xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอน กลีบดอกโบตันแดง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

1
​​“อุ๊ยตาย กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ ดิฉันไม่เห็นเลย”
​สาวน้อยรินยูกรี๊ดกร๊าด
​​“เพิ่งกลับมาเมื่อเห็นนี่แหละ”
​​“เข้ามาทางประตูหลังหรือเจ้าคะ”
​​“อือ”
​​“ไปไหนมา”
​​“ออกไปข้างนอก ตรงนี้เอง”
​​“นั่นแน่ มีนัดกับแม่คนดีแน่เลย เดี๋ยวเถอะ หนูจะไปฟ้องคุณพี่”
​มูซาชิอดหัวเราะกับจริตจะก้านของแม่สาวน้อยรินยูไม่ได้
​​“คนอื่นไปไหนกันหมดล่ะนี”"
​​“เห็นชวนกันไปสนุกกับท่านคันงังกับหลวงพี่ที่ห้องโน้น”
​​“ท่านโคเอ็ตสึล่ะ”
​​“ไม่รู้สิ”
​​“ถ้าท่านโคเอ็ตสึกลับไปแล้ว ข้าก็อยากกลับเหมือนกัน”
​“ไม่ได้นะ ใครมาที่นี่แล้วคุณพี่ไม่อนุญาตให้กลับก็กลับไม่ได้ ขืนกลับไปก็จะถูกใคร ๆ หัวเราะเยาะ และรินยูก็จะต้องถูกดุด้วย
สาวน้อยล้อเล่นแต่มูซาชิฟังเป็นเรื่องจริงจัง และเชื่อตามนั้น
​“กลับไปเงียบ ๆ ไม่ได้นะ ท่านต้องรออยู่ตรงนี้จนกว่าหนูจะกลับมา”
สาวน้อยรินยูหายไปพักหนึ่ง พระทากูอันซึ่งคงจะได้ข่าวจากสาวน้อยเข้ามาหา
​“มูซาชิ เป็นยังไงมั่ง”
หลวงพี่ร้องทัก และตรงเข้ามาตบหลังตบไหล่ด้วยความยินดี
​“โอ๊ะ”
​เจ้าหนุ่มนักดาบผงะแทบหงายหลังด้วยความตกใจจริง ๆ เมื่อกี้แม่สาวน้อยรินยูพูดถึงหลวงพี่ก็จริง แต่ใครจะไปนึกฝันว่าเป็นพระทากูอันผู้นี้
​​“ไม่ได้พบกับท่านนานมากเหลือเกิน”
​มูซาชิพูดพลางเลื่อนตัวลงจากเบาะที่นั่ง จรดมือทั้งสองลงกับพื้นเสื่อก้มศีรษะแสดงความเคารพอย่างสูงสุด พระทากูอันรวบมือคู่นั้นขึ้นมากุมไว้แล้วบอกว่า
​​“ที่นี่เป็นสถานเริงรมย์ ใคร ๆ เขาก็มาเที่ยวเล่นกัน ไม่ต้องทำความเคารพเป็นพิธีรีตองอย่างนั้นหรอกมูซาชิ...ได้ยินว่ามากับท่านโคเอ็ตสึไม่ใช่รึ แล้วนี่ไปไหนเสียล่ะ”​
​​“ไม่รู้เหมือนกันว่าหายไปไหน”
​​“ไปตามมาดื่มกันดีกว่า อาตมามีเรื่องอยากคุยกับเจ้ามากมาย แต่เอาไว้ทีหลังก็ได้ วันนี้ต้องดื่มกันก่อนถึงจะถูก”
​พระทากูอันว่าพลางลุกขึ้เดินไปเปิดประตูบานเลื่อนที่กั้นแบ่งกับอีกห้องหนึ่ง ก็เห็นใครคนหนึ่งนอนห่มผ้านวมอุ่นสบายอยู่หลังฉากพับที่เอามากางกั้นไว้...ท่านโคเอ็ตสึนั่นเอง
