นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
แขกรับเชิญแต่ละคนจิบสาเกจากจอกในมือพลางผิงไฟที่เจ้าบ้านเตรียมไว้รับรองกันอย่างสบายอารมณ์
ใบหน้าของคนที่หกที่นั่งเงียบ ๆ อยู่รายรอบรับแสงอ่อนๆจากเปลวไฟจากไม้ฟืนที่ไหววาบ สว่างสลับหรี่วูบเป็นครั้งคราว หูสดับฟังเสียงหิมะโปรยปรายและตาเหม่อมองไปที่เปลวไฟ ไม่มีอะไรต้องพูดไม่มีอะไรต้องคุย
เมื่อเห็นเปลวไฟจากท่อนไม้ที่เป็นเชื้อเพลิงเริ่มอ่อนแรงลง โยชิโนะโฉมงามจึงหยิบกิ่งไม้ท่อนยาวเรียวที่ตัดเอาไว้เสมอกันทุกกิ่งจากระบุงข้างตัวเติมลงไปในกองไฟ
เท่านั้นเอง ทุกคนในที่นั้นก็รู้เลยว่ากิ่งไม้ที่นางใส่ลงไปในกองไฟนั้นไม่ใช่กิ่งสนหรือกิ่งไม้ธรรมดา แต่เป็นไม้ที่ติดไฟเร็วมากและ...สีของเปลวไฟงดงามจนต้องตะลึงมอง
“เอ๊ะ นั่นไม้อะไร”
ใครคนหนึ่งหลุดปากออกมา แต่ไม่มีใครต่อคำด้วยกำลังดื่มด่ำกับความงามราวภาพมายาของเปลวไฟ
ห้องทั้งห้องสว่างราวกับกลางวันด้วยแสงของเปลวไฟจากกิ่งไม้นั้นเพียงสี่ห้ากิ่ง
เปลวไฟที่อ้อยอิ่งขึ้นไปจากกิ่งไม้นั้นพลิ้วไหวราวกับกลีบดอกโบตันสีขาวเมื่อต้องลม มีเปลวสีม่วงและสีแดงสดปนขึ้นมาแลบไล่กันเป็นครั้งคราว
“คุณพี่”
มิตสึฮิโระเอ่ยขึ้น
“กิ่งไม้ที่คุณพี่ใส่ลงไปในกองไฟคือกิ่งอะไร ดูแล้วไม่น่าใช่กิ่งไม้ธรรมดา”
ขณะเดียวกันนั้นมิตสึฮิโระคนถามเองและคนอื่น ๆ ก็ได้กลิ่นจาง ๆ โชยมาจนหอมไปทั้งห้องที่กำลังอุ่นสบายประโลมใจให้รื่นรมย์ยิ่งนัก และบางทีกลิ่นหอมอาจมาจากกิ่งไม้นั้นเมื่อไหม้ไฟ
“กิ่งต้นโบตันเจ้าค่ะ”
โยชิโนะโฉมงามเฉลย
“ต้นโบตันน่ะรึ”
คนหนึ่งถามขึ้นแทนทุกคนที่ต่างทำหน้าว่าไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่า จะมีใครเอาโบตันที่เป็นต้นดอกไม้มาทำเป็นฟืนเช่นนี้ โยชิโนะโฉมงามส่งก้านโบตันไปให้มิตสึฮิโระก้านหนึ่ง
“ดูสิเจ้าคะ”
เชื้อพระวงศ์รูปงามรับมาถือไว้และให้ไฮยะ โชยูกับโคเอ็ตสึดูด้วย และพึมพำว่า
“นี่เอง กิ่งโบตัน”
โยชิโนะโฉมงามเล่าว่าไร่โบตันในเขตรั้วของสำนักโองิยะ มีมาตั้งแต่ก่อนก่อตั้งสำนักขึ้นที่นี่ มีตอต้นโบตันเก่าแก่อยู่หลายตอที่มีอายุยืนยาวมากว่าร้อยปีและจนทุกวันนี้ก็ยังผลิใบและออกดอกอยู่ วิธีบำรุงรักษาให้ตอโบตันเก่าแก่ออกดอกต่อไปก็คือ เมื่อย่างเข้าฤดูหนาวทุกปีจะต้องแยกตอเก่าๆที่ถูกแมลงกัดกินทิ้งไป แล้วตัดเล็มกิ่งก้านเพื่อให้แตกตาใหม่ ๆ ออกมา และกิ่งโบตันนี้ก็ได้มาตอนที่ชาวไร่ตัดเล็มกิ่งนั่นเอง แต่ก็ปีหนึ่ง ๆ จะเก็บได้ไม่มากเหมือนพวกกิ่งไม้อื่น ๆ
เมื่อเอามาตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ใส่ลงไปในกองไฟที่ก่อเป็นเตาผิงที่เจาะลงไปบนพื้นห้อง เปลวไฟที่อ้อยอิ่งขึ้นมานั้นอ่อนช้อยและงดงามมาก ไม่มีควันเคืองตาทั้งยังกลิ่นหอมละมุน โบตันนั้นสมกับสมญาราชาแห่งดอกไม้โดยแท้ เพราะแม้แต่กิ่งแห้ง ๆ ก็ยังเป็นไม้ฟืนที่มีคุณค่าเกินกิ่งไม้ทั่วไป ทำให้ตระหนักว่าอันคุณค่าที่แท้จริงนั้นไม่ว่าพืช หรือมนุษย์ก็ไม่อาจแข่งกันมิได้ ระหว่างที่มีชีวิตอยู่อาจแข่งกันผลิดอกออกผล แต่จะมีสักกี่คนที่จะทรงคุณค่าเอาไว้หลังหาชีวิตไม่แล้ว เฉกเช่นกิ่งแห้งของต้นโบตันที่เผาแล้วเกิดเปลวไฟอ่อนช้อยงดงาม สีสวยและกลิ่นหอมจรรโลงใจ
