xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม ตอน ไข้ใจ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา



1
“โจทาโร เจ้าชอบกินส้มนักไม่ใช่รึ”
“ก็ชอบนะ”
“แต่ทำไมวันนี้ไม่กิน”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
”เพราะข้าไม่กินงั้นรึ”
“คงงั้นมั๊ง”
“งั้นเรากินด้วยกันนะโจทาโร”
โอซือขยับตัวหันมานั่งจ้องหน้ากับเจ้าหนุ่มน้อยพลาง ปอกส้มและดึงเส้นใยออกสีละกลีบ
โจทะโรทำหน้ายุ่งยาก
“โอซือ ความจริง ระหว่างทาง ข้ากินมาแล้วหลายลูก”
“อ้าว”
โอซืออุทาน ป้อนส้มกลีบหนึ่งใส่ปากที่แห้งผากพลางถาม
“แล้วหลวงพี่ทากูอันล่ะ”
“วันนี้ท่านบอกว่าจะไปที่วัดไดโทกูจิ”
“หลวงพี่ทากูอันบอกข้าว่า เมื่อวานซืน ท่านพบกับท่านมูซาชิที่บ้านของใครคนหนึ่ง”
“อ้อ หลวงพี่บอกท่านแล้วรึ”
“ใช่ แต่ไม่รู้ว่าตอนพบกัน หลวงพี่ทากูอันคุยกับท่านมูซาชิเรื่องข้าบ้างหรือเปล่า”
“ข้าว่าต้องคุยแน่นอน”
“หลวงพี่บอกข้าว่าจะหาโอกาสเรียกท่านมูซาชิมาที่นี่ โจทาโรได้ยินท่านพูดอะไรบ้างหรือเปล่า”
“หลวงพี่ไม่เห็นบอกอะไรข้าเลย”
“หรือว่าจะลืมเสียแล้ว”
“รอให้หลวงพี่กลับมาก่อน แล้วเราค่อยไถ่ถามดีไหม”
“ก็ดี”
ตั้งแต่ล้มหมอนนอนเวื่อ นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหนุ่มโจทาโรเห็นโอซือยิ้มให้
“แต่ถ้าจะถามละก็ ช่วยถามตอนที่ข้าไม่อยู่นะ”
“อ้าว ถามต่อหน้าโอซือไม่ได้หรอกหรือ”
“อือ ก็มันเขินนี่นา”
“ไม่หรอกน่า”
“อะไรได้ หลวงพี่ทากูอันนี่แหละที่เป็นคนบอกว่า ข้าป่วยเป็นไข้มูซาชิ”
“อ๊ะ เผลอแพล๊บเดียวกินส้มหมดลูกเลย เอาอีกลูกหนึ่งไหม”
“พอแล้ว ส้มของเจ้าหวานชื่นใจจัง”
“เริ่มกินได้แล้วอย่างนี้ เดี๋ยวอะไรๆ ก็อร่อยไปหมด และระหว่างนี้ ถ้าท่านมูซาชิมาหา โอซือก็จะได้มีแรงลุกขึ้นต้อนรับได้เต็มที่”
“โจทาโรก็พลอย แกล้งข้าสนุกไปอีกคน”
โอซือลืมความปวดเมื่อยตามเนื้อตัวเพราะพิษไข้ไปได้ชั่วขณะ เมื่อได้พูดเย้าแหย่กันเล่นเป็นสนุกกับเจ้าหนุ่มน้อย โจทาโร
และตอนนั้นเองที่เด็กรับใช้คนหนึ่งของบ้านคาราซึมารุ ส่งเสียงร้องถามเข้ามาจากประตูทางเข้าเรือน
“ท่านโจทาโรอยู่หรือไม่ขอรับ”
“ข้าอยู่นี่”
“ท่านทากูอันใช้ให้ข้ามาตามท่านไปที่เรือนโน้นเดี๋ยวนี้เลยขอรับ”
