xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม ตอนศิษย์กับครู

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
เรื่องทะเลาะเบาะแว้งเกิดขึ้นตลอดทั้งปี และคนที่สำนักนางโลมต่างก็คุ้นเคยกับการจัดการกับเหตุนองเลือดเป็นเรื่องลับอย่างฉับพลันทันที
“หนีไปทางไหน”
“ไอ้เด็กวายร้ายหน้าตาเป็นยังไง”
พวกที่ยังกระหายเลือดวิ่งพล่านหาตัวเจ้าหนุ่มต้นเหตุกันเป็นชุลมุน แค่ก็เพียงครู่เดียวก็ต้องกลับมาคอยต้อนรับแขกที่ทะยอยกันมาอุดหนุนบริการกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง แสงวอมแววจากโคมไฟตามกันมาราวกับฝูงหิ่งห้อย และเพียงชั่วครึ่งยามก็ไม่มีใครเอ่ยถึงอีกราวกับไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเมื่อย่ำค่ำ
ขณะที่ถนนใหญ่สว่างสไวราวกับกลางวัน ในตรอกซอยและท้องนาท้องไร่ด้านหลังมืดมิดราวกัยบอยู่คนละโลก โจทาโรวิ่งหนีพลางสอดส่ายสายตาหาที่ซ่อน สุดท้ายถึงกับลงคลานเหมือนลูกหมาลดเลี้ยวซอกซอนไปตามตรอกซอยในความมืด มืดจนคิดตามประสาเด็กว่าเหมือนไม่มีที่สิ้นสุด
แต่คลานไปได้อีกไม่เท่าไรก็ชนรั้วแข็ง ๆ เข้าจังเบ้อเร่อ รั้วนั้นเป็นรั้วทำด้วยท่อนไม้ทั้งต้นเผาให้แข็งแกร่งและเสี้ยมปลายแหลมล้อมรอบเขตรคคุโจยานางิมาจิ โจทาโรหนุ่มน้อยคลำทางไปเรื่อย ๆ ตามแนวรั้วแต่ก็ไม่พบประตูหรือช่องให้เล็ดลอดออกไปได้
ไม่นานทางที่เดินคลำอยู่ก็ทะลุออกมาตรงย่านชานเมืองที่มีผู้คนมาชุมนุมกันคึกคัก ทำให้ต้องหดหัวเข้าไปในความมืดและพอเหลียวไปข้างหลังก็เห็นมือขาว ๆ ของใครคนหนึ่งกำลังกวักเรียก
“เจ้าหนู เจ้าหนู”
ตาทั้งคู่ของโจทาโรวาวขึ้นเหมือนกวางระวังภัยและยืนนิ่งตั้งท่าสู้ แต่พอเขม้นมองไปก็คลายใจเมื่อเห็นใบหน้า ขาว ๆ ของผู้หญิงที่ดูไม่มีพิษสงอะไร ลาง ๆ อยู่ในความมืด
“นางเรียกข้ารึ มีอะไรหรือเปล่า”
“เจ้าใช่ไหมที่มาถามหาท่านมิยาโมโตะ มูซาชิที่สำนักโองิยะเมื่อตอนย่ำค่ำ”
นางถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ใช่ ข้าเอง”
“โจทาโรใช่ไหม”
“ใช่”
“งั้นตามมาทางนี้ ข้าจะพาเจ้าไปหาท่านมูซาชิ”
“จะพาข้าไปไหน”
โจทาโรถอยหลังกรูดด้วยความหวาดระแวงว่าจะถูกหลอกจับตัวไป แต่พอนางอธิบายอะไร ๆ ให้ฟังแล้วจึงนอนใจแล้วยอมพูดคุยด้วย
“พี่เป็นคนรับใช้ของนางที่ชื่อคุณพี่โยชิโนะงั้นรึ”
เจ้าหนุ่มน้อยทำหน้าเหมือนพระมาโปรดขณะเดินตามนางไปต้อย ๆ