พูดจบ โยชิโนะโฉมงามยิ้มเศร้า ๆ และบอกว่า
“ผู้หญิงอย่างฉัน จะงดงามจับตาก็เมื่ออยู่ในสาวเท่านั้นเอง แต่พอนานวันไปอายุมากขึ้นก็จะกลายเป็นดอกไม้ที่ไร้กลิ่นหอม ก่อนที่จะกลายเป็นแค่โครงกระดูกขาว ๆ”
2
ทุกคนรอบเตาผิงปล่อยอารมณ์ให้เคลิบเคลิ้มไปกับเปลวไฟจากกิ่งโบตันที่อ้อยอิ่งงดงามและโชยกลิ่นหอมจางๆ จนลืมเวลาไม่รู้ว่ากี่ทุ่มยาม
“ที่กระท่อมน้อยของฉันนี้ไม่มีอะไรเลี้ยงต้อนรับพวกท่าน นอกจากเหล้าสาเกเลิศรสแห่งนาดะ กับกองไฟกิ่งไม้ โบตันที่ฉันเตรียมเอาไว้พอเป็นเชื้อเพลิงจนถึงเช้า เชิญท่านหาความสำราญกันตามสบายเถิด”
แขกรับเชิญทุกคนดูเหมือนจะพออกพอใจอย่างบอกไม่ถูกกับการรับรองของโยชิโนะโฉมงามกันทั้งนั้น
“ไม่ต้องถ่อมตัวเลยคุณพี่ อย่างนี้แล้วยังบอกอีกรึว่าไม่มีอะไร ที่คุณพี่จัดมารับรองเรานี้เลิศหรูยิ่งกว่างานเลี้ยงของพระราชาหลายเท่านัก”
แม้แต่ไฮยะ โชยูผู้นิยมความหรูหราทุกรูปแบบก็ยังออกปากสรรเสริญจริงจากใจ
“ฉันขออะไรพวกท่านสักอย่างแทนคำสรรเสริญเยินยอจะได้ไหมเจ้าคะ คืออยากให้ทุกท่านช่วยเขียนอะไรไว้สักคำเป็นที่ระลึกถึงค่ำคืนนี้”
ว่าแล้วโฉมงามก็เลื่อนแท่นฝนแท่งหมึกดำเข้ามาแล้วเริ่มฝนทำน้ำหมึกให้ ระหว่างนั้นสาวต้นห้องรีบลุกไปหยิบพู่กันและม้วนกระดาษมาจากห้องข้าง ๆ
“หลวงพี่ทากูอัน คุณพี่โยชิโนะอุตส่าห์เอ่ยปากขอเช่นนี้ คงต้องเขียนให้เธอหน่อยแล้วละ”
มิตสึฮิโระช่วยจัดการแทนโยชิโนะโฉมงาม พระทากูอันพยักหน้ารับคำ
“เชิญ ท่านโคเอ็ตสึเป็นคนแรก”
โคเอ็ตสึไม่ตอบว่ากระไร กระเถิบไปนั่งคุกเข่าหน้าม้วนกระดาษ และลากปลายพู่กันวาดเป็นรูปดอกโบตันดอกหนึ่ง พระทากูอันกระเถิบเข้าไปนั่งแทนที่และเขียนบทเพลงลงไป
ใยเราต้องผละห่าง จากความงามและอารมณ์
เพราะดอกไม้แม้สวยสม ต้องระทมเมื่อร่วงโรย
มิตสึฮิโระเห็นหลวงพี่ร่ายเพลงยาวแล้วจึงเขียนเป็นบทกวีจีนจองไซ่เหวินถอดความได้ว่า
ยามยุ่งขุนเขามองลงมาที่ข้า ยามว่างข้ามองขึ้นไปที่ขุนเขา
ฟังดูคล้ายเหมือนกันแต่ไม่ใช่ เพราะยามยุ่งย่อมด้อยค่ากว่ายามว่าง
ส่วนโยชิโนะโฉมงามก็ถูกคะยั้นคะยอให้ต่อเพลงยาวของหลวงพี่ทากูอันด้วย นางจึงเขียนว่า
ดอกไม้เอยแม้ยามบาน ใยจึงเศร้าไม่แจ่มใส
หรือเจ้าจะหวั่นใจ ว่าวันใดต้องร่วงโรย
ฝ่ายไฮยะ โชยูกับมูซาชิได้แต่นั่งมองเฉย ๆ
มูซาชินึกดีใจอยู่เงียบ ๆ ที่โชคดีไม่มีใครมาเซ้าซี้ให้เขียน
ระหว่างนั้นไฮยะ โชยูมองไปเห็นพิณบิวะอันหนึ่งงางพิงอยู่ในห้องด้านใน จึงออกปากขอให้โยชิโนะโฉมงามดีดให้ฟัง และเสนอว่าเมื่อฟังจบเพลงหนึ่งแล้วก็เป็นอันว่าจบงานรื่นเริงในคืนนี้ และแยกย้ายกันกลับ ซึ่งทุกคนก็เห็นพ้องด้วย
