นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“พูดดี ๆ แท้ ๆ ไม่น่าโกรธอาตมาเลยโจทาโร ให้ตายเถอะ”
“ก็หลวงพี่อยากมาว่าครูของข้า แล้วยังมาพูดบ้า ๆ กับโอซืออีก”
“โจทาโร เจ้าเป็นเด็กน่ารักมากนะ”
พระทากูอันเอื้อมมือมาลูบหัวเจ้าหนุ่มน้อยด้วยความเอ็นดู แต่เจ้าตัวเบี่ยงตัวหนีและปัดมืออีกฝ่ายออกไป
“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า และข้าก็จะไม่ขอความช่วยเหลือจากหลวงพี่แล้วด้วย ข้าจะออกตามหาท่านมูซาชิคนเดียว และพอพบก็จะพามาหาโอซือเอง เชิญหลวงพี่ตามสบายเถิด”
“เจ้ารู้แล้วรึ”
“รู้อะไร”
“อ้าว ก็รู้ว่ามูซาชิอยู่ไหนน่ะซี”
“ถึงไม่รู้ ข้าก็ตามหาให้เจอจนได้ ไม่ต้องมาทำเป็นห่วง”
“อวดดีไปเถอะ เด็กอย่างเจ้าไม่มีทางรู้หรอกว่าบ้านของคุณพี่โยชิโนะอยู่ที่ไหน อาตมาบอกให้เอาบุญก็ได้นะ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้องมายุ่ง”
“จะโกรธอะไรนักหนา อาตมาไม่ใช่ศัตรูของโอซือสักหน่อย และก็ไม่มีเหตุอะไรที่ทำให้ต้องเกลียดชังมูซาชิด้วย เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าอาตมาหวังดีต่อคนทั้งสองเพียงใด อาตมาสวดภาวนาอยู่เสมอให้มูซาชิกับโอซือได้มีชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
“แล้วทำไมถึงพูดไม่ดีเลย”
“คำพูดของอาตมาไม่ถูกหูเจ้างั้นรึ จะว่าไปก็ไม่แปลกที่เจ้าไม่พอใจ แต่ขณะนี้ทั้งมูซาชิและโอซืออยู่ในสภาพคนป่วยที่ต้องการเยียวยา โบราณว่าป่วยกายให้หมอรักษาและป่วยใจให้หาพระ อาตมาฟังเจ้าพูดถึงโอซือแล้วรู้ทันทีว่าใจนางกำลังป่วยหนัก ส่วนใจของมูซาชินั้นถึงจะป่วยแต่ก็ไม่ต้องเยียวยาอะไรปล่อยไว้ก็หายเอง อาการของโอซือนั้นตอนนี้แม้แต่อาตมาเองก็ต้องถอดใจเพราะคิดว่าคงเอาไม่อยู่ ไม่อาจเยียวยาอะไรได้นอกจากฝากเจ้าไปบอกนางว่าจะไปรักผู้ชายอย่างมูซาชิให้เปลืองใจไปทำไม สู้กินข้าวกินปลาให้อิ่มท้องไม่ดีกว่ารึ”
“นั่นไง ข้าถึงบอกว่าไม่ต้องมายุ่ง และข้าก็จะไม่ขอความช่วยเหลือจากพระที่พูดอะไรไม่เข้าท่าอย่างหลวงพี่อีก”
“โจทาโร ถ้าเจ้าคิดว่าอาตมาพูดเท็จ ก็ไปที่สำนักโองิยะที่รคคุโจยานางิมาจิ และดูมาให้เห็นกับตาว่ามูซาชิไปทำอะไรอยู่ที่นั่น และไปเล่าให้โอซือฟังตามความเป็นจริง ฟังแล้วก็คงต้องช้ำใจบ้างแต่อาตมาคิดว่านางจะต้องตาสว่างแน่นอน”
โจทาโรเอานิ้วอุดหูและร้องเอ็ดอึง”
“พอ พอ พอได้แล้ว พระอะไรไม่รู้”
“อ้าว ทีเมื่อกี้เห็นวิ่งตามอาตมาแทบไม่ทัน”
“พระ พระ ข้าไม่มีปัจจัยจะทำบุญ ถ้าอยากได้ ก็ร้องเพลงไปสิ”
โจทาโรกระโดดหยองแหยงทั้งที่นิ้วยังอุดอยู่ในหู ร้องเพลงล้อเลียนไล่หลังพระทากูอันที่ออกเดินจากไป
แต่ไม่ทันที่ร่างในจีวรพระนิกายเซ็นจะลับตาไปในหมู่ไม้ น้ำตาก็เอ่อออกมากบตาโจทาโรและร่วงพรูลงมาเสียแล้ว
พอรู้ตัวเจ้าหนุ่มน้อยก็รีบยกแขนขึ้นปาดน้ำตา และกวาดตามองไปรอบตัวเหมือนหมาน้อยหลงทางที่นึกอะไรขึ้นมาได้ทันควัน
“คุณป้าขอรับ”
ปราดเข้าไปใกล้หญิงแม่บ้านคนหนึ่งที่เดินผ่านมา
“รคคุโจยานางิมาจิไปทางไหน”
หญิงแม่บ้านเบิกตาโต
“ที่นั่นมันสำนักนางโลมไม่ใช่รึพ่อหนุ่ม”
“สำนักนางโลม...อะไรหรือขอรับ”
“ก็...”