“อ้าว หลงพี่กลับมาแล้วหรือนี่”
“เจ้าไปดูสิ”
“โอซือ อยู่คนเดียวได้เหรอ”
“ได้สิ ไม่มีอะไรต้องห่วง”
“งั้นข้าไปก่อนนะ เสร็จธุระแล้วจะรีบกลับมาทันที”
และพอหนุ่มน้อยลุกขึ้นตั้งท่าจะไปนางก็เรียกไว้และสำทับว่า
“โจทาโร เจ้าอย่าลืมถามหลวงพี่เรื่องนั้นนะ”
“ที่ว่าเรื่องนั้นน่ะเรื่องอะไรรึโอซือ”
“อะไรกัน ลืมแล้วรึ”
“อ๋อ ให้ข้าคาดคั้นหลวงพี่ว่าเมื่อไรถึงจะพาท่านมูซาชิมาที่นี่สักที ใช่ไหม”
โอซือดึงชายผ้าห่มขึ้นมาบังแก้มซีดเซียวที่แดงเรื่อขึ้นพลางสำทับเจ้าหนุ่มน้อย
“ลืมไม่ได้ทีเดียวนะ เจอหลวงพี่แล้วต้องถามให้ได้ ต้องถามนะ เข้าใจไหม”
หญิงสาวย้ำแล้วย้ำอีกไม่ขาดปาก
2
หลวงพี่ทากูอันกำลังนั่งสนทนากับท่านมิตสึฮิโระอยู่บนเรือน เมื่อโจทาโรเปิดประตูยื่นหน้าเขาไปถามว่า
“หลวงพี่มีธุระอะไรกับข้ารึ”
“อ้อ มาแล้วรึ ทันใจดีจริง เข้ามานั่งตรงนี้สิ”
ท่านมิตสึฮิโระผู้สูงศักดิ์มองยิ้ม ๆ ไม่แสดงว่าถือสาเจ้าหนุ่มน้อยที่ไม่รู้จักมารยาทการเข้าเจ้าเข้านาย
พอทรุดตัวลงนั่งข้างหลวงพี่โจทาโรก็รายงานโดยไม่รั้งรอ
“หลวงพี่ทากูอันขอรับ มีพระแต่งตัวคล้าย ๆ หลวงพี่คนหนึ่งจากวัดนันโซจิที่แคว้นอิซูมิ บอกว่ามีธุระด่วนข้าเลยให้คอยอยู่ทางโน้น ไปเรียกมาที่นี่ดีไหม”
“ไม่ต้อง อาตมารู้แล้ว”
“อ้าว พบกันแล้วรึ”
“หลวงพี่หลุดปากบ่นออกมาว่า เจ้าหนุ่มที่นี่รับแขกแย่มาก”
“ทำไมเหรอ”
“ก็หลวงพี่ท่านอุตส่าห์เดินทางมาไกลโพ้น เจ้ากลับพาไปคอยอยู่ที่คอกวัว แล้วก็ทิ้งไว้อย่างนั้น ไม่หาน้ำหาท่ามารับรองเลยสักนิด”
“เอ๊ะ จะมาว่าข้าไม่ได้นะ หลวงพี่เป็นคนขอร้องข้าเองว่าให้ช่วยพาไปคอยตรงที่ที่จะไม่เกะกะใครเขา แล้วมันจะมีที่ไหนอีกละท่านถ้าไม่ใช่คอกวัว”
ท่านมิตสึฮิโระเขย่าขาด้วยท่าทางสบอารมณ์ หัวเราะพลางบอกว่า
“ฮะ ฮะ ฮะ พาไปทิ้งไว้ในคอกวัวนี่มันไม่ใจร้ายเกินไปหน่อยรึเจ้าหนุ่มน้อย”
ว่าแล้วก็ทำหน้าเคร่งขรึมตามเดิมเมื่อหันไปถามพระทากูอัน
“เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านก็คงไม่กลับไปอิซูมิ แต่ออกจากที่นี่ตรงไปทาจิมะใช่ไหม”
พระทากูอันพยักหน้าบอกว่าอยากทำเช่นนั้น เพราะข้อความในจดหมายมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ไม่ค่อยสบายใจ จึงอยากขอลาและออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลย ไม่จำเป็นต้องรอถึงพรุ่งนี้เพราะไม่มีอะไรต้องตระเตรียม