โยชิโนะยอมทำตามคำขออย่างว่าง่าย เดินไปหยิบพิณบิวะมานั่งลงตรงกลางห้องด้านในท่ามกลางความมืดสลัว ด้วยกิริยาที่เป็นธรรมชาติ ไม่วางมาดว่าเป็นศิลปินผู้ชำนาญการดีดพิณ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเก่งแต่ถ่อมตน
ทุกคนที่นั่งอยู่รอบเตาผิงดื่มด่ำกับเพลงพิณท่อนหนึ่งจากตำนานเฮเกะที่โยชิโนะโฉมงามดีดให้ฟัง
ไม่มีใครสนใจว่าเปลวไฟในเตาผิงจะอ่อนลง ลืมกันจนหมดสิ้นว่าต้องคอยเติมกิ่งโบตันลงไป
จนกระทั่งถึงท่อนสุดท้ายเมื่อสี่สายของพิณถูกเร่งจังหวะรัวเร็ว จนแม้แต่ไฟที่กำลังจะมอดก็ลุกฮือขึ้น ใจของใครๆที่ล่องลอยไปไกลจึงหวนกลับมา
พอจบเพลง โยชิโนะโฉมงามก็ออกตัวว่า
“ขออภัยนะเจ้าค่ะ ที่ฝีมือยังไม่ถึง”
ก่อนยิ้มน้อย ๆ วางพิณแล้วกลับมานั่งที่เดิม
ทุกคนได้โอกาสจึงลุกขึ้นเตรียมกลับ มูซาชิโล่งใจทำหน้าเหมือนเพิ่งมีคนช่วยฉุดขึ้นมาจากก้นเหว รีบก้าวลงไปที่พื้นห้องดินหน้าประตูทางออกก่อนใคร ๆ
โยชิโนะโฉมงามตามออกมากล่าวคำร่ำลาแขกแต่ละคนตามธรรมเนียม ยกเว้นมูซาชิที่นางไม่ได้พูดอะไรด้วยสักคำ แต่พอเจ้าหนุ่มทำท่าจะตามคนอื่น ๆ ออกไปนางก็แอบดึงชายแขนเสื้อกิโมโนเอาไว้แล้วกระซิบว่า
“ท่านมูซาชิ พักอยู่ที่นี่เถิด คืนนี้ฉันไม่อยากให้ท่านกลับไปเลยนะ”
3
มูซาชิหน้าแดงราวสาวรุ่น แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ขณะที่ใจเต้นโครมคราม ทำท่าอึกอักจนคนข้าง ๆ สังเกตได้
“ให้ท่านผู้นี้ค้างที่นี่เถิดนะเจ้าคะ”
นางหันไปทำเสียงอ้อนกับไฮยะ โชยู
“ได้สิ จะเป็นไรไป ฝากด้วยแล้วกัน ช่วยรักเอ็นดูให้มาก ๆ หน่อย พวกเราจะดึงดันพากลับไปได้ยังไง จริงไหมท่านโคเอ็ตสึ”
มูซาชิรีบปัดมือโยชิโนะโฉมงามออกไปจากชายแขนเสื้อ
“ไม่นะ ข้าจะกลับกับท่านโคเอ็ตสึ”
แต่พอขืนตัวจะออกจากประตูไปให้ได้ โคเอ็ตสึกลับเออออไปด้วย
“ท่านมูซาชิ พูดอย่างนั้นทำไม คืนนี้พักเสียที่นี่เถิด พรุ่งนี้ค่อยหาโอกาสเหมาะ ๆ ลากลับไป คุณพี่เธออุตส่าห์ชวนทั้งที ท่าทางเธอออกจะเป็นห่วงท่านอยู่”
เจ้าหนุ่มไม่รู้เหมือนกันว่าโคเอ็ตสึคิดอะไรอยู่ จึงได้เห็นดีเห็นงามทิ้งให้ตนอยู่ที่นี่คนเดียว”
มูซาชิเดาว่านี่น่าจะเป็นแผนของพวกผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ ที่คิดทิ้งตนที่เป็นเจ้าหนุ่มอ่อนหัดเอาไว้กับผู้หญิงในโลกเริงรมย์เพื่อจะได้เอาเรื่องความไม่ประสีประสาของตนมาเล่าเล่นเป็นเรื่องตลกแทนกับแกล้มสาเก แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของโยชิโนะโฉมงามกับโคเอ็ตสึแล้ว รู้สึกว่าจะไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
ส่วนคนอื่นที่นอกเหนือจากทั้งสองคนนั้น ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เจ้าหนุ่มคิดจริง ๆ เพราะพอเห็นเขาทำท่าอึกอักลำบากใจก็ส่งเสียงล้อมาว่า
“ว่าไงเจ้าหนุ่มน้อยผู้โชคดีที่สุดในโลก” บ้าง “ให้ข้าค้างแทนเอาไหม” บ้าง
แต่แล้วเสียงล้อเลียนก็เงียบลงราวกับปลิดทิ้ง เพราะเพิ่งจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เมื่อได้ยินคำพูดของชายคนหนึ่งที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทางประตูรั้วด้านหลัง