คนรับใช้เล่าว่า พอคุณพี่โยชิโนะได้ยินเรื่องวุ่นวายถึงเลือดตกยางออกที่เกิดขึ้นเมื่อย่ำค่ำก็เป็นห่วงมาก จึงสั่งให้นางออกตามหาตัวเจ้าหนุ่มน้อยคนก่อเหตุ หากรู้ว่าถูกทางการจับตัวไปก็ให้รีบมาบอกเพราะนางมีเส้นสายที่จะช่วยเอาตัวออกมาได้ แต่ถ้าพบว่าไปซุกซ่อนตัวอยู่ที่ไหน ก็ให้นำตัวกลับมาเงียบ ๆ ทางประตูหลังและพาไปพบกับมูซาชิที่บ้านท้ายไร่หลังนั้น
“ไม่ต้องกลัว ถ้าคุณพี่โยชิโนะออกปากว่าจะช่วยแล้ว ไม่มีใครในละแวกนี้จะทัดทานเธอได้”
“ท่านมูซาชิครูของข้า อยู่ที่นี่จริง ๆ นะ”
“ถ้าไม่อยู่ แล้วข้าจะออกไปเที่ยวตามหาเจ้าแล้วพามาที่นี่ทำไม”
“ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าเขามาทำอะไรกันที่นี่”
“ไม่ต้องพูดมาก ท่านมูซาชิอยู่ในกระท่อมท้ายไร่นั่น ไม่เชื่อก็เข้าไปดูที่ช่องประตูนั่นสิ ข้าต้องรีบไปทำงานที่เรือนใหญ่โน่น”
ว่าแล้วนางก็เดินหายไปทางพุ่มไม้ในสวนหลังเรือน
2
ยายพี่คนสวยพูดจริงรึเปล่านะ
ท่านมูซาชิครูของเราอยู่ที่นี่จริงเหรอ
โจทาโรดูเหมือนจะไม่เชื่อคำของนางจากสำนักนางโลมง่าย ๆ
ก็จะให้เชื่อได้ยังไงว่า จู่ ๆ ก็จะได้พบกับคนที่ตนเที่ยวระหกระเหินเดินตามหามานานแสนนานปานนั้น อย่างง่ายดายเช่นนี้...เชื่อยากจริง ๆ
แต่คนอย่างโจทาโรน่ะหรือจะหันหลังกลับโดยไม่พิสูจน์ให้เห็นกับตา ถึงโดนหลอกก็ต้องยอม
หนุ่มน้อยเดินดุ่ม ๆ ไปยังกระท่อมและเมื่อไปถึงก็มองหาหน้าต่างที่จะโผล่เข้าไปดูภายใน
ด้านข้างกระท่อมมีหน้าต่างอยู่บานหนึ่งแต่สูงเกินกว่าจะเขย่งถึง หนุ่มน้อยจึงไปกลิ้งหินก้อนใหญ่จากพุ่มไม้มาใช้เป็นแท่นรองเท้าให้สูงขึ้นไปพอให้จมูกพ้นขอบหน้าต่างลูกรงไม้ไผ่
“โอ๊ะ ท่านมูซาชิ ครูของเรา”
คนที่โจทาโรเดินทางตามหาแทบเป็นแทบตายนั่งอยู่แค่เอื้อมนี่เอง หนุ่มน้อยตื้นตันใจจนพูดไม่ออก นานมากนานเหลือเกินที่ไม่ได้พบหน้าไม่ได้พูดได้จากัน
มูซาชินอนหนุนแขนตัวเองหลับอยู่ข้างเตาผิง
“สบายเหลือเกินนะท่าน”
โจทาโรคิดอยู่ในใจ มือทั้งคู่ยึดขอบหน้าต่างแน่น ตากลมโตเบิ่งมองเข้าไปอย่างไม่ละสายตา
บนร่างของมูซาชิที่กำลังนอนกลางวันอย่างสบายอารมณ์อยู่นั้น มีกิโมโนปักลวดลายแสนสวยดูหนาหนักที่ใครสักคนคงเอามาคลุมให้ ส่วนกิโมโนที่เจ้าตัวสวมอยู่ดูดีมีราคา ลวดลายฉูดฉาดแบบที่พวกหนุ่มเจ้าสำราญนิยมสวมใส่ ไม่ใช่กิโมโนผ้าหยาบ ๆ ที่ใส่อยู่เป็นประจำ
ห่างออกไปไม่ไกลนัก มีผ้าสีแดงผืนหนึ่งปูอยู่ บนนั้นมีพู่กัน แท่นฝนหมึก และกระดาษกระจายอยู่เกลื่อน แผ่นหนึ่งมีภาพวาดเหมือนฝึกมือเป็นรูปมะเขือม่วง อีกแผ่นหนึ่งเห็นรูปแม่ไก่อยู่ครึ่ง ๆ
