xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 4 ลม ตอน หัวใจของพิณบิวะ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


1
ณ โมงยามนี้ สำนักนางโลมไม่ว่าจะที่ใดน่าจะหลับใหล หากได้ยินเพลงพิณดังมาก็คงต้องคิดว่ามีนางใดเผลอละเมอครวญ
พ่อค้าและขุนนางที่มาด้วยกันกลุ่มนั้นกลับไปนานแล้ว แต่มูซาชิเจ้าหนุ่มนักดาบยังคงนั่งหลังตรงราวกับตั้งใจรอให้รุ่งเช้าอยู่บนยกพื้นห้องดินหน้าประตูเรือน ทำหน้าราวกับถูกจับไว้เป็นเชลยคนเดียว
คุณพี่โยชิโนะนั่งอยู่ข้างเตาผิงที่เดิมกับเมื่อตอนมีแขก และคอยเติมกิ่งโบตันสร้างเปลวไฟงดงามโชยกลิ่นหอมจาง ๆ ไปเรื่อย ๆ
“พ่อคุณ ตรงนั้นมันหนาว เข้ามาใกล้ ๆ เตาผิงเถิดนะ”
คุณพี่ร้องชวนไม่รู้ว่ากี่ครั้ง แต่มูซาชิก็ยังนั่งตัวตรงและตอบเหมือนกันทุกครั้งว่า
“คุณพี่เข้านอนก่อนเถิด ไม่ต้องห่วงข้า พอรุ่งเช้าข้าจะกลับออกไปเอง”
เจ้าหนุ่มนักดาบตอบกับประตูมิได้หันกลับไปมองคุณพี่ผู้เป็นดาวดวงเด่นแห่งสำนักโองิยะ ผู้ยากนักที่ใครจะมีโอกาสเข้ามาใกล้จนแทบจะหายใจรดกายกันเช่นนี้
โยชิโนะเองก็อดสงสัยใจตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่าทำไมจึงรู้สึกเก้อเขินเมื่อมาอยู่ด้วยกันสองต่อสองกับเจ้าหนุ่มนักดาบร่างกำยำคนนี้ และปากก็หนักไม่อาจหาคำพูดอื่นมาเจรจานอกจากคำชวนซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้เข้ามาผิงไฟ คล้องจองกับคำของอีกฝ่ายที่เร่งให้ไปนอน
โยชิโนะแห่งสำนักนางโลมโองิ มีคุณค่าของความเป็นกุลสตรีเหนือกว่านางโลมในสำนักระดับล่างที่มองพวกผู้ชายเป็นแหล่งสร้างรายได้ เธอเติบโตมาในภาวะแวดล้อมที่ดีและผ่านการอบรมกิริยามารยาทเทียมเท่าหรือเหนือกว่าสตรีมีสกุล เชิดชูให้เธอสง่างามโดดเด่นอยู่ในสำนักนางโลมอันดับหนึ่งแห่งนครหลวง
การอยู่กับชายตั้งแต่เช้าจนดึกดื่นตามงานในอาชีพ ทำให้โยชิโนะแตกต่างกับมูซาชิมากนัก แม้นางจะแก่กว่าเพียงปีสองปีแต่ก็รู้โลกรู้ชีวิตมากกว่าเจ้าหนุ่มหลายเท่านักจะให้นับถือเป็นพี่ใหญ่ก็คงได้ แต่ทำไมใจของพี่สาวใหญ่ผู้เจนโลกจึงหวั่นไหวเหมือนสาวรุ่นที่เพิ่งพบรักครั้งแรก เมื่อมาอยู่ด้วยกันเพียงลำพังสองต่อสองในยามดึกสงัด กับน้องชายนอกสายโลหิตผู้ไร้เดียงสา ที่นั่งนิ่งแม้หน้านางก็ไม่ยอมหันมามองหน้าด้วยเกรงว่าจะถูกเสน่ห์นางบาดตาบาดใจ และแน่นอนว่าใจจะต้องเต้นระทึกแทบจะเป็นจังหวะเดียวกันกับนาง
สาวน้อยต้นห้องกับเพื่อนไม่รู้เรื่องราว กุลีกุจอไปปูฟูกนุ่มชั้นดีระดับเจ้าขุนมูลนายเตรียมไว้ให้เรียบร้อยในห้องข้าง ๆ ตั้งแต่ก่อนที่แขกพิเศษกลุ่มนั้นจะกลับไป ลูกกระพรวนสีทองที่ติดชายหมอนสะท้อนแสงไฟสลัวเป็นประกายถึงแม้จะมัว ๆ แต่ก็ยังระคายตาชายหญิงทั้งสองที่อารมณ์กำลังสงบนิ่งอยู่
มูซาชิสะดุ้งทุกครั้งที่ได้ยินเสียงหิมะที่ทับถมบนหลังคาหรือบนกิ่งไม้ตกลงมา ความเงียบสงัดทำให้เสียงดังคล้ายกับมีใครกระโจนลงมาจากกำแพงรั้ว
คุณพี่โยชิโนะลอบมองไปทางมูซาชิที่เห็นเป็นเงาตะคุ่มอยู่ตรงนั้น หากเห็นได้ถนัดตานางก็จะรู้ว่าเจ้าหนุ่มขยับตัวตั้งท่าเตรียมสู่ราวเม่นตัวจ่าฝูงที่พองตัวเตรียมรับมือกับศัตรูและดวงตาคมวาวราวเหยี่ยวรัตติกาล ประสาทตื่นตัวเต็มที่ทั้งกายตัวจนถึงปลายผมทุกเส้น สิ่งใดก็ตามที่เข้ามาแตะตังในวินาทีนี้จะต้องถูกฟันกระจุย
แม้เพียงเงาก็ยังทำให้โยชิโนะเย็นวาบไปทั้งตัว คิดว่าเป็นความเยียบเย็นเข้าไปถึงกระดูกยามเมื่อใกล้รุ่งอรุณ แต่ก็ไม่ใช่
ราวกับว่าความเยือกเย็นจนกายสั่น ใจที่เต้นเมื่อชายหญิงอยู่ใกล้ชิด และเสียงฉีดแรงของโลหิต วิ่งสวนกันไปมาระหว่างคนหนึ่งที่ข้างเตาผิงและอีกคนที่ยกพื้นห้องดิน ข้ามผ่านเปลวไฟจากก้านโบตันที่ลุกโชน
เสียงหวีดของน้ำเดือดในกาที่แขวนอยู่เหนือเตาผิงปลุกโยชิโนะให้ตื่นจากภวังค์ ใจสงบนิ่งดังเดิมเมื่อเริ่มชงชา
“อีกไม่นานก็จะรุ่งสาง ท่านมูซาชิขึ้นมาดื่มน้ำชาและผิงไฟให้กายอุ่นเถิด”


2
“ขอบใจ คุณพี่”
มูซาชิตอบพร้อมค้อมศีรษะ แต่ยังนั่งหันหลังให้เช่นเดิม
“เชิญ”
โยชิโนะเองก็เลื่อนถ้วยชาให้แค่นั้นและเงียบไป เพราะหากพูดอะไรอีกก็จะกลายเป็นเซ้าซี้
ชาที่อุตส่าห์บรรจงชงถูกปล่อยให้เย็นชืดอยู่บนผ้ารองตรงนั้นเอง
ไม่รู้ว่าโยชิโนะโกรธขึ้นมาหรือไม่ก็คิดว่าเจ้าหนุ่มบ้านนอกคงไม่รู้ธรรมเนียมการชงชา จึงหยิบถ้วยชามาเททิ้งเสียในโถทิ้งน้ำข้าง ๆ นั้น แล้วจ้องไปที่มูซาชิด้วยสายตาที่มีแววเวทนา
มูซาชิยังนั่งหันหลังนิ่งอยู่อย่างนั้น เห็นแต่เพียงด้านหลังก็รู้สึกได้ถึงความแข็งแกร่งราวสวมเกราะเหล็กทั้งตัวไม่มีช่องให้อาวุธใดทะลวงฟันเข้าไปถึงเนื้อหนัง
“ท่านมูซาชิ”
“อะไรรึ”
“ท่านระวังตัวเตรียมพร้อมรับมือกับใครรึ”
“เปล่า ข้าแค่ระวังตัวไม่ให้ประมาทเท่านั้น”
“ประมาทต่อศัตรูอย่างนั้นรึ”
“แน่นอน”
“ถ้าเช่นนั้น ท่านก็เป็นคนที่น่าสงสารเหลือเกิน เพราะฉันคิดว่าถ้าพวกศิษย์สำนักโยชิโอกะบุกเข้ามาที่นี่เดี๋ยวนี้ ท่านต้องถูกฟันยับ ไม่ทันได้ชักดาบแน่”
“... ... ...?”
“ท่านมูซาชิ หญิงอย่างฉันไม่รู้เรื่องยุทธศาสตร์การสู้รบ แต่ฉันเฝ้ามองกิริยาท่าทีและสายตาของท่านในค่ำคืนนี้แล้ว อดคิดไม่ได้ว่าชีวิตของชายผู้นี้ช่างล่อแหลมเหลือเกิน จะถูกใครฟันตายไปเดี๋ยวนี้ก็ไม่แปลกอะไร ถ้าจะพูดให้ถูกอาจต้องบอกว่าใบหน้าของท่านมีเงาของความตายฉาบฉายอยู่ ไม่ว่าท่านจะเป็นนักดาบฝึกหัดหรือนักดาบที่กำลังจะก้าวหน้าขึ้นไปเป็นนักรบซามูไรมีหน้ามีตาก็ตาม มาทำตัวเช่นนี้ทั้งที่มีศัตรูรุมล้อมพร้อมจะเข้ามาประหัต ประหารทุกเวลาจะได้หรือ ทำอย่างนี้คิดว่าจะเอาชนะได้อย่างนั้นหรือ”
“... ... ...?”
โยชิโนะถามราวกับจะคาดคั้นเอาคำตอบให้ได้ เจ้าหนุ่มฟังแล้วรู้สึกเหมือนนางกำลังถากถางตนด้วยวาจาทั้งยังยิ้มเหยียดหยามความขี้ขลาดของตนด้วย
“อะไรนะ”
มูซาชิก้าวพรวดเดียวจากห้องดินขึ้นมาทิ้งตัวนั่งแรง ๆ ที่เตาผิง
“คุณพี่โยชิโนะหัวเราะเยาะว่ามูซาชิคนนี้เป็นนักดาบอ่อนหัดงั้นรึ”
“ฉันทำให้ท่านโกรธรึ”
“จะโกรธได้ยังไงในเมื่อคนพูดเป็นหญิง ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมคุณพี่ถึงเห็นข้าเป็นคนที่จะถูกใครฟันตายเสียเมื่อไรก็ได้อย่างที่บอก”
มูซาชิบอกว่าไม่โกรธแต่ประกายตาที่วาววับคู่นั้นไม่ได้สอดคล้องกับคำพูด แม้จะคอยจนรุ่งสางแล้วเช่นนี้ แต่มูซาชิก็ยังรู้สึกว่าการที่จะพาตัวให้รอดพ้นจากความโกรธแค้น กลยุทธ และคมดาบของศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย และเรื่องที่โยชิโนะพูดมาทั้งหมดนั้นก็เป็นสิ่งที่เขาทำใจเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว
หลังออกจากวัดเร็งเงโออิน เจ้าหนุ่มคิดเหมือนกันว่าจะไปซ่อนตัวอยู่ที่อื่น แต่พอนึกถึงโคเอ็ตสุผู้เป็นคนพามาเที่ยวจึงคืดขึ้นได้ว่าถ้าไม่กลับไปก็จะเป็นการเสียมารยาท แล้วยังจะเป็นการโกหกแม่สาวน้อยรินยะที่สัญญาไว้ว่าจะกลับไปด้วย และที่สำคัญคือถ้าตนหนีหายไปจากสำนักโองิยะ ก็จะถูกใคร ๆ ตราหน้าว่ามูซาชิขี้ขลาดหนีศัตรูไปซ่อนตัว สุดท้ายจึงตกลงใจกลับไปที่สำนักโองิยะอีกครั้ง และเข้าไปร่วมวงกับคนอื่น ๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คำพูดของโยชิโนะเสียดแทงใจเจ้าหนุ่มไม่น้อย หลังกลับเข้ามาที่สำนักคิดว่าตนก็วางตัวเหมาะสมดีแล้วกับวงสุรา แต่ทำไมคุณพี่ถึงว่าตนเป็นนักดาบอ่อนหัด หัวเราะเยาะ แล้วยังบอกว่าเงาความตายบนใบหน้าของตนอีก ...หรือว่าจะสาบแช่งกัน
หากเป็นการพูดเย้ากันเล่น ๆ ก็ไปอย่าง แต่หากหมายความจริง ๆ อย่างที่พูดก็ต้องคิดกันหน่อยจะเพิกเฉยเสียคงไม่ได้
สมมติว่าบ้านนี้ถูกล้อมไว้ด้วยหอกดาบ มูซาชิก็คิดว่าจะยังไม่ทะลวงออกไป จนกว่าจะคาดคั้นคุณพี่โยชิโนะให้ได้คำตอบเสียก่อนว่าทำไมถึงพูดกับตนเช่นนั้น

3
ดวงตาที่กร้าวแกร่งท้าทายไม่หวั่นแม้ปลายดาบจะพุ่งแทงเข้ามาในพริบตานั้น จ้องเขม็งไปที่ใบหน้าขาวนวลของคุณพี่โยชิโนะ ขณะรอคำตอบ
“คุณพี่พูดเล่นรึ”
เมื่อได้ยินเจ้าหนุ่มที่นาน ๆ จะเปิดปากสักครั้งพูดใส่อารมณ์เช่นนั้น ลักยิ้มที่หายไปนานจากแก้มนวลก็กลับมาอีกครั้ง
“อะไรกัน”
โยชิโนะยิ้มพลางส่ายหน้า
“ใครจะไปพูดล้อเล่นกับนักดาบอย่างท่านมูซาชิที่สุดแสนจะเคร่งขรึมผู้นี้ได้”
“งั้นก็ช่วยบอกหน่อยเถิดว่า คุณพี่เห็นข้าเป็นยังไงถึงได้บอกว่าหากศัตรูบุกเข้ามาข้าจะถูกฟันดับทันที เห็นเห็นข้าเป็นนักดาบอ่อนหัดซ้ำยังอ่อนแอและขี้ขลาดด้วยใช่ไหม”
“เมื่อท่านอยากรู้มากเช่นนี้ฉันก็จะบอกให้ ท่านมูซาชิได้ฟังคุณพี่โยชิโนะคนนี้เล่นเพลงพิณบิวะให้ทุกท่านฟังเมื่อคืนนี้หรือเปล่า”
“พิณบิวะรึ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
“ฉันอาจโง่เองที่ถาม บางทีหูของคนที่เกร็งเครียดอยู่ตลอดเวลาอย่างท่าน อาจแยกแยะเสียงละเอียดอ่อนที่สอดประสานอยู่ในเพลงพิณที่ฉันเล่นให้ฟังก็ได้"
“ข้าฟังอยู่นะ และข้าก็พอจะมีหูฟังดนตรีอยู่บ้าง”
“ท่านเคยรู้สึกอัศจรรย์ใจบ้างไหมที่พิณซึ่งมีเพียงสี่สาย สามารถสร้างเสียงออกมาได้หลายหลาก ทั้งเสียงอ่อนหวาน เสียงแหลม เสียงก้องกังวาน และอีกหลาย ๆ เสียง แสดงอารมณ์ตามท่วงทำนองเพลงอย่างมีอิสระมาก และท่านสามารถแยกเสียงได้บ้างไหม”
“ก็ไม่จำเป็นนี่ เพราะตอนฟังคุณพี่เล่นเพลงพิณข้าก็ฟังแต่เนื้อเพลง ไม่ได้ฟังอะไรอื่น”
“คนส่วนใหญ่ก็เป็นอย่างท่านซึ่งก็ดี ฉันอยากเปรียบพิณบิวะเป็นคน ๆ หนึ่ง ท่านลองคิดดูสิว่าน่าอัศจรรย์ไหมที่พิณบิวะที่มีเพียงแผ่นไม้ที่เป็นตัวพิณและสายพิณสี่สายเท่านั้นเอง แต่ก็ดีดได้หลายเสียงมาก ฉันจะไม่พูดเหมือนสอนพวกลูกศิษย์สาวน้อย ท่าทางท่านเป็นนักอ่านคงรู้จักท่านไป๋จวีอี้ กวีจีนผู้ยิ่งใหญ่ ในบรรดาบทกวีของท่านมีอยู่บทหนึ่งที่ว่าด้วยวิถีแห่งพิณบิวะ...”
โยชิโนะหลุบตานิด ๆ และร่ายกวีออกมาเบา ๆ เป็นท่วงทำนองกึ่งเพลงกึ่งคำพูด
เสียงสายใหญ่คือเสียงฝนกระหน่ำหนัก
เสียงสายเล็กคือเสียงกระซิบแผ่ว
ท่วงทำนองราวไข่มุกอันวาวแวว
ร่วงกระทบจานหยกใสกังวาน
แว่วคล้ายเสียงหยดน้ำที่ค้างกลีบ
แว่วคล้ายเสียงสายน้ำที่ร่ำไห้
แล้วฉับพลันเสียงเพลงพิณก็หยุดไป
สายพิณขาดเพราะใจใครทุกข์ระทม
ซ่อนความเศร้าสะเทือนใจในความเงียบ
แต่ยิ่งเงียบยิ่งสะท้อนความขื่นขม
ยิ่งกว่าเสียงพิณครวญความตรอมตรม
ใจระบมลึกล้ำเหลือประมาณ
ฉับพลันนั้นเสียงแจกันแตกกระจาย
เสียงม้าศึก เสียงดาบทวนประหัตประหาร
สุดท้ายก่อนวางพิณนางกรีดกราว
เสียงพลิ้วราวเส้นไหมเป็นเสียงเดียว
“ฉันถอดความบทกวีของท่านไป่จวีอี้ได้ประมาณนี้ ท่านคงพอเข้าใจได้ละมังว่าเสียงจากสายพิณทั้งสี่เล่าอะไรให้เราฟังได้บ้าง ฉันรู้สึกได้ถึงความพิเศษของพิณบิวะในการสร้างเสียงได้อย่างอัศจรรย์มาตั้งแต่เริ่มหัดดีดสมัยเด็ก และพยายามค้นหาต้นเหตุของความพิเศษนั้นตลอดมา ฉันแกะพิณบิวะออกเป็นส่วน ๆ แล้วทำเลียนแบบขึ้นมาเองหลายครั้งจนในที่สุดโยชิโนะคนนี้ก็ได้ค้นพบหัวใจของพิณบิวะที่อยู่ในตัวพิณ”
ทันทีที่พูดจบ โยชิโนะก็ลุกขึ้นไปหยิบพิณบิวะจากห้องข้าง ๆ กลับมานั่งที่เดิม จับก้านพิณบิวะเบา ๆ และยกขึ้นตั้งตรงระหว่างนางกับมูซาชิ มองไปที่พิณและบอกว่า
“ฉันพบว่า เมื่อผ่าร่างที่เป็นแผ่นไม้นี้ออกและมองเข้าไปเห็นหัวใจของพิณบิวะแล้ว ก็เข้าใจทันทีว่าเสียงที่พิณบิวะสร้างออกมานั้น ไม่ได้แปลกอะไรเลย ทุกเสียงเป็นเสียงที่สร้างออกมาได้ทั้งนั้น ฉันจะให้ท่านดูกับตาตัวเอง”
ว่าแล้วโยชิโนะก็หยิบมีดด้ามเรียวดูบอบบางเหมาะกับมือนางขึ้นมาเงื้อขึ้น แล้วฟาดฟันลงไปที่ตัวพิณไม่ยั้งมือสามครั้งสี่ครั้ง เสียงมีดกระทบตัวพิณราวกับจะมีเลือดกระฉูดออกมาทุกครั้ง
มูซาชิแทบลืมหายใจขณะตะลึงมองคมมีดดื่มลึกลงไปในตัวพิณบิวะตรงมุม ตรงลำตัว ลงไปจนสุด รู้สึกเจ็บปวดราวกับตนเองถูกคุณพี่โยชิโนะฟันด้วยมีดเล่มนั้นลึกเข้าไปถึงกระดูก
พิณบิวะถูกผ่าออกเป็นสองซีกไปต่อหน้าต่อตา คุณพี่โยชิโนะทำหน้าเฉยไม่แสดงว่าเสียดายแม้แต่น้อย


กำลังโหลดความคิดเห็น