ชายที่วิ่งเข้ามาเป็นคนของสำนักโองิยะที่โยชิโนะโฉมงามใช้ให้ไปสังเกตการณ์รอบ ๆ บริเวณสำนัก คนอื่น ๆ ตกใจเพราะไม่รู้ว่าจัดการเรื่องนี้ตอนไหน นอกจากโคเอ็ตสึเท่านั้นที่อยู่กับมูซาชิมาตลอดตั้งแต่ช่วงกลางวัน ทั้งยังเห็นตอนที่โยชิโนะโฉมงามแอบเช็ดเลือดที่ชายกิโมโนของมูซาชิตอนนั่งอยู่ด้วยกันที่เตาผิงเมื่อครู่ก่อนด้วย
“ทุกท่านออกไปกลับออกไปได้อย่างปลอดภัยขอรับ เว้นแต่ท่านมูซาชิเท่านั้นที่จะออกไปนอกเขตสำนักนี้ไม่ได้”
คนรับใช้บอกกับโยชิโนะผู้เป็นนายและคนอื่น ๆ ทั้งที่ยังหอบแล้ว แล้วรายงานสถานการณ์ที่ได้พบเห็นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจระงัยความตื่นเต้นเอาไว้ได้
“ตอนนี้ประตูทางออกจากสำนักเปิดอยู่ประตูเดียวนะขอรับ ส่วนที่ประตูใหญ่ และแถวโรงน้ำชาอามิงาซะ มีนักดาบแต่ละคนร่างใหญ่ ๆ พกอาวุธเพียบจับกลุ่มกันห้าคนบ้าง สิบคนบ้าง ซุ่มเป็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ตามแนวต้นหลิวสองฟากทางน่าเกรงขามมากขอรับ นักดาบพวกนี้มาจากโรงฝึกวิชาดาบชิโจของสำนักดาบโยชิโอกะขอรับ ร้านเหล้าและร้านค้าแถวนั้นตัวสั่นงันงกพากันปิดประตูร้าน และเฝ้าดูเหตุการณ์กันแทบจะลืมหายใจเลยละขอรับ แล้วยังลือกันด้วยว่า นักดาบอีกเป็นร้อยกำลังเคลื่อนกำลังจากทางโรงม้ามาสมทบกันที่นี่ด้วย ข้าว่าแย่แน่แล้วขอรับ”
ยิ่งพูดคนรายงานก็ยิ่งตื่นเต้นระคนหวาดกลัวจนตัวสั่น ฟันกระทบกันดังกึก ๆ ฟังแค่ครึ่งเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
“เอาละ ขอบใจนะ เหนื่อยมามากแล้วไปพักผ่อนให้หายตื่นเต้นตกใจเถิด”
โยชิโนะโฉมงามมองตามหลังคนรับใช้จนลับตัวไปแล้วจึงหันมาทางมูซาชิอีกครั้ง
“ฉันว่ายิ่งได้ยินคนรับใช้รายงานเช่นนั้น ท่านก็ยิ่งไม่ยอมเก็บตัวอยู่ที่นี่เพราะไม่อยากให้ใครมาชี้หน้าว่าเป็นคนขี้ขลาด และจะกลับออกไปให้ได้แม้ต้องตายก็ยอม จึงอยากขอร้องให้หยุดทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนั้น ถึงคืนนี้จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้ขลาด แต่พรุ่งนี้ท่านก็พิสูจน์ให้เขาเห็นได้นี่ว่าท่านไม่ได้ขี้ขลาด คืนนี้ท่านมาเที่ยวเล่นที่สำนักนางโลม ซึ่งนั่นคือวิถีของชายแท้ที่ต้องแสวงหาความสุขทางโลกเมื่อหัวใจต้องการ
คู่อริมาซุ่มคอยท่านเพื่อล้างแค้น การหลีกเลี่ยงสถานการณ์เฉพาะหน้าเช่นนี้ไม่ใช่การกระทำที่น่าอับอาย การออกไปประจันบานเสียอีกที่จะทำให้ถูกประนามว่าไม่มีความคิดจึงตกหลุมพลางของคู่อริได้ง่าย ๆ ทั้งยังทำให้สำนักโองิยะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ถ้าท่านออกไปกับกลุ่มที่มาด้วยกัน ท่านเหล่านั้นก็จะพลอยเป็นอันตรายไปด้วยทั้งที่ไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกัน ใครจะมารับรองได้ว่าจะไม่บาดเจ็บไปตาม ๆ กัน