“ฮึ นึกว่าทำอะไรสำคัญนักหนา ที่แท้ก็มาวาดรูปสนุกอยู่ที่นี่เอง จะรู้บ้างไหมว่าโอซือไม่สบายแทบจะตาย”
โจทาโรคิดโกรธ ๆ และนึกชิงชังกิโมโนแสนสวยที่คลุมอยู่บนร่างมูซาชิตัวนั้น ทั้งยังขวางหูขวางตากิโมโนแบบหนุ่มเจ้าสำราญที่มูซาชิสวมใส่อยู่ด้วย ถึงจะยังเด็กแต่ก็พอจะเข้าใจกลิ่นอายของชายหญิง
ตอนเห็นมูซาชิที่สะพานโกโจเมื่อวันปีใหม่กับหญิงสาวที่ซบอกร้องไห้ก็ครั้งหนึ่งแล้ว และยังมาครั้งนี้อีก
ครูดาบของข้าคนนี้ชักจะยังไง ๆ เสียแล้ว
เห็นเช่นนี้แล้วเจ้าหนุ่มน้อยก็อดสลดใจกับการกระทำของผู้ใหญ่ที่ตนเคารพรักไม่ได้
ทันทีที่ความคิดนั้นถูกสลัดทิ้งไป ความซุกซนก็เข้ามาแทนที่
แกล้งให้ตกใจเล่นดีกว่า
คิดได้ดังนั้นโจทาโรก็ค่อย ๆ ก้าวลงจากก้อนหินด้วยความระมัดระวังไม่ให้มีเสียง
“โจทาโร เจ้ามากับใคร”
“เหวอ !”
ตั้งใจจะแกล้งเขาแต่กลับเป็นฝ่ายสะดุ้งตัวลอยเสียเอง รีบปีนก้อนหินขึ้นไปดูอีก ก็เห็นคนที่คิดว่าหลับอยู่หรี่ตาหัวเราะอย่างขบขัน
“... ... ...”
โจทะโรไม่ตอบแต่กระโจนพรวดเดียวถึงประตูกระท่อม เปิดผางออกแล้วตรงเข้าไปกอดมูซาชิแน่น
“ครูของข้า”
“มาเจอกันจนได้นะเจ้า”
มูซาชิเอื้อมมือไปดึงหัวสกปรกผมเป็นสังกะตังเข้ามากอดไว้กับอกทั้งที่นอนหงายอยู่
“ไม่ได้เจอกันนานมากเลยนะ รู้ได้ยังไงว่าข้าอยู่ที่นี่ หลวงพี่ทากูอันบอกละสิ”
มูซาชิยันตัวขึ้นนั่งทั้งที่ยังกอดโจทาโร เจ้าหนุ่มน้อยซุกตัวอยู่กับอกกว้างดื่มด่ำความอบอุ่นอุ่นที่ร้างลากันไปนาน ด้วยกิริยาที่เหมือนกับเจ้าหมาตัวน้อยอ้อนเจ้าของไม่ยอมผละห่าง
3
---ตอนนี้โอซือป่วยล้มหมอนนอนเสื่อ พร่ำบ่นแต่ว่าอยากพบกับท่านมาก คนอย่างท่านคงไม่รู้หรอกว่านางอยากพบท่านเพียงไร
โอซือน่าสงสารเหลือเกิน
นางบอกว่าไม่ต้องการอะไร แค่ขอให้ได้พบท่านเท่านั้นเป็นพอ นางพูดอย่างนั้นจริง ๆ
เมื่อวันที่หนึ่งของปีใหม่ โอซือเห็นท่านบนสะพานโกโจ จะว่าพบกันก็ไม่ได้เพราะนางเห็นท่านฝ่ายเดียว ทั้งยังมากับหญิงสาวพูดคุยกันสนิทสนมทั้งยังมีการร้องไห้ซบอกกันด้วย โอซือเห็นเข้าก็โกรธมาก พลุ่งพล่านราวกับหม้อต้มเนื้อวัวที่ปิดฝาแน่น ข้าดึงให้ออกมาเจอท่าน แต่ดึงเท่าไรนางก็ไม่ยอมออกมา
มันก็น่าให้นางโกรธหรอก
ข้าเองก็ยังโกรธที่ท่านทำอะไรไม่ไว้หน้ากันเลย มีอย่างรึ ยืนกอดกับผู้หญิงกลางสะพานอย่างนั้น
แต่ช่างเถอะ เรื่องมันแล้วไปแล้ว ท่านรีบไปที่คฤหาสน์คาราสึมารุเดี๋ยวนี้เลย