“คนที่นั่นเขาทำอะไรกันเหรอ”
“ถามทำไม ยังเด็กยังเล็ก”
หญิงแม่บ้านจ้องหน้าเจ้าหนุ่ม แล้วเดินผ่านไปโดยไม่ตอบว่ากระไร
โจทาโรไม่ได้ใส่ใจสงสัยท่าทีของหญิงแม่บ้านคนนั้น ยังคงเดินถามหาทางไปรคคุโจยานางิมาจิและสำนักโองิยะไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
2
ดวงไฟตามหน้าต่างของสำนักนางโลมส่องสว่างไปทั่วทั้งย่านรคคุโจยานางิมาจิ แต่แขกยังบางตาเพราะเพิ่งจะย่ำค่ำ เจ้าหนุ่มรับใช้ของสำนักโองิยะเหลือบไปเห็นเงาใครคนหนึ่งวูบวาบอยู่ตรงทางเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ยังไม่ทันจะคิดสงสัยหรืออะไรก็ต้องตกใจเมื่อใครคนนั้นแหวกม่านบังตาประตูผืนใหญ่ ยื่นหน้าเข้ามาทำตาล่อกแล่กมองไปทางนั้นทางนี้
พอหายตกใจ เจ้าหนุ่มคนรับใช้สำรวจคน ๆ นั้นตั้งแต่หัวจดเท้า รองเท้าฟางเก่าจวนขาด ชายกิโมโนเปื้อนฝุ่นเปื้อนดินขมุกขมอมนั้นไม่เท่าไร แต่พอเห็นดาบไม้ท่อนยาวเกินตัว ก็ถอยกรูดและรีบวิ่งไปเรียกคนรับใช้คนอื่น ๆ ออกมาช่วย
“น้า ๆ “
โจทาโรกรากเข้าไปถามทันที
“ท่านมิยาโมโตะ มูซาชิมาที่นี่ใช่ไหม ท่านเป็นครูดาบของข้าช่วยพาเข้าไปพบหน่อยได้ไหม หรือจะเรียกให้ท่านออกมาพบข้าที่นี่ก็ได้ บอกว่าโจทาโรมาหาแค่นั้นท่านก็เข้าใจ”
เจ้าหนุ่มรับใช้โล่งใจเมื่อเห็นตัวชัด ๆ แล้วรู้ว่าเป็นแค่เด็กกะโปโล แต่ก็ทำหน้าเครียดด้วยความขัดเคืองที่ถูกเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ทำให้ตกใจ
“ไอ้เด็กเหลือขอ จะมาป่วนอะไรที่นี่ ขอทานเรอะ อ๋อ มาถามหาท่านมูซาชิ ไม่มี...ไม่มี เพิ่งจะย่ำค่ำยังไม่มีใครมาหรอก รีบไปให้พ้น ใครเห็นได้ตัวสกปรกที่หน้าสำนักแบบนี้เข้า จะไปที่อื่นกันหมด ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลย”
ว่าพลางตั้งท่าจะเข้ามาจับตัวเจ้าหนุ่มน้อยโยนออกไป
โจทาโรเห็นดังนั้นก็โกรธจี๊ดขึ้นมาทันทีเหมือนปลาปักเป้าที่พองตัวกลมเมื่อถูกแหย่
“ทำไม ข้ามาหาครูของข้า ขัดข้องอะไร กล้าดีก็เข้ามาสิ”
“ไอ้เด็กเหลือขอ ท่านมูซาชิจะเป็นครูของเอ็งหรือยังไงข้าไม่รู้ รู้แต่ว่าคน ๆ นี้แหละที่ทำให้สำนักเราโกลาหลอลหม่านมาตั้งแต่เมื่อวานซืน คนที่สำนักดาบโยชิโอกะยกขบวนมาตามหาตัวไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เมื่อเช้าก็มา และเมื่อกี้ก็เพิ่งมา แต่อย่างที่บอกท่านมูซาชิออกไปจากที่นี่นานแล้ว”
“ไม่อยู่ก็บอกดี ๆ ไม่ได้รึ ทำไมต้องใช้กำลังกับข้าอย่างนี้ด้วย เอามือออกจากอกเสื้อข้าเดี๋ยวนี้เลย”