จงคิดให้ดีเถิดท่านมูซาชิ คืนนี้ท่านฝากตัวไว้กับโยชิโนะเถิด โยชิโนะคนนี้จะรับฝากเอาไว้ ทุกท่านสบายใจได้ แล้วนะเจ้าคะ ขอให้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย ระหว่างทางช่วยระวังตัวให้ดีด้วย”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
แขกรับเชิญแต่ละคนจิบสาเกจากจอกในมือพลางผิงไฟที่เจ้าบ้านเตรียมไว้รับรองกันอย่างสบายอารมณ์
ใบหน้าของคนที่หกที่นั่งเงียบ ๆ อยู่รายรอบรับแสงอ่อนๆจากเปลวไฟจากไม้ฟืนที่ไหววาบ สว่างสลับหรี่วูบเป็นครั้งคราว หูสดับฟังเสียงหิมะโปรยปรายและตาเหม่อมองไปที่เปลวไฟ ไม่มีอะไรต้องพูดไม่มีอะไรต้องคุย
เมื่อเห็นเปลวไฟจากท่อนไม้ที่เป็นเชื้อเพลิงเริ่มอ่อนแรงลง โยชิโนะโฉมงามจึงหยิบกิ่งไม้ท่อนยาวเรียวที่ตัดเอาไว้เสมอกันทุกกิ่งจากระบุงข้างตัวเติมลงไปในกองไฟ
เท่านั้นเอง ทุกคนในที่นั้นก็รู้เลยว่ากิ่งไม้ที่นางใส่ลงไปในกองไฟนั้นไม่ใช่กิ่งสนหรือกิ่งไม้ธรรมดา แต่เป็นไม้ที่ติดไฟเร็วมากและ...สีของเปลวไฟงดงามจนต้องตะลึงมอง
“เอ๊ะ นั่นไม้อะไร”
ใครคนหนึ่งหลุดปากออกมา แต่ไม่มีใครต่อคำด้วยกำลังดื่มด่ำกับความงามราวภาพมายาของเปลวไฟ
ห้องทั้งห้องสว่างราวกับกลางวันด้วยแสงของเปลวไฟจากกิ่งไม้นั้นเพียงสี่ห้ากิ่ง
เปลวไฟที่อ้อยอิ่งขึ้นไปจากกิ่งไม้นั้นพลิ้วไหวราวกับกลีบดอกโบตันสีขาวเมื่อต้องลม มีเปลวสีม่วงและสีแดงสดปนขึ้นมาแลบไล่กันเป็นครั้งคราว
“คุณพี่”
มิตสึฮิโระเอ่ยขึ้น
“กิ่งไม้ที่คุณพี่ใส่ลงไปในกองไฟคือกิ่งอะไร ดูแล้วไม่น่าใช่กิ่งไม้ธรรมดา”
ขณะเดียวกันนั้นมิตสึฮิโระคนถามเองและคนอื่น ๆ ก็ได้กลิ่นจาง ๆ โชยมาจนหอมไปทั้งห้องที่กำลังอุ่นสบายประโลมใจให้รื่นรมย์ยิ่งนัก และบางทีกลิ่นหอมอาจมาจากกิ่งไม้นั้นเมื่อไหม้ไฟ
“กิ่งต้นโบตันเจ้าค่ะ”
โยชิโนะโฉมงามเฉลย
“ต้นโบตันน่ะรึ”
คนหนึ่งถามขึ้นแทนทุกคนที่ต่างทำหน้าว่าไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่า จะมีใครเอาโบตันที่เป็นต้นดอกไม้มาทำเป็นฟืนเช่นนี้ โยชิโนะโฉมงามส่งก้านโบตันไปให้มิตสึฮิโระก้านหนึ่ง
“ดูสิเจ้าคะ”
เชื้อพระวงศ์รูปงามรับมาถือไว้และให้ไฮยะ โชยูกับโคเอ็ตสึดูด้วย และพึมพำว่า
“นี่เอง กิ่งโบตัน”
โยชิโนะโฉมงามเล่าว่าไร่โบตันในเขตรั้วของสำนักโองิยะ มีมาตั้งแต่ก่อนก่อตั้งสำนักขึ้นที่นี่ มีตอต้นโบตันเก่าแก่อยู่หลายตอที่มีอายุยืนยาวมากว่าร้อยปีและจนทุกวันนี้ก็ยังผลิใบและออกดอกอยู่ วิธีบำรุงรักษาให้ตอโบตันเก่าแก่ออกดอกต่อไปก็คือ เมื่อย่างเข้าฤดูหนาวทุกปีจะต้องแยกตอเก่าๆที่ถูกแมลงกัดกินทิ้งไป แล้วตัดเล็มกิ่งก้านเพื่อให้แตกตาใหม่ ๆ ออกมา และกิ่งโบตันนี้ก็ได้มาตอนที่ชาวไร่ตัดเล็มกิ่งนั่นเอง แต่ก็ปีหนึ่ง ๆ จะเก็บได้ไม่มากเหมือนพวกกิ่งไม้อื่น ๆ