โจทาโรนิ่งฟังการสนทนาของคนทั้งสองแล้วรู้สึกสงสัยตงิด ๆ อยู่ในใจ
“หลวงพี่ทากูอันจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลยเหรอ”
“ใช่ อาตมามีธุระเร่งด่วนที่บ้านเกิด ต้องรับกลับไปโดยเร็วเท่าที่จะทำได้”
“ธุระอะไรเหรอ”
“อาตมาเพิ่งได้ข่าวว่าอาการเจ็บป่วยของโยมแม่กำลังทรุดหนักมาก”
“หลวงพี่ทากูอันก็มีแม่กับเขาด้วยเหรอ”
“อ้าว อาตมาก็เป็นคนเหมือนกัน ไม่ใช่ตัวตุ๊ดตู่ที่เกิดตามกระบอกไม้นี่”
“แล้วเมื่อไรถึงจะกลับมาเกียวโต”
“คงต้องแล้วแต่อาการของโยมแม่”
“ไม่อยากให้ไปเลย หลวงพี่ไม่อยู่อย่างนี้ ข้าจะหันหน้าไปพึ่งใคร”
โจทาโรพูดเผื่อไปถึงโอซือด้วยเพราะเข้าใจความรู้สึกกันดี ว่าจะใจฝ่อทุกครั้งเมื่อคิดถึงภายภาคหน้า
“แล้วนี่เราสองคนจะไม่ได้พบกับหลวงพี่อีกเลยเหรอ”
“ไม่หรอกโจทาโร เราจะต้องได้พบกันอีกแน่นอน เรื่องการเป็นอยู่ของเจ้ากับโอซือนั้นไม่ต้องห่วง อาตมาฝากฝังเอาไว้ที่คฤหาสน์แห่งนี้เรียบร้อยแล้ว บอกโอซือด้วยว่าให้รักษาเนื้อรักษาตัวให้แข็งแรงดังเดิม อย่ามัวแต่หวาดกังวลกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เจ้าเองก็ต้องคอยให้กำลังใจนาง จงรู้ไว้เถิดว่าคนที่เจ็บไข้ได้ป่วยนั้น ต้องการกำลังใจมากกว่ายา”
“ลำพังข้าคนเดียวช่วยไม่ไหวแน่หลวงพี่ ถ้าท่านมูซาชิไม่มาช่วย โอซือไม่มีวันหายหรอก”
“คนไข้นางนี้เรื่องมากแท้และเจ้าเองก็ไม่ได้เรื่อง ไม่รู้เดินทางมาด้วยกันได้ยังไง”
“เมื่อคืนวานซืน หลวงพี่พบท่านมูซาชิที่ไหนเหรอ”
“อืม”
หลวงพี่ทากูอันสบตากับท่านมิตสึฮิโระ ฝืนหัวเราะกลบเกลื่อน และทำหน้าลำบากใจที่จะต้องบอกสถานที่หากถูกซักลึกลงไป แต่ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่งเพราะเจ้าหนุ่มน้อยไม่ได้ติดใจกับสถานที่
“เมื่อไรท่านมูซาชิจะมาที่นี่ หลวงพี่บอกว่าจะพาท่านมูซาชิมา โอซือก็ปักใจเชื่อและนั่งคอยอยู่ทุกวัน หลวงพี่รู้ใช่ไหมว่าตอนนี้ท่านมูซาชิครูดาบของข้าอยู่ที่ไหน บอกข้าเดี๋ยวนี้”
โจทาโรตั้งท่าราวกับว่าถ้ารู้ตำบลที่อยู่ก็จะกระโจนออกไปตามตัวมาให้ได้ในทันทีนั้น
“อืม มูซาชิรึ”