“ก็เจ้าอยากทำลับ ๆ ล่อ ๆ ทำไมล่ะ โผล่หัวเข้ามาราวกับจะสำรวจความเป็นไปในสำนักเรา ทำหน้าทำตาน่าสงสัยออกอย่างนั้น ข้าก็คิดว่าเป็นคนร้ายน่ะซี ตกอกตกใจหมด”
“จะตกใจหรือยังไงมันก็เรื่องของเจ้า แต่ช่วยบอกหน่อยเถิดว่าท่านมูซาชิออกไปจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หนอย ทีนี้ละมาทำพูดดี ข้าไม่รู้หรอกว่าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ได้นั่งเฝ้าเอาไว้นี่”
“ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อไหร่จะปล่อยคอเสื้อข้าเสียที”
“จะให้ปล่อยไปเฉย ๆ ได้ยังไง มันต้องอย่างนี้”
ว่าแล้วเจ้าหนุ่มรับใช้ก็จับหูของโจทาโรแน่น แล้วเหวี่ยงตัวหมุนรอบหนึ่งก่อนปล่อยให้ปลิวออกไปข้างนอก
เจ้าหนุ่มน้อยร้องลั่น
“เฮ้ย เล่นอะไร เจ็บ เจ็บ โอ๊ย”
โจทาโรร้องพลางย่อตัวลงชัดดาบไม้ออกมาหวดเข้าที่คางเจ้าหนุ่มรับใช้
“โอ๊ย ไอ้เด็กบ้า”
เจ้าหนุ่มเคราะห์ร้ายฟันหน้าที่หัก วิ่งกุมคางอาบเลือดไล่ตามโจทาโรออกมาที่ถนน หนุ่มน้อยกำลังจวนตัวจึงคืดอุบายเอาตัวรอด
“ช่วยด้วย ๆ เจ้าข้าเอ๊ย ผู้ใหญ่รังแกเด็ก”
โจทาโรร้องอุทธรณ์เสียงลั่นถนน แต่มือที่จับด้ามดาบไม้ยาวเกินตัวนั้นมั่นคงและทรงพลัง ไม่ผิดกับเมื่อครั้งที่ฟันหมาดุที่ปราสาทโคงากิว และพอคู่อริเข้ามาใกล้ดาบพิฆาตก็ฟาดลงกลางกระหม่อม เลือดทะลักออกมาจากจมูกพร้อมกับเสียงครางเบา ๆ แทบไม่ได้ยิน ขณะร่างของเจ้าหนุ่มรับใช้ชะตาขาดซวนเซไปล้มลงที่เชิงต้นหลิว
ผู้หญิงที่นั่งรับแขกอยู่หลังบานหน้าต่างลูกกรงเห็นเข้าก็ร้องบอกกันเป็นทอด ๆ
“ทุกคนดูนั่น เห็นไหม เห็นไหม ไอ้หนูน้อยพกดาบยาว ฆ่าเจ้าหนุ่มของสำนักโองิยะ วิ่งหนีไปทางโน้นแล้ว”
แค่อึดใจเดียวถนนที่ยังว่าอยู่เมื่อกี้ ก็คับคั่งไปด้วยผู้คนที่รีบวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ และร้องบอกกัน
“ผู้ร้ายฆ่าคน”
“คนถูกฆ่า”
ความกระหายเลือดครอบคลุมไปทั่วบริเวณท่ามกลางสายลมยามย่ำค่ำ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“พูดดี ๆ แท้ ๆ ไม่น่าโกรธอาตมาเลยโจทาโร ให้ตายเถอะ”
“ก็หลวงพี่อยากมาว่าครูของข้า แล้วยังมาพูดบ้า ๆ กับโอซืออีก”
“โจทาโร เจ้าเป็นเด็กน่ารักมากนะ”
พระทากูอันเอื้อมมือมาลูบหัวเจ้าหนุ่มน้อยด้วยความเอ็นดู แต่เจ้าตัวเบี่ยงตัวหนีและปัดมืออีกฝ่ายออกไป
“ไม่ต้องมายุ่งกับข้า และข้าก็จะไม่ขอความช่วยเหลือจากหลวงพี่แล้วด้วย ข้าจะออกตามหาท่านมูซาชิคนเดียว และพอพบก็จะพามาหาโอซือเอง เชิญหลวงพี่ตามสบายเถิด”
“เจ้ารู้แล้วรึ”
“รู้อะไร”