เมื่อเอามาตัดเป็นท่อนสั้น ๆ ใส่ลงไปในกองไฟที่ก่อเป็นเตาผิงที่เจาะลงไปบนพื้นห้อง เปลวไฟที่อ้อยอิ่งขึ้นมานั้นอ่อนช้อยและงดงามมาก ไม่มีควันเคืองตาทั้งยังกลิ่นหอมละมุน โบตันนั้นสมกับสมญาราชาแห่งดอกไม้โดยแท้ เพราะแม้แต่กิ่งแห้ง ๆ ก็ยังเป็นไม้ฟืนที่มีคุณค่าเกินกิ่งไม้ทั่วไป ทำให้ตระหนักว่าอันคุณค่าที่แท้จริงนั้นไม่ว่าพืช หรือมนุษย์ก็ไม่อาจแข่งกันมิได้ ระหว่างที่มีชีวิตอยู่อาจแข่งกันผลิดอกออกผล แต่จะมีสักกี่คนที่จะทรงคุณค่าเอาไว้หลังหาชีวิตไม่แล้ว เฉกเช่นกิ่งแห้งของต้นโบตันที่เผาแล้วเกิดเปลวไฟอ่อนช้อยงดงาม สีสวยและกลิ่นหอมจรรโลงใจ
พูดจบ โยชิโนะโฉมงามยิ้มเศร้า ๆ และบอกว่า
“ผู้หญิงอย่างฉัน จะงดงามจับตาก็เมื่ออยู่ในสาวเท่านั้นเอง แต่พอนานวันไปอายุมากขึ้นก็จะกลายเป็นดอกไม้ที่ไร้กลิ่นหอม ก่อนที่จะกลายเป็นแค่โครงกระดูกขาว ๆ”
2
ทุกคนรอบเตาผิงปล่อยอารมณ์ให้เคลิบเคลิ้มไปกับเปลวไฟจากกิ่งโบตันที่อ้อยอิ่งงดงามและโชยกลิ่นหอมจางๆ จนลืมเวลาไม่รู้ว่ากี่ทุ่มยาม
“ที่กระท่อมน้อยของฉันนี้ไม่มีอะไรเลี้ยงต้อนรับพวกท่าน นอกจากเหล้าสาเกเลิศรสแห่งนาดะ กับกองไฟกิ่งไม้ โบตันที่ฉันเตรียมเอาไว้พอเป็นเชื้อเพลิงจนถึงเช้า เชิญท่านหาความสำราญกันตามสบายเถิด”
แขกรับเชิญทุกคนดูเหมือนจะพออกพอใจอย่างบอกไม่ถูกกับการรับรองของโยชิโนะโฉมงามกันทั้งนั้น
“ไม่ต้องถ่อมตัวเลยคุณพี่ อย่างนี้แล้วยังบอกอีกรึว่าไม่มีอะไร ที่คุณพี่จัดมารับรองเรานี้เลิศหรูยิ่งกว่างานเลี้ยงของพระราชาหลายเท่านัก”
แม้แต่ไฮยะ โชยูผู้นิยมความหรูหราทุกรูปแบบก็ยังออกปากสรรเสริญจริงจากใจ
“ฉันขออะไรพวกท่านสักอย่างแทนคำสรรเสริญเยินยอจะได้ไหมเจ้าคะ คืออยากให้ทุกท่านช่วยเขียนอะไรไว้สักคำเป็นที่ระลึกถึงค่ำคืนนี้”
ว่าแล้วโฉมงามก็เลื่อนแท่นฝนแท่งหมึกดำเข้ามาแล้วเริ่มฝนทำน้ำหมึกให้ ระหว่างนั้นสาวต้นห้องรีบลุกไปหยิบพู่กันและม้วนกระดาษมาจากห้องข้าง ๆ
“หลวงพี่ทากูอัน คุณพี่โยชิโนะอุตส่าห์เอ่ยปากขอเช่นนี้ คงต้องเขียนให้เธอหน่อยแล้วละ”
มิตสึฮิโระช่วยจัดการแทนโยชิโนะโฉมงาม พระทากูอันพยักหน้ารับคำ
“เชิญ ท่านโคเอ็ตสึเป็นคนแรก”
โคเอ็ตสึไม่ตอบว่ากระไร กระเถิบไปนั่งคุกเข่าหน้าม้วนกระดาษ และลากปลายพู่กันวาดเป็นรูปดอกโบตันดอกหนึ่ง พระทากูอันกระเถิบเข้าไปนั่งแทนที่และเขียนบทเพลงลงไป
ใยเราต้องผละห่าง จากความงามและอารมณ์
เพราะดอกไม้แม้สวยสม ต้องระทมเมื่อร่วงโรย
มิตสึฮิโระเห็นหลวงพี่ร่ายเพลงยาวแล้วจึงเขียนเป็นบทกวีจีนจองไซ่เหวินถอดความได้ว่า
ยามยุ่งขุนเขามองลงมาที่ข้า ยามว่างข้ามองขึ้นไปที่ขุนเขา
ฟังดูคล้ายเหมือนกันแต่ไม่ใช่ เพราะยามยุ่งย่อมด้อยค่ากว่ายามว่าง
ส่วนโยชิโนะโฉมงามก็ถูกคะยั้นคะยอให้ต่อเพลงยาวของหลวงพี่ทากูอันด้วย นางจึงเขียนว่า
ดอกไม้เอยแม้ยามบาน ใยจึงเศร้าไม่แจ่มใส
หรือเจ้าจะหวั่นใจ ว่าวันใดต้องร่วงโรย
ฝ่ายไฮยะ โชยูกับมูซาชิได้แต่นั่งมองเฉย ๆ
มูซาชินึกดีใจอยู่เงียบ ๆ ที่โชคดีไม่มีใครมาเซ้าซี้ให้เขียน
ระหว่างนั้นไฮยะ โชยูมองไปเห็นพิณบิวะอันหนึ่งงางพิงอยู่ในห้องด้านใน จึงออกปากขอให้โยชิโนะโฉมงามดีดให้ฟัง และเสนอว่าเมื่อฟังจบเพลงหนึ่งแล้วก็เป็นอันว่าจบงานรื่นเริงในคืนนี้ และแยกย้ายกันกลับ ซึ่งทุกคนก็เห็นพ้องด้วย
โยชิโนะยอมทำตามคำขออย่างว่าง่าย เดินไปหยิบพิณบิวะมานั่งลงตรงกลางห้องด้านในท่ามกลางความมืดสลัว ด้วยกิริยาที่เป็นธรรมชาติ ไม่วางมาดว่าเป็นศิลปินผู้ชำนาญการดีดพิณ แต่ก็ไม่ใช่ว่าเก่งแต่ถ่อมตน
ทุกคนที่นั่งอยู่รอบเตาผิงดื่มด่ำกับเพลงพิณท่อนหนึ่งจากตำนานเฮเกะที่โยชิโนะโฉมงามดีดให้ฟัง
ไม่มีใครสนใจว่าเปลวไฟในเตาผิงจะอ่อนลง ลืมกันจนหมดสิ้นว่าต้องคอยเติมกิ่งโบตันลงไป
จนกระทั่งถึงท่อนสุดท้ายเมื่อสี่สายของพิณถูกเร่งจังหวะรัวเร็ว จนแม้แต่ไฟที่กำลังจะมอดก็ลุกฮือขึ้น ใจของใครๆที่ล่องลอยไปไกลจึงหวนกลับมา
พอจบเพลง โยชิโนะโฉมงามก็ออกตัวว่า
“ขออภัยนะเจ้าค่ะ ที่ฝีมือยังไม่ถึง”
ก่อนยิ้มน้อย ๆ วางพิณแล้วกลับมานั่งที่เดิม
ทุกคนได้โอกาสจึงลุกขึ้นเตรียมกลับ มูซาชิโล่งใจทำหน้าเหมือนเพิ่งมีคนช่วยฉุดขึ้นมาจากก้นเหว รีบก้าวลงไปที่พื้นห้องดินหน้าประตูทางออกก่อนใคร ๆ
โยชิโนะโฉมงามตามออกมากล่าวคำร่ำลาแขกแต่ละคนตามธรรมเนียม ยกเว้นมูซาชิที่นางไม่ได้พูดอะไรด้วยสักคำ แต่พอเจ้าหนุ่มทำท่าจะตามคนอื่น ๆ ออกไปนางก็แอบดึงชายแขนเสื้อกิโมโนเอาไว้แล้วกระซิบว่า
“ท่านมูซาชิ พักอยู่ที่นี่เถิด คืนนี้ฉันไม่อยากให้ท่านกลับไปเลยนะ”
3
มูซาชิหน้าแดงราวสาวรุ่น แกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน ขณะที่ใจเต้นโครมคราม ทำท่าอึกอักจนคนข้าง ๆ สังเกตได้
“ให้ท่านผู้นี้ค้างที่นี่เถิดนะเจ้าคะ”
นางหันไปทำเสียงอ้อนกับไฮยะ โชยู
“ได้สิ จะเป็นไรไป ฝากด้วยแล้วกัน ช่วยรักเอ็นดูให้มาก ๆ หน่อย พวกเราจะดึงดันพากลับไปได้ยังไง จริงไหมท่านโคเอ็ตสึ”
มูซาชิรีบปัดมือโยชิโนะโฉมงามออกไปจากชายแขนเสื้อ
“ไม่นะ ข้าจะกลับกับท่านโคเอ็ตสึ”
แต่พอขืนตัวจะออกจากประตูไปให้ได้ โคเอ็ตสึกลับเออออไปด้วย
“ท่านมูซาชิ พูดอย่างนั้นทำไม คืนนี้พักเสียที่นี่เถิด พรุ่งนี้ค่อยหาโอกาสเหมาะ ๆ ลากลับไป คุณพี่เธออุตส่าห์ชวนทั้งที ท่าทางเธอออกจะเป็นห่วงท่านอยู่”
เจ้าหนุ่มไม่รู้เหมือนกันว่าโคเอ็ตสึคิดอะไรอยู่ จึงได้เห็นดีเห็นงามทิ้งให้ตนอยู่ที่นี่คนเดียว”
มูซาชิเดาว่านี่น่าจะเป็นแผนของพวกผู้ใหญ่เจ้าเล่ห์ ที่คิดทิ้งตนที่เป็นเจ้าหนุ่มอ่อนหัดเอาไว้กับผู้หญิงในโลกเริงรมย์เพื่อจะได้เอาเรื่องความไม่ประสีประสาของตนมาเล่าเล่นเป็นเรื่องตลกแทนกับแกล้มสาเก แต่พอเห็นสีหน้าจริงจังของโยชิโนะโฉมงามกับโคเอ็ตสึแล้ว รู้สึกว่าจะไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ
ส่วนคนอื่นที่นอกเหนือจากทั้งสองคนนั้น ดูเหมือนจะเป็นอย่างที่เจ้าหนุ่มคิดจริง ๆ เพราะพอเห็นเขาทำท่าอึกอักลำบากใจก็ส่งเสียงล้อมาว่า
“ว่าไงเจ้าหนุ่มน้อยผู้โชคดีที่สุดในโลก” บ้าง “ให้ข้าค้างแทนเอาไหม” บ้าง
แต่แล้วเสียงล้อเลียนก็เงียบลงราวกับปลิดทิ้ง เพราะเพิ่งจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรก็เมื่อได้ยินคำพูดของชายคนหนึ่งที่วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาทางประตูรั้วด้านหลัง