บอกนางว่า โอซือ...ข้ามาหาเจ้าแล้ว
แค่นั้นอาการป่วยของโอซือก็จะต้องหายโดยเร็วแน่นอน
โจทาโรร้องอุทธรณ์ยืดยาวสรุปได้เนื้อหาเช่นว่านั้น มูซาชิพยักหน้าและตอบรับเป็นจังหวะ
“อ้อ อย่างนั้นรึ”
ซ้ำอยู่อย่างนั้น แต่ไม่ปริปากออกมาว่า งั้นเราไปหาโอซือกัน ดังที่โจทาโรหวังว่าจะได้ยินสักที
โจทาโรทั้งร้องอุทธรณ์วอนขอแต่มูซาชิก็ยังนิ่งเฉยเหมือนหินผา จนหนุ่มน้อยอ่อนใจหมดปัญญาที่จะพูดต่อไปใจที่เคยรักเคยเคารพเป็นครู กลับกลายเป็นชังน้ำหน้าจนอยากจะชวนทะเลาะ
แต่เอาเข้าจริง ๆ ก็ไม่กล้าว่าร้าย ทำได้แค่ชักสีหน้าแสดงว่าไม่พอใจอย่างแรงเท่านั้นเอง
พอเห็นโจทาโรเงียบไป มูซาชิก็หยิบพู่กันขึ้นมาฝึกวาดรูปจากแบบฝึกหัด หนุ่มน้อยจ้องตาเขียวไปที่รูปมะเขือม่วงที่ซึ่งครูของตนกำลังฝึกวาด
ไม่เข้าท่า
โจทาโรเบ้ปากอยู่ในใจ
มูซาชิวาดรูปจนเบื่อแล้วจึงล้างพู่กัน หนุ่มน้อยเห็นดังนั้นจึงคิดจะอ้อนวอนดูอีกสักครั้ง แต่พอเลียปากและจะเริ่มพูดก็มีเสียงใครคนหนึ่งเดินใกล้เข้ามา และพอมาถึงก็รายงานว่า
“เราซักเสื้อผ้าของท่านสะอาดและแห้งแล้วจึงเอามาให้เจ้าค่ะ”
ว่าแล้วสาวงามคนเมื่อกี้ก็วางกิโมโนพร้อมเสื้อคลุมที่พับเรียบร้อยลงตรงหน้ามูซาชิ
“ขอบใจมาก”
ว่าแล้วก็พลิกชายเสื้อและชายแขนตรวจดูอย่างละเอียด
“ซักสะอาดหมดจดดี”
“เลือดคนนี่ซักยากมากเจ้าค่ะ ต้องขยี้อยู่นานจึงจะออก”
“แค่นี้ก็ใช้ได้ แล้วนี่คุณพี่โยชิโนะไปอยู่เสียที่ไหนล่ะ”
“คืนนี้ คุณพี่ไม่ว่าเลยเจ้าค่ะ ท่าน ๆ เรียกหาตัวกันตลอด”
“ข้าไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมารบกวนคุณพี่โยชิโนะขนาดนี้ และก็ไม่ใช่เฉพาะคุณพี่ แต่ทุกคนที่ โองิยะต้องพลอยเดือดร้อนกันไปหมด...ช่วยบอกคุณพี่ด้วยว่าข้าจะรอจนถึงรุ่งเช้าแล้วจึงออกเดินทางจากที่นี่ และฝากขอบคุณด้วยนะ”
สีหน้าของโจทาโรเปลี่ยนจากโกรธขึ้งกลับมาเป็นปกติเมื่อเห็นว่ามูซาชิเป็นคนดีจริงอย่างที่คิด และคงตั้งใจที่จะไปหาโอซือแน่เลย
หนุ่มน้อยคิดเอาเองแล้วยิ้มแย้มอารมณ์ดี พอสาวงามคนรับใช้ของคุณพี่โยชิโนะคล้อยหลังไป มูซาชิก็เลื่อนกิโมโนกับเสื้อคลุมชุดนั้นไปตรงหน้าปล้วบอกว่า
“วันนี้เจ้ามาถูกจังหวะพอดี กิโมโนชุดนี้แม่ชีชรามารดาของท่านโคเอ็ตสึให้ข้ายืมใส่มาเที่ยวสำนักนางโลม เจ้าช่วยเอาไปคืนที่บ้านเขาทีแล้วรับกิโมโนของข้าคืนมา โจทาโรเด็กดี ช่วยวิ่งไปทำธุระให้ทีเถิด”


กำลังโหลดความคิดเห็น