หลวงพี่ทากูอันพึมพำ ทำหน้าเรียบเฉยดูไม่ออกว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ขณะบอกกับโจทาโรว่า
ตนไม่ได้ลืมความปรารถนาดีที่มีต่อมูซาชิกับโอซือ และความตั้งใจจริงที่จะให้คู่รักทั้งสองได้พบกัน แม้กระทั่งวันนี้ก็ยังคิด จึงได้แวะไปที่บ้านของโคเอ็ตสึระหว่างทางกลับจากวัดไดโทกูจิ เพื่อดูว่ามูซาชิยังพักอยู่ที่นั่นหรือไม่ โคเอ็ตสึทำหน้าลำบากใจเมื่อบอกว่ามูซาชิยังไม่กลับมาจากสำนักนางโลมโอกิยะ ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลกลใดเหมือนกัน แม่ชีชราผู้เป็นมารดาก็เป็นห่วงถึงกับมีจดหมายถึงคุณพี่โยชิโนะให้ช่วยส่งมูซาชิกลับมาที่บ้านนาง
3
“โอ๊ะ เหยี่ยวราตรีที่ชื่อมูซาชิคนนั้น อยู่กับคุณพี่โยชิโนะตั้งแต่เมื่อคืน จนป่านนี้ยังไม่คืนเรือนอย่างนั้นรึ”
ท่านมิตสึฮิโระทำตาโตเพราะนึกไม่ถึงกึ่งอิจฉานิดๆ
หลวงพี่ทากูอันไม่อาจพูดอะไรมากต่อหน้าโจทาโร ได้แต่พูดให้ฟังกำกวมว่า
“มูซาชิดูเป็นคนธรรมดาคนหนึ่งไม่น่าสนใจอะไร แต่คนที่แสดงความเป็นอัจฉริยะออกมาให้เห็นตั้งแต่ยังหนุ่ม มักมีทางไปไม่มากนัก และก็ไม่แปลกที่จะหลงเข่าซอกเข้าซอยไปบ้าง”
“คุณพี่โยชิโนะก็แปลก ไม่รู้ว่าเจ้านักดาบพเนจรขะมุกขะมอมคนนั้นมีอะไรดีนักหนา ถึงได้พออกพอใจอย่างนั้น”
“อาตมาคิดว่าตัวเองมีความรอบรู้ไม่น้อยเหมือนกัน แต่เมื่อพูดถึงอารมณ์ความรู้สึกของผู้หญิงแล้วละก็ อาตมาไม่เข้าใจเลยจริง ๆ ในสายตาของอาตมาทั้งโอซือและคุณพี่โยชิโนะคือคนป่วยด้วยไข้ใจ และมูซาชิเองนั้นก็อยู่ในช่วงที่เหมือนกับต้นไม้ที่เริ่มแตกตาในฤดูใบไม้ผลิ และกำลังก้าวเข้าสู่การฝึกวิทยายุทธบนวิถีแห่งดาบสายหลัก ซึ่งจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าอันตรายบนวิถีแห่งดาบนั้นคือมือของสตรีมากกว่าดาบ จากนี้ไปมูซาชิจะต้องเผชิญกับปัญหาชีวิตด้วยพละกำลังของตนเอง คนรอบข้างไม่อาจยื่นมือเข้าไปช่วยได้ นอกจากปล่อยให้ไปทางใครทางมัน”
พระมูซาชิพึมพำกับตัวเอง และพอนึกขึ้นได้ว่าต้องรีบออกเดินทาง จึงหันไปกล่าวคำอำลาท่านมิตสึฮิโระอีกครั้ง พร้อมทั้งขอความกรุณาให้ที่พักพิงแก่โอซือที่กำลังป่วยและหนุ่มน้อยโจทาโรไปอีกชั่วระยะหนึ่ง แล้วจึงเดินดุ่ม ๆ ลอดซุ้มประตูคฤหาสน์คาราซูมารู ออกเดินทางเมื่อยามบ่ายคล้อย ปะปนไปกับนักเดินทางและเกวียนเทียมวัวไปสู่จุดหมายกันไกลโพ้น