​จะปลุกก็สงสารเราะเห็นว่ากำลังหลับอย่างเป็นสุข แต่ระหว่างที่ชะโงกลงไปมองหน้าใกล้ ๆ นั้นเองโคเอ็ตสึก็รู้สึกตัวลืมตาขึ้น มองพระทากูอันและมูซาชิสลับกันไปมาด้วยสายตาที่ฉงนฉงาย
​พอหายงงแล้วโคเอ็ตสึก็บอกว่า
​“ถ้าที่นั่นมีหลวงพี่กับท่านมิตสึฮิโระเพียงสองคน ข้าไปที่นั่นด้วยก็ได้”
​แล้วทั้งหมดก็พากันไปที่ห้องท่านมิตสึฮิโระ
​พอไปถึงก็พบว่าทั้งท่านมิตสึฮิโระและท่านไฮยะ โชยูดื่มกันจนเต็มคราบ ถึงจุดที่เหล้าสาเกเริ่มขมและขื่นคอ ริมฝีปากแห้ง และพอได้ดื่มน้ำก็คิดถึงบ้านและฟูกอุ่น ๆ ขึ้นมาทันที อาการหลังดื่มคืนนี้ย่ำแย่กว่าเคยเพราะถูกโยชิโนดาวเด่นประจำสำนักทิ้งไปดื้อ ๆ
​“กลับเถอะ”
​“กลับบ้านดีกว่า”
​พอคนหนึ่งเอ่ยขึ้นอีกคนก็คล้อยตาม ไม่ใช่ว่าจะไม่เสียดายค่ำคืนอันแสนสนุก แต่ยังมีสติพอจะคิดได้ว่ากลับเสียตั้งแต่ยังพอเดินถึงบ้านได้น่าจะสง่างามกว่า
​แต่พอทั้งสองลุกขึ้นยืนพร้อมกลับนั้นเอง
​รินยูก็วิ่งนำหน้าสาวน้อยอีกสองคนเข้ามาดึงมือท่านมิตสึฮิโระเอาไว้ และบอกอย่างระล่ำระลัก
​“ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องรอนะเจ้าคะ อย่าเพิ่งกลับเจ้าค่ะ คุณพี่โยชิโนะเตรียมต้อนรับทุกท่านไว้เรียบร้อยแล้วและส่งพวกเรามาเชิญไปที่ห้องรับรองของคุณพี่เจ้าค่ะ บ้านน่ะกลับเมื่อไรก็ได้ หิมะตกขาวโพลนออกอย่างนี้ข้างนอกดูสว่างราวกับยามรุ่งอรุณ มาดื่มกันให้กายอุ่นสบายก่อนจะไปขึ้นกระเช้าคานหามที่หนาวเย็น ดีกว่านะเจ้าคะ”
​​“อะไรนะ”
​คนพูดเลิกคิ้วเมื่อได้ยินคำเชิญที่เกินความคาดหมาย
​มิตสึฮิโระกับไฮยะ โชยูมองหน้ากันเพราะต่างไม่เข้าใจคำที่ว่า
​​ขอโทษที่ทำให้ท่านต้องรอ

2
​คนเราพอใจมันจะกลับใครชวนยังไงก็ไม่รู้สึกสนุกอีกแล้ว
​ส่วนสาวน้อยต้นห้องคุณพี่โยชิโนะพอสังเกตเห็นแขกต่างลังเลและอิดออดอยู่ก็เอ่ยขึ้นว่า
​​“คุณพี่บอกหนูว่าพวกท่านต้องคิดว่าเธอใจร้ายแน่เลยที่อยู่ๆก็กลับออกมา ความจริงแล้วตอนนั้นคุณพี่ลำบากใจมากเพราะทำอะไรไม่ถูก ถ้าทำตามใจท่านมิตสึฮิโระ ท่านไฮยะ โชยูก็จะต้องเจ็บช้ำน้ำใจ แต่ถ้าจะไปกับท่าน ไฮยะ โชยู ท่านมิตสึฮิโระก็จะถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว คุณพี่ไม่อยากให้ใครต้องเสียใจทั้งนั้นจึงได้กลับไปเตรียมห้องรับรองท่านทั้งสอง เข้าใจความรู้สึกของคุณพี่แล้วอย่างนี้ สนุกกันต่อเถิดนะเจ้าคะ อย่าเพิ่งกลับเลย”
​ได้ฟังดังนั้นแล้วจะปฏิเสธน้ำใจนางและดึงดันกลับไปก็ใช่ที่ อีกทั้งยังเป็นการเชิญที่มีคุณพี่เป็นเจ้าภาพที่ห้องรับรองส่วนตัวเสียด้วย
​“ไปกันไหมท่าน”
​“ไปสิ คุณพี่เธออุตส่าห์ชวน”
​ว่าแล้วก็พากันเดินตามสาวน้อยไปตามระเบียงทางเดิน และพอผ่านสวนก็เห็นรองเท้าแตะฟางห้าคู่เรียงกันอยู่บนขั้นบันไดหิน หิมะฤดูใบไม้ผลิเบาบางที่โปรยลงมาไม่ขาดสายกลบรอยเท้าเสียสิ้น
​ทุกคนนอกจากมูซาชิเดากันว่าโยชิโนะคงจะเชิญมาร่วมพิธีชงชาละมัง เพราะโฉมงามผู้เป็นดาวรุ่งของสำนักนี้มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วว่าเป็นผู้อุทิศตนให้แก่ศิลปะการชงชา และอีกอย่างการได้น้ำชาอุ่น ๆ สักถ้วยหลังดื่มกันจนเมามายขนาดนี้จะเรียกว่าวิเศษสุดก็คงได้ แต่สาวน้อยผู้นำทางไม่หยุดที่ห้องชงชาแต่เดินลึกเข้าไปหลังสวนจนเห็นไร่นาอยู่รำไร
​ทำเอาคนที่เดินตามไปชักจะกังวล
​“นี่แม่สาวน้อยจะพาเราไปไหนกันล่ะ นี่มันไร่หม่อนไม่ใช่รึ”
​มิตสึฮิโระถามและทำคิ้วขมวด สาวน้อยต้นห้องคุณพี่โยชิโนะหัวเราะกิ๊กกั๊ก
​“ไม่ใช่ไร่หม่อนหรอกเจ้าค่ะ ตรงนี้เป็นไร่ดอกโบตัน ตอนสิ้นฤดูใบไม้ผลิทุกปีเราจะจัดงานรื่นเริงชมดอกไม้กัน เจ้าค่ะ”
​แต่มิตสึฮิโระยังทำหน้าบึ้ง ทั้งหนาวทั้งไม่รู้สึกสนุกไปด้วย
​“ไม่รู้ละจะไร่หม่อนหรือไร่ดอกโบตันข้าก็ไม่เอาด้วย หิมะตกอย่างนี้ข้าไม่เอาด้วยหรอกนะ คุณพี่โยชิโนะจะให้พวกหนูพาเรามาเป็นหวัดตายหรือยังไง”
​“ขอโทษนะเจ้าคะ คุณพี่โยชิโนะรออยู่ตรงนั้นแล้ว เดินไปอีกนิดเดียวเองเจ้าค่ะ”
​ทุกคนมองไปข้างหน้าก็เห็นเรือนหลังเล็กมุงหลังคาด้วยหญ้าอัดหนาอยู่ตรงมุมท้องไร่ น่าจะเป็นบ้านชาวไร่ที่มีมาตั้งแต่โบราณก่อนที่จะมีการบุกเบิกพื้นที่บริเวณรคคุโจเป็นเมืองขึ้นมา ด้านหลังเป็นป่าดูหนาว แม้จะห่างออกไปจากสวนจัดแต่งของสำนักโอกิงะ แต่ดูเหมือนยังอยู่ภายในสำนัก
​​“เชิญทางนี้เจ้าค่ะ”
​สาวน้อยต้นห้องเดินนำเข้าไปในห้องประตูทางเข้าเรือนที่พื้นเป็นดินอัดแน่นมีเขม่าจับดำไปทั่ว
​​“มากันแล้วเจ้าค่ะ”
​สาวน้อยร้องบอกเข้าไปข้างใน
​​“เชิญเจ้าค่ะ เชิญตามสบายไม่ต้องเกรงใจ”
​เสียงหวานเจือยแจ้วของคุณพี่โยชิโนะดังออกมาประตูบานเลื่อน แสงไฟจากเตาผิงสะท้อนวอมแวมอยู่ที่บานประตู
​​“ยังกับออกมานอกเมือง...”