ชายที่วิ่งเข้ามาเป็นคนของสำนักโองิยะที่โยชิโนะโฉมงามใช้ให้ไปสังเกตการณ์รอบ ๆ บริเวณสำนัก คนอื่น ๆ ตกใจเพราะไม่รู้ว่าจัดการเรื่องนี้ตอนไหน นอกจากโคเอ็ตสึเท่านั้นที่อยู่กับมูซาชิมาตลอดตั้งแต่ช่วงกลางวัน ทั้งยังเห็นตอนที่โยชิโนะโฉมงามแอบเช็ดเลือดที่ชายกิโมโนของมูซาชิตอนนั่งอยู่ด้วยกันที่เตาผิงเมื่อครู่ก่อนด้วย
“ทุกท่านออกไปกลับออกไปได้อย่างปลอดภัยขอรับ เว้นแต่ท่านมูซาชิเท่านั้นที่จะออกไปนอกเขตสำนักนี้ไม่ได้”
คนรับใช้บอกกับโยชิโนะผู้เป็นนายและคนอื่น ๆ ทั้งที่ยังหอบแล้ว แล้วรายงานสถานการณ์ที่ได้พบเห็นมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่อาจระงัยความตื่นเต้นเอาไว้ได้
“ตอนนี้ประตูทางออกจากสำนักเปิดอยู่ประตูเดียวนะขอรับ ส่วนที่ประตูใหญ่ และแถวโรงน้ำชาอามิงาซะ มีนักดาบแต่ละคนร่างใหญ่ ๆ พกอาวุธเพียบจับกลุ่มกันห้าคนบ้าง สิบคนบ้าง ซุ่มเป็นเงาตะคุ่ม ๆ อยู่ตามแนวต้นหลิวสองฟากทางน่าเกรงขามมากขอรับ นักดาบพวกนี้มาจากโรงฝึกวิชาดาบชิโจของสำนักดาบโยชิโอกะขอรับ ร้านเหล้าและร้านค้าแถวนั้นตัวสั่นงันงกพากันปิดประตูร้าน และเฝ้าดูเหตุการณ์กันแทบจะลืมหายใจเลยละขอรับ แล้วยังลือกันด้วยว่า นักดาบอีกเป็นร้อยกำลังเคลื่อนกำลังจากทางโรงม้ามาสมทบกันที่นี่ด้วย ข้าว่าแย่แน่แล้วขอรับ”
ยิ่งพูดคนรายงานก็ยิ่งตื่นเต้นระคนหวาดกลัวจนตัวสั่น ฟันกระทบกันดังกึก ๆ ฟังแค่ครึ่งเดียวก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ
“เอาละ ขอบใจนะ เหนื่อยมามากแล้วไปพักผ่อนให้หายตื่นเต้นตกใจเถิด”
โยชิโนะโฉมงามมองตามหลังคนรับใช้จนลับตัวไปแล้วจึงหันมาทางมูซาชิอีกครั้ง
“ฉันว่ายิ่งได้ยินคนรับใช้รายงานเช่นนั้น ท่านก็ยิ่งไม่ยอมเก็บตัวอยู่ที่นี่เพราะไม่อยากให้ใครมาชี้หน้าว่าเป็นคนขี้ขลาด และจะกลับออกไปให้ได้แม้ต้องตายก็ยอม จึงอยากขอร้องให้หยุดทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนั้น ถึงคืนนี้จะถูกตราหน้าว่าเป็นคนขี้ขลาด แต่พรุ่งนี้ท่านก็พิสูจน์ให้เขาเห็นได้นี่ว่าท่านไม่ได้ขี้ขลาด คืนนี้ท่านมาเที่ยวเล่นที่สำนักนางโลม ซึ่งนั่นคือวิถีของชายแท้ที่ต้องแสวงหาความสุขทางโลกเมื่อหัวใจต้องการ
คู่อริมาซุ่มคอยท่านเพื่อล้างแค้น การหลีกเลี่ยงสถานการณ์เฉพาะหน้าเช่นนี้ไม่ใช่การกระทำที่น่าอับอาย การออกไปประจันบานเสียอีกที่จะทำให้ถูกประนามว่าไม่มีความคิดจึงตกหลุมพลางของคู่อริได้ง่าย ๆ ทั้งยังทำให้สำนักโองิยะพลอยเดือดร้อนไปด้วย ถ้าท่านออกไปกับกลุ่มที่มาด้วยกัน ท่านเหล่านั้นก็จะพลอยเป็นอันตรายไปด้วยทั้งที่ไม่มีอะไรยุ่งเกี่ยวกัน ใครจะมารับรองได้ว่าจะไม่บาดเจ็บไปตาม ๆ กัน
จงคิดให้ดีเถิดท่านมูซาชิ คืนนี้ท่านฝากตัวไว้กับโยชิโนะเถิด โยชิโนะคนนี้จะรับฝากเอาไว้ ทุกท่านสบายใจได้ แล้วนะเจ้าคะ ขอให้กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย ระหว่างทางช่วยระวังตัวให้ดีด้วย”