“หลวงพี่ หลวงพี่ทากูอัน”
ไม่มีใครนอกจากเจ้าโจทาโร
หลวงพี่คิดแล้วเหลียวไปทำสีหน้าว่ารำคาญใส่คนที่วิ่งตามหลังมา
โจทาโรหายใจหอบพลางดึงชายแขนกิโมโนของหลวงพี่เอาไว้
“กลับมาก่อนหลวงพี่ อย่าเพิ่งไป ช่วยไปพูดกับโอซือสักคำสองคำเถิด นางร้องไห้ใหญ่แล้ว ข้าทำอะไรไม่ถูก”
“เจ้าเล่าเรื่องมูซาชิให้โอซือฟังรึ”
“ก็นางเซ้าซี้ถามนี่ จะทำยังไงได้ล่ะ”
“พอเจ้าเล่าให้ฟัง นางก็ร้องไห้ใหญ่เลยละซี”
“ข้าไม่รู้นะ ถ้าหลวงพี่ไม่ไปช่วยพูด โอซืออาจช้ำใจตายก็ได้”
“ทำไมรึ”
“ก็นางทำท่าเหมือนจะตายเสียให้ได้น่ะซี บอกว่าอยากพบอีกครั้งก่อนที่จะตาย ขอเจอหน้าอีกสักครั้งก่อนตาย อะไรทำนองนี้แหละท่าน”
“พูดอย่างนั้น ไม่ต้องห่วงว่าจะตายจริง ๆ หรอก ปล่อยนางเถอะ ไม่ต้องไปยุ่ง”
“ว่าแต่ คุณพี่โยชิโนะคนนี้อยู่ที่ไหนเหรอ หลวงพี่”
“เจ้าจะรู้ไปทำไม”
“ข้าได้ยินหลวงพี่กับท่านบนเรือนคุยกันเมื่อกี้ว่าท่านมูซาชิครูของข้าอยู่ที่นั่นไม่ใช่รึ”
“เจ้าเล่าให้โอซือฟังทั้งหมดที่ได้ยินเลยรึ”
“อือ”
“มิน่าแม่นางขี้แยคนนั้นถึงได้ร้องไห้จะเป็นจะตาย คนเป็นไข้ใจอย่างนี้ถึงอาตมาจะกลับไปก็คงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ขอฝากคำพูดของอาตมาไปกับเจ้าจะได้ไหม”
“ว่าไงเหรอ”
“บอกให้โอซือกินข้าวให้ครบทุกมื้อ”
“แค่เนี้ย ไม่ต้องให้หลวงพี่บอกหรอก ข้าเองบอกวันละร้อยครั้ง”
“งั้นรึ ดีมาก เพราะนั่นเป็นคำพูดที่ดีที่สุดแล้วสำหรับนาง แต่ถ้านางไม่ยอมทำตามก็ช่วยไม่ได้ เจ้าเล่าความจริงทั้งหมดให้ฟังไปเลย”
“ความจริงอะไร”
“ก็ความจริงที่ว่ามูซาชิหลงรักนางโลมที่ชื่อโยชิโนะ หายเข้าไปในสำนักโองิยะได้สามวันจนวันนี้แล้วก็ยังไม่กลับออกมา ชัดไหมว่ามูซาชิไม่ได้คิดถึงโอซือเลยแม้แต่น้อย ผู้ชายเช่นนี้ไม่มีค่าควรแก่การร้องไห้คร่ำครวญอาลัยอาวรณ์แต่อย่างใด ใครยังร้องได้อยู่ก็บ้าเต็มทน พูดไปอย่างนั้นเลย”
โจทาโรสั่นหัวแรง ๆ แสดงว่าไม่อาจทนฟังต่อไปได้
“พอ ๆ ครูของข้าไม่มีวันเป็นอย่างนั้นไปได้ ท่านมูซาชิเป็นนักรบ ไม่ใช่ผู้ชายเช่นนั้นแน่นอน ถ้าโอซือได้ยินที่ท่านพูด นางต้องตายแน่ หลวงพี่เป็นบ้าไปแล้ว บ้า บ้าที่สุด”


กำลังโหลดความคิดเห็น