจงอ่อนแอลงอีก
มูซาชิประจักษ์ใจว่าคำเตือนของผู้ทรงปัญญา กับสิ่งที่ได้จากการปล่อยตัวตามสบายอยู่ที่กระท่อมน้อยสองสามวันนี้มีความสำคัญมากต่อชีวิตในภายภาคหน้าของตน
เมื่อถึงคราวที่จะจากกระท่อมน้อยที่ไร่ดอกโบตันของสำนักนางโลมโองิยะ มูซาชิไม่คิดแม้สักนิดว่าตนได้ใช้เวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ แม้จะไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ได้แต่ปล่อยตัวไปตามธรรมชาติอยากดื่มสาเกก็ดื่ม อยากนอนก็ล้ามตัวลงนอนกลิ้งบนพื้นเสื่อ อ่านหนังสือ เล่นกับพู่กันและกระดาษ อยากหาวก็หาวไม่ต้องเกรงใจใคร แม้จะแค่สองสามวันแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่าอย่างที่หาไม่ได้ง่าย ๆ รู้สึกขอบคุณผู้ที่ให้โอกาสนี้แก่ตนยิ่งนัก
อยากขอบคุณคุณพี่โยชิโนะสักคำ
มูซาชิยืนอยู่สวนมองไปยังเรือนใหญ่ที่งดงามตระการตาไปด้วยแสงและเงา ที่ห้องด้านในคงกำลังครึกครื้นไปด้วยเสียงเครื่องสายชามิเซ็งและเสียงร้องเพลงของสาว ๆ และเสียงห้าว ๆ ของพวกแขกที่ร้องเล่นเช่นเคย ไม่น่าจะหาจังหวะเข้าไปพบคุณพี่โยชิโนะได้
งั้นก็ขอบคุณจากตรงนี้แล้วกัน
คิดได้ดังนั้นมูซาชิจึงตั้งใจกล่าวคำอำลา และคำขอบคุณคุณพี่โยชิโนะจากใจจริง ในความเอื้อเฟื้อและไมตรีจิตที่เธอมอบให้ในช่วงสามวันที่ผ่านมา และเดินจากไป
มูซาชิก้าวออกไปจากประตูด้านหลัง และยกมือให้โจทาโรที่เห็นเป็นเงา ๆ อยู่ตรงที่ที่ตนบอกให้คอยอยู่
“ไปกันเถอะเจ้าหนุ่ม”
แต่แทนที่จะได้ยินเสียงตอบจากโจทาโร กลับเป็นเสียงเรียกของสาวน้อยรินยะที่วิ่งตามหลังมา
พอวิ่งมาทันสาวน้อยก็ส่งอะไรอย่างหนึ่งให้มูซาชิกำเอาไว้และบอกว่า
“ของจากคุณพี่”
แล้ววิ่งกลับเข้าประตูหลังไป
มูซาชิแบมือออกดูเห็นว่าเป็นกระดาษที่น่าจะเป็นจดหมายพับไว้หลายทบ จึงคลี่ออกอ่าน
กลิ่นอ่อน ๆ หอมละมุนของไม้กฤษณาโชยมาก่อนที่จะเห็นตัวหนังสือ
แสงจันทร์ที่เคลื่อนผ่านแนวแมกไม้ เตือนใจให้ระลึกถึงกันมากกว่าดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งและล่วงโรยในไม่กี่ราตรี
ฉันขอส่งถ้อยคำนี้มาเพื่อเป็นที่ระลึกยามจาก แม้ใคร ๆ จะเห็นขันและบอกว่าถ้าจะร้องไห้ ให้ไปร้องกับจอกสาเกของคนอื่น
โยชิโนะ
“ครู จดหมายจากใครรึ”
“ไม่ต้องรู้หรอก”
“ผู้หญิงละซี”
“ไม่รู้”
“เขียนมาว่ายังไง”
“ไม่ต้องถามก็ได้นะ”
มูซาชิตัดบท โจทาโรยืดตัวขึ้นทำจมูดฟุดฟิด
“หอมจัง คล้ายกลิ่นไม้กฤษณา”
ว่าแล้วก็ชะโงกหน้าไปดูจดหมายในมือครู
น่าแปลกที่โจทาโรรู้จักกลิ่นไม้กฤษณาด้วย