​ผู้มาเยือนมองไปรอบ ๆ ห้องประตูทางเข้าที่มีเสื้อฟางกันฝนและของใช้ของชาวนาชาวไร่แขวนอยู่ข้างฝา ก่อนก้าวขึ้นเรือนและตามกันเข้าไปในห้องพลางนึกฉงนว่าคุณพี่โยชิโนะเตรียมอะไรไว้ต้อนรับกันแน่

3
​โยชิโนะสวมกิโมโนผ้าพื้นสีเหลืองอ่อนคาดโอบิสีดำ เกล้าผมใหม่เป็นแบบเรียบ ๆ เหมือนแม่บ้านและแต่งหน้าอ่อน ๆ นั่งคอยต้อนรับแขก
​​“โอ งามแท้”
​​“สุดสวย ไม่เคยเห็นคุณพี่แต่งอย่างนี้มาก่อน”
ผู้มาเยือนตะลึงลานจ้องมองโฉมงามกันไม่วางตา
​ผู้หญิงในชุดกิโมโนผ้าฝ้ายสีเหลืองอ่อนที่นั่งอยู่ริมเตาผิงบนพื้นห้องโดยมีผนังบ้านชาวนาที่เขม่าจับดำเป็นฉากหลังผู้นี้ งดงามตรึงตาตรึงใจกว่าคุณพี่โยชิโนะในชุดกิโมโนผ้าปักแบบโมโมยามะสีสันอลังการ ผมเผ้าเกล้าเต็มยศนั่งอยู่หน้าฉากพับลงยาสีทองตะเกียงสีเงินวาววับสมศักดิ์โฉมงามผู้เป็นดาวดวงเด่นแห่งสำนักโองิยะ เป็นร้อยเท่า
​​“งาม งามเหลือเกิน”
​ไฮยะ โชยูผู้ไม่ค่อยกล่าวชมใคร ชมนางด้วยมธุรสวาจาไม่หยุดปากตั้งแต่ก้าวเข้ามาในห้อง เป็นคนละคนกับที่เมาแล้วโวยวายเมื่อครู่ก่อน
​โยชิโนะเอ่ยขึ้นว่า
​“ที่นี่คือบ้านของฉัน และอย่างที่เห็นคือเป็นบ้านป่าไม่มีอะไรที่จะเอามาต้อนรับทุกท่านให้สมเกียรติ ฉันตระหนักดีว่าการเลี้ยงอาหารในคืนวันหิมะตกนั้นไม่มีอะไรจะล้ำเลิศไปกว่าไฟ ไม่ว่าแขกรับเชิญจะเป็นโจรป่าหรือมหาเศรษฐีก็ตาม ฉันจึงเตรียมไฟเอาไว้อย่างเหลือเฟือ มีฟืนอยู่มากมายไม่ขาดแม้เราจะคุยกันถึงเช้า เชิญทุกท่านพักผ่อนให้สบาย”
​เข้าใจนางแล้ว
​โคเอ็ตสึพยักหน้าอยู่ในใจ โยชิโนะให้ต้นห้องพาทุกคนเดินฝ่าความหนาวเย็นมาถึงที่นี่ โดยเตรียมไฟอันอบอุ่นซึ่งมีคุณค่ากว่าอาหารเลิศรสในยามนี้มากนักไว้ต้อนรับ นั่นเอง
​ไฮยะ โชยู กับ มิตสึฮิโระและพระทากูอัน เข้าไปนั่งข้างเตาผิงและยื่นมือออกไปอังไฟด้วยท่าทางผ่อนคลายสบายใจ
​“อ้าว ท่านทำไมม่าเข้ามาผิงไฟล่ะเจ้าคะ”
​โยชิโนะเรียก และส่งสายตาเป็นเชิงเชิญมองมูซาชิที่นั่งเยื้องไปข้างหลัง
​เตาผิงสี่เหลี่ยมที่พื้นห้อง คนนั่งล้อมรอบหกคนก็แทบจะเบียดกันแล้ว
​มูซาชินั่งสำรวมกิริยาท่าทีมาตั้งแต่แรกแล้ว เพราะรู้ดีว่าโยชิโนะผู้นี้เป็นคนมีชื่อเสียงที่สุดในหมู่ชาวเมือง อาจเรียกได้ว่ารองจากจอมทัพฮิเดโยชิและอิเอยาซุเลยทีเดียว นางเป็นที่หนึ่งในวงการบันเทิงเหนือกว่าโอคูนิดาวดวงเด่นของละครคาบูกิ และสวยกว่ามีเสน่ห์กว่าโยโดกิมิแห่งปราสาทโอซากาผู้ได้ชื่อว่าสูงศักดิ์และเป็นที่เคารพรักเสียอีก
​ดังนั้นคนที่จะได้ใกล้ชิดกับนางถูกเรียกว่าคนซื้อ ส่วนนางผู้ขายเสน่ห์นั้นเรียกกันว่าท่านทายู ทายูคือคำเรียกนักแสดงชั้นสูงแต่สำหรับโยชิโนะคนเดียวเท่านั้นที่เวลาเรียกต้องเติมท่าน มูซาชิได้ยินมาว่าเวลาอยู่ที่สำนักนางใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย มีคนคอยเอาใจสุด ๆ เวลาจะอาบน้ำทีต้องมีสาวใช้เจ็ดคนเข้าไปช่วยอาบและสองคนช่วยตัดเล็บ...แต่ มูซาชิไม่เข้าใจว่าคนซื้อ อย่าง โคเอ็ตสึกับไฮยะ โชยู และมิตสึฮิโระ สนุกกันได้ยังไงกับการเที่ยวเล่นกับผู้หญิงที่มีชื่อเสียงขนาดนั้น...เฝ้าดูอยู่นานก็ไม่เห็นจะเข้าใจเลยว่าสนุกตรงไหน
​แต่ในการเที่ยวเล่นที่ไม่เห็นจะสนุกตรงไหนนั้น ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่าง เช่น มารยาทของลูกค้า การเคารพนบนอบของผู้หญิง ความใจต่อกันของทั้งสองฝ่าย ซึ่งทำให้มูซาชิผู้เพิ่งเคยย่างก้าวเข้ามาในโลกที่มีสีสันท่ามกลางผู้หญิงหน้าขาว ๆ เช่นนี้เป็นครั้งแรกถึงกับตัวแข็ง วางหน้าวางท่าไม่ถูกไปเลยทีเดียว
​เพียงโยชิโนะชายตามองมาเท่านั้น ใบหน้าเจ้าหนุ่มก็ร้อนผ่าว หัวใจเต้นรัวแรงอย่างน่าประหลาดเสียแล้ว
​​“ทำไมท่านถึงได้เกรงใจ ไปนั่งแอบอยู่อย่างนั้นล่ะเจ้าคะ มาตรงนี้เร้ว”
​นางเรียกหลายครั้ง
​​“อ้อ....เอ่อ...หะ”
​สุดท้ายก็ทนคำคะยั้นคะยอไปได้จึงเขยิบเข้าไปนั่งตรงที่นางกระเถิบให้ข้าง ๆ และยื่นมือออกไปอังไฟอย่างเกร็งๆ
​ตอนที่มูซาชิเขยิบเข้าไปนั่งข้าง ๆ โยชิโนะเหลือบมองไปที่ชายเสื้อของเจ้าหนุ่มนิดหนึ่ง และพอได้จังหวะที่คน อื่น ๆ เริ่มคุยกันติดลม นางก็ค่อยๆ หยิบกระดาษจากอกเสื้อเอามาซับชายกิโมโนของมูซาชิ
​​“อ๊ะ ขอโทษ”
​เงียบเสียก็ไม่มีใครสนใจ แต่อารามตกใจก้มไปมองชายกิโมโนทั้งยังอุทานออกมาเสียงไม่เบาเลยด้วย ทุกคนจึงหันมามองไปที่มือของโยชิโนะเป็นตาเดียว
​กระดาษที่พับเป็นทบอยู่ในมือนางเปื้อนสีแดงที่ซับมา
​โคเอ็ตสึจ้องตาโพลง และโพล่งออกมาทันที
​“เฮ้ย นั่นมัน เลือดนี่”
​โยชิโนะปิดปากหัวเราะ และบอกหน้าตาเฉย
​“ไม่ใช่เจ้าค่ะ กลีบดอกโบตันแดงต่างหาก


กำลังโหลดความคิดเห็น