“อ้าว ก็รู้ว่ามูซาชิอยู่ไหนน่ะซี”
“ถึงไม่รู้ ข้าก็ตามหาให้เจอจนได้ ไม่ต้องมาทำเป็นห่วง”
“อวดดีไปเถอะ เด็กอย่างเจ้าไม่มีทางรู้หรอกว่าบ้านของคุณพี่โยชิโนะอยู่ที่ไหน อาตมาบอกให้เอาบุญก็ได้นะ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้องมายุ่ง”
“จะโกรธอะไรนักหนา อาตมาไม่ใช่ศัตรูของโอซือสักหน่อย และก็ไม่มีเหตุอะไรที่ทำให้ต้องเกลียดชังมูซาชิด้วย เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่าอาตมาหวังดีต่อคนทั้งสองเพียงใด อาตมาสวดภาวนาอยู่เสมอให้มูซาชิกับโอซือได้มีชีวิตคู่อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข”
“แล้วทำไมถึงพูดไม่ดีเลย”
“คำพูดของอาตมาไม่ถูกหูเจ้างั้นรึ จะว่าไปก็ไม่แปลกที่เจ้าไม่พอใจ แต่ขณะนี้ทั้งมูซาชิและโอซืออยู่ในสภาพคนป่วยที่ต้องการเยียวยา โบราณว่าป่วยกายให้หมอรักษาและป่วยใจให้หาพระ อาตมาฟังเจ้าพูดถึงโอซือแล้วรู้ทันทีว่าใจนางกำลังป่วยหนัก ส่วนใจของมูซาชินั้นถึงจะป่วยแต่ก็ไม่ต้องเยียวยาอะไรปล่อยไว้ก็หายเอง อาการของโอซือนั้นตอนนี้แม้แต่อาตมาเองก็ต้องถอดใจเพราะคิดว่าคงเอาไม่อยู่ ไม่อาจเยียวยาอะไรได้นอกจากฝากเจ้าไปบอกนางว่าจะไปรักผู้ชายอย่างมูซาชิให้เปลืองใจไปทำไม สู้กินข้าวกินปลาให้อิ่มท้องไม่ดีกว่ารึ”
“นั่นไง ข้าถึงบอกว่าไม่ต้องมายุ่ง และข้าก็จะไม่ขอความช่วยเหลือจากพระที่พูดอะไรไม่เข้าท่าอย่างหลวงพี่อีก”
“โจทาโร ถ้าเจ้าคิดว่าอาตมาพูดเท็จ ก็ไปที่สำนักโองิยะที่รคคุโจยานางิมาจิ และดูมาให้เห็นกับตาว่ามูซาชิไปทำอะไรอยู่ที่นั่น และไปเล่าให้โอซือฟังตามความเป็นจริง ฟังแล้วก็คงต้องช้ำใจบ้างแต่อาตมาคิดว่านางจะต้องตาสว่างแน่นอน”
โจทาโรเอานิ้วอุดหูและร้องเอ็ดอึง”
“พอ พอ พอได้แล้ว พระอะไรไม่รู้”
“อ้าว ทีเมื่อกี้เห็นวิ่งตามอาตมาแทบไม่ทัน”
“พระ พระ ข้าไม่มีปัจจัยจะทำบุญ ถ้าอยากได้ ก็ร้องเพลงไปสิ”
โจทาโรกระโดดหยองแหยงทั้งที่นิ้วยังอุดอยู่ในหู ร้องเพลงล้อเลียนไล่หลังพระทากูอันที่ออกเดินจากไป
แต่ไม่ทันที่ร่างในจีวรพระนิกายเซ็นจะลับตาไปในหมู่ไม้ น้ำตาก็เอ่อออกมากบตาโจทาโรและร่วงพรูลงมาเสียแล้ว
พอรู้ตัวเจ้าหนุ่มน้อยก็รีบยกแขนขึ้นปาดน้ำตา และกวาดตามองไปรอบตัวเหมือนหมาน้อยหลงทางที่นึกอะไรขึ้นมาได้ทันควัน
“คุณป้าขอรับ”
ปราดเข้าไปใกล้หญิงแม่บ้านคนหนึ่งที่เดินผ่านมา
“รคคุโจยานางิมาจิไปทางไหน”
หญิงแม่บ้านเบิกตาโต
“ที่นั่นมันสำนักนางโลมไม่ใช่รึพ่อหนุ่ม”
“สำนักนางโลม...อะไรหรือขอรับ”
“ก็...”
“คนที่นั่นเขาทำอะไรกันเหรอ”
“ถามทำไม ยังเด็กยังเล็ก”
หญิงแม่บ้านจ้องหน้าเจ้าหนุ่ม แล้วเดินผ่านไปโดยไม่ตอบว่ากระไร
โจทาโรไม่ได้ใส่ใจสงสัยท่าทีของหญิงแม่บ้านคนนั้น ยังคงเดินถามหาทางไปรคคุโจยานางิมาจิและสำนักโองิยะไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อย
2
ดวงไฟตามหน้าต่างของสำนักนางโลมส่องสว่างไปทั่วทั้งย่านรคคุโจยานางิมาจิ แต่แขกยังบางตาเพราะเพิ่งจะย่ำค่ำ เจ้าหนุ่มรับใช้ของสำนักโองิยะเหลือบไปเห็นเงาใครคนหนึ่งวูบวาบอยู่ตรงทางเข้าโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ยังไม่ทันจะคิดสงสัยหรืออะไรก็ต้องตกใจเมื่อใครคนนั้นแหวกม่านบังตาประตูผืนใหญ่ ยื่นหน้าเข้ามาทำตาล่อกแล่กมองไปทางนั้นทางนี้
พอหายตกใจ เจ้าหนุ่มคนรับใช้สำรวจคน ๆ นั้นตั้งแต่หัวจดเท้า รองเท้าฟางเก่าจวนขาด ชายกิโมโนเปื้อนฝุ่นเปื้อนดินขมุกขมอมนั้นไม่เท่าไร แต่พอเห็นดาบไม้ท่อนยาวเกินตัว ก็ถอยกรูดและรีบวิ่งไปเรียกคนรับใช้คนอื่น ๆ ออกมาช่วย
“น้า ๆ “
โจทาโรกรากเข้าไปถามทันที
“ท่านมิยาโมโตะ มูซาชิมาที่นี่ใช่ไหม ท่านเป็นครูดาบของข้าช่วยพาเข้าไปพบหน่อยได้ไหม หรือจะเรียกให้ท่านออกมาพบข้าที่นี่ก็ได้ บอกว่าโจทาโรมาหาแค่นั้นท่านก็เข้าใจ”
เจ้าหนุ่มรับใช้โล่งใจเมื่อเห็นตัวชัด ๆ แล้วรู้ว่าเป็นแค่เด็กกะโปโล แต่ก็ทำหน้าเครียดด้วยความขัดเคืองที่ถูกเจ้าหนุ่มน้อยคนนี้ทำให้ตกใจ
“ไอ้เด็กเหลือขอ จะมาป่วนอะไรที่นี่ ขอทานเรอะ อ๋อ มาถามหาท่านมูซาชิ ไม่มี...ไม่มี เพิ่งจะย่ำค่ำยังไม่มีใครมาหรอก รีบไปให้พ้น ใครเห็นได้ตัวสกปรกที่หน้าสำนักแบบนี้เข้า จะไปที่อื่นกันหมด ไปให้พ้นเดี๋ยวนี้เลย”
ว่าพลางตั้งท่าจะเข้ามาจับตัวเจ้าหนุ่มน้อยโยนออกไป
โจทาโรเห็นดังนั้นก็โกรธจี๊ดขึ้นมาทันทีเหมือนปลาปักเป้าที่พองตัวกลมเมื่อถูกแหย่
“ทำไม ข้ามาหาครูของข้า ขัดข้องอะไร กล้าดีก็เข้ามาสิ”
“ไอ้เด็กเหลือขอ ท่านมูซาชิจะเป็นครูของเอ็งหรือยังไงข้าไม่รู้ รู้แต่ว่าคน ๆ นี้แหละที่ทำให้สำนักเราโกลาหลอลหม่านมาตั้งแต่เมื่อวานซืน คนที่สำนักดาบโยชิโอกะยกขบวนมาตามหาตัวไม่รู้ว่ากี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว เมื่อเช้าก็มา และเมื่อกี้ก็เพิ่งมา แต่อย่างที่บอกท่านมูซาชิออกไปจากที่นี่นานแล้ว”
“ไม่อยู่ก็บอกดี ๆ ไม่ได้รึ ทำไมต้องใช้กำลังกับข้าอย่างนี้ด้วย เอามือออกจากอกเสื้อข้าเดี๋ยวนี้เลย”
“ก็เจ้าอยากทำลับ ๆ ล่อ ๆ ทำไมล่ะ โผล่หัวเข้ามาราวกับจะสำรวจความเป็นไปในสำนักเรา ทำหน้าทำตาน่าสงสัยออกอย่างนั้น ข้าก็คิดว่าเป็นคนร้ายน่ะซี ตกอกตกใจหมด”
“จะตกใจหรือยังไงมันก็เรื่องของเจ้า แต่ช่วยบอกหน่อยเถิดว่าท่านมูซาชิออกไปจากที่นี่ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หนอย ทีนี้ละมาทำพูดดี ข้าไม่รู้หรอกว่าไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่ได้นั่งเฝ้าเอาไว้นี่”
“ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร แต่เมื่อไหร่จะปล่อยคอเสื้อข้าเสียที”
“จะให้ปล่อยไปเฉย ๆ ได้ยังไง มันต้องอย่างนี้”
ว่าแล้วเจ้าหนุ่มรับใช้ก็จับหูของโจทาโรแน่น แล้วเหวี่ยงตัวหมุนรอบหนึ่งก่อนปล่อยให้ปลิวออกไปข้างนอก
เจ้าหนุ่มน้อยร้องลั่น
“เฮ้ย เล่นอะไร เจ็บ เจ็บ โอ๊ย”
โจทาโรร้องพลางย่อตัวลงชัดดาบไม้ออกมาหวดเข้าที่คางเจ้าหนุ่มรับใช้
“โอ๊ย ไอ้เด็กบ้า”
เจ้าหนุ่มเคราะห์ร้ายฟันหน้าที่หัก วิ่งกุมคางอาบเลือดไล่ตามโจทาโรออกมาที่ถนน หนุ่มน้อยกำลังจวนตัวจึงคืดอุบายเอาตัวรอด
“ช่วยด้วย ๆ เจ้าข้าเอ๊ย ผู้ใหญ่รังแกเด็ก”
โจทาโรร้องอุทธรณ์เสียงลั่นถนน แต่มือที่จับด้ามดาบไม้ยาวเกินตัวนั้นมั่นคงและทรงพลัง ไม่ผิดกับเมื่อครั้งที่ฟันหมาดุที่ปราสาทโคงากิว และพอคู่อริเข้ามาใกล้ดาบพิฆาตก็ฟาดลงกลางกระหม่อม เลือดทะลักออกมาจากจมูกพร้อมกับเสียงครางเบา ๆ แทบไม่ได้ยิน ขณะร่างของเจ้าหนุ่มรับใช้ชะตาขาดซวนเซไปล้มลงที่เชิงต้นหลิว
ผู้หญิงที่นั่งรับแขกอยู่หลังบานหน้าต่างลูกกรงเห็นเข้าก็ร้องบอกกันเป็นทอด ๆ
“ทุกคนดูนั่น เห็นไหม เห็นไหม ไอ้หนูน้อยพกดาบยาว ฆ่าเจ้าหนุ่มของสำนักโองิยะ วิ่งหนีไปทางโน้นแล้ว”
แค่อึดใจเดียวถนนที่ยังว่าอยู่เมื่อกี้ ก็คับคั่งไปด้วยผู้คนที่รีบวิ่งออกมาดูเหตุการณ์ และร้องบอกกัน
“ผู้ร้ายฆ่าคน”
“คนถูกฆ่า”
ความกระหายเลือดครอบคลุมไปทั่วบริเวณท่ามกลางสายลมยามย่ำค่ำ