นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
คู่ประลองยุทธ์จับดาบคมวับเปล่งประกายสีน้ำเงินจางในระดับตา จับจ้องระวังเชิงกันนิ่งอยู่ จนหิมะตกลงมาทับหนาบนเรือนผมของมูซาชิและบนไหล่บึกบึนของเด็นชิจิโร
ในสายตาของมูซาชิ ณ นาทีนี้ไม่มีภาพคู่อริที่เห็นเด่นตระหง่านราวหินผาอยู่ตรงหน้าเมื่อครู่ก่อน
ความมุ่งมั่นเอาชนะที่คุกรุ่นอยู่ตั้งแต่ต้น เลือนหายไปพร้อมกับตัวตนของนักดาบพเนจรนามมูซาชิ
สิ่งที่อยู่ในสายตามีเพียงหิมะที่โปรยปรายลงมาในห้วงห่างราวสองช่วงตัวระหว่างตนกับเด็นชิจิโร
และหิมะนั้นบางเบาราวหัวใจของตน และห่วงห่างนั้นกว้างราวกับกายตนในขณะนี้
กว้างจนไม่รู้ว่าตรงไหนคือตัวตนและตรงไหนคือฟ้าดิน หรือว่ามูซาชิจะมีเพียงนามแต่ไร้ตัวตน
ห่วงห่างที่หิมะโปรยปรายแคบเข้ามาทันใดเมื่อเด็นชิจิโรขยับตัวก้าวเข้ามาประชิด
และในเสี้ยววินาทีเดียวกันนั้นเอง ปลายดาบของมูซาชิก็ไหววูบด้วยสัญชาตญาณ
จ๊าก
เสียงร้องลั่นดังขึ้นพร้อมกับเสียงเหมือนถุงถั่วแดงถูกฟัน ในจังหวะที่มูซาชิตวัดคมดาบไปข้างหลัง
หัวของโอตากุโระ เฮียวสุเกะที่ย่องเข้ามาหมายจู่โจมข้างหลังถูกฟันขาดสะบั้น กลิ้งหลุน ๆ เหมือนลูกไม้สุก ๆ ผ่านแทบเท้านักดาบผู้พิฆาตไปหยุดอยู่ตรงหน้าเด็นชิจิโร
ร่างไร้วิญญาณที่ยังไม่รู้ตัวว่าตายก้าวเดินไปสะเปะสะปะไปข้างหน้า
และในจังหวะที่มูซาชิแผ่นโผนตัวลอยตามไปนั้นเอง
เด็นชิจิโรที่ตั้งดาบรับอยู่ก็แผดเสียงขู่ขวัญพร้อมพิฆาตศัตรูดังก้องสะท้อนสะท้านไปในความเงียบสงัดรอบด้าน
แต่แผดออกมาได้เพียงครึ่งเดียวก็ขาดหายกลายเป็นเสียงดังเหมือนกิ่งไม้ผุ ๆ ถูกตัดขาด พร้อมกับร่างใหญ่บึกบึนซวนเซไปข้างหลังก่อนล้มลงไปจมกองหิมะ
“เดี๋ยว เดี๋ยวก่อน”
เด็นชิจิโรครางด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัส พยายามยันตัวขึ้นมาทั้งที่หน้ายังจมอยู่ในหิมะ แต่มามีประโยชน์อันใดเพราะตรงนั้นไม่มีแม้แต่เงาของมูซาชิ
“เฮ้ย นั่นเสียงใคร”
คนที่ได้ยินเสียงสุดท้ายของเด็นชิจิโรคือศิษย์สำนักดาบที่ซุ่มดูเหตุการณ์อยู่ห่างออกไป
“ก็อาจารย์น้องน่ะซี”
“แย่แล้ว พวกเราไปกันเร็ว”
ชายชุดดำซึ่งมีทั้งศิษย์สำนักดาบและบรรดาญาติพากันวิ่งกรูจนหิมะกระจุยกระจายเข้าไปยังลานประลองยุติ
ผู้เฒ่าเก็นซาเอมอนจากมิบุซึ่งซุ่มดูอยู่ไกล ๆ ก็ขโยกเขยกตามมาด้วย
“นี่มันอะไรกัน โอตากุโระเสร็จมันด้วยหรือนี่”
“อาจารย์น้องล่ะ”
“ท่านเด็นชิจิโร”
ทุกคนมองสภาพแล้วรู้ทันทีว่าหมดหวังที่จะเยียวยา
โอตากุโระ เฮียวสุเกะถูกฟันคอขาดจากหูขวาตัดลงมากลางปากตายสนิทด้วยดาบเดียว
ส่วนเด็นชิจิโรถูกฟันจากกลางกระหม่อมเยื้องเฉี่ยวโคนจมูกลงไปตัดกระโหลกแก้มใต้ตาด้วยดาบเดียวเช่นกัน
“เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าอย่าประมาทฝีมือศัตรู เพราะเจ้านักดาบคนนี้มันไม่ธรรมดา โธ่ ดะ...เด็นชิจิโร ฟื้นสิ เด็นชิจิโร”
พ่อเฒ่าเก็นซาเอมอนกอดศพหลานชาย พร่ำพูดด้วยความเจ็บใจพร้อมกับเขย่าแรง ๆ ทั้งที่รู้ดีว่าสิ้นหวัง
พื้นหิมะนองเลือดถูกเหยียบย่ำกลายเป็นสีชมพูไปทั่วทั้งบริเวณ
พ่อเฒ่านึกโกรธตัวเองที่เอาแต่โศกเศร้าอยู่กับหลานชายจนทำอะไรไม่ถูก แล้วก็เลยพาลเอากับพวกศิษย์สำนักดาบที่ยังยืนเงอะงะกันอยู่
“เจ้านักดาบคู่ประลองยุทธ์หายหัวไปไหน”
พ่อเฒ่าตวาดลั่น เท่านั้นแหละเหล่าลูกศิษย์จึงได้สติและออกตามหา แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของมูซาชิ
“ไม่รู้ว่าหายหัวไปไหนขอรับท่านอา”
“ไม่เห็นเลยขอรับ”
“จะไม่เห็นได้ยังไง ในเมื่อมันมาทำให้เราหายนะย่อยยับถึงเพียงนี้”
พ่อเฒ่าเก็นซาเอมอนกัดฟัน สั่นสะเทิ้มไปทั้งตัว
“ข้าเห็นกับตาว่ามูซาชิยืนนิ่งอยู่ตรงนี้ก่อนที่เราจะวิ่งเข้ามา คงไม่ได้มีปีกจึงจะบินหนีไปได้ ในฐานะที่ข้าก็เป็นหนึ่งในตระกูลโยชิโอกะ ถ้าข้าไม่ได้ประดาบล้างแค้นกับเจ้ามูซาชิในครั้งนี้ ข้าก็คงไม่อาจแบกหน้าไปเผชิญกับญาติพี่น้องผู้ใดได้”
ยังมาทันสิ้นเสียงของพ่อเฒ่า ศิษย์คนหนึ่งในกลุ่มก็อุทานออกมาแล้วชี้เข้าไปในความมืด
เสียงอุทานนั้นทำให้คนอื่น ๆ ผงะออกมาก้าวหนึ่งโดยไม่รู้ตัวก่อนเขม้นมองไปตามมือชี้เป็นตาเดียวกัน
“มูซาชิ”
“นั่นไงใช่แล้ว”
“แน่ใจรึว่าใช่”
“อืม”
ความเงียบครอบคลุมไปทั่วทั้งบริเวณอยู่ชั่วขณะ
ไม่ใช่ความเงียบของป่าเขาที่แวดล้อม แต่เป็นความเงียบจากภายในกายของผู้คนที่รวมตัวอยู่ ณ ที่นั้น ที่ดูเหมือนว่า ประสาทหู ประสาทตา และสมองหยุดทำงานไปชั่วครู่
มูซาชิหลบเข้าไปยืนตั้งมั่นอยู่ใต้ชายคาระเบียงโบสถ์ ใกล้สุดกับจุดที่ตนจบชีวิตของเด็นชิจิโร...
จ้องมองทีท่าของอีกฝ่ายพลางเคลื่อนตัวไปทางด้านข้างโดยมีผนังโบสถ์เป็นเกราะกั้นหลัง โดดลอยตัวขึ้นไปที่สุดระเบียงที่ยาวเหยียด
พวกนั้นจะสู้ไหม
เจ้าหนุ่มนักดาบคิดอยู่ในใจพร้อมกับหันหน้าเข้าหากลุ่มศิษย์สำนักดาบ ตั้งท่าเตรียมรับมืออยู่ตรงนั้นเผื่อว่าอีกฝ่ายจะเคลื่อนไหว แต่พอเห็นอีกฝ่ายไม่แสดงทีท่าว่าจะเคลื่อนไหว จึงก้าวเดินต่อไปยังมุมระเบียงด้านเหนือและหายไปทางด้านข้างของวัดเร็งเงโออิน
2
“ส่งกระดาษเปล่าเป็นคำตอบมาหยามน้ำใจกันอย่างนี้ จะให้คนอย่างข้านิ่งอยู่ได้ยังไง ข้าจะต้องไปเจรจากันให้รู้ดำรู้แดงกันไปต่อหน้าเลยทีเดียว และจะเอาตัวคุณพี่โยชิโนะมาให้ได้”
ถึงจะยอมรับกันโดยทั่วไปว่าไม่มีใครแก่เกินเที่ยวเล่นยามราตรี แต่ก็คงไม่มีใครชอบใจนักกับการที่ผู้เฒ่าเมาแล้วเอาแต่ใจตัวเองชนิดยอไม่หยุดอย่างไฮยะ โชยูผู้นี้
“พาข้าไปที่ไปเดี๋ยวนี้เลย”
ไฮยะ โชยูจับไหล่ซูมิกิคุยันตัวลุกขึ้นยืนขืน โคเอ็ตสึที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ยกมือขึ้นห้ามเอาไว้
“อย่าดีกว่า ใจเย็น ๆ ”
แต่ฝ่ายฝ่ายนั้นก็ยังยืนกราน
“ไม่ได้ ข้าจะต้องไปเชิญคุณพี่โยชิโนะมาที่นี่ให้ได้ ซูมิกิคุ...เมียรักจงช่วยเป็นนายธง พาข้าซึ่งเป็นแม่ทัพไปทลายค่ายศัตรูและจับเชลยสาวสวยมาให้ได้โดยเร็ว ผู้ใดเป็นทหารกล้าก็ขอให้ตามมา”
คนเมาเดินโซเซเห็นแล้วเสียวไส้ว่าจะล้มเป็นอันตราย และแม้ส่วนใหญ่เมื่อปล่อยให้เมาก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรนักหนานอกจากนอนพับไป แต่ก็ไม่มีใครอยากยุ่งเกี่ยวกับคนเมากันนัก ยิ่งบางคนที่แกล้งทำเมาให้คนเอาใจ ให้ใครเป็นห่วงกังวลก็ยิ่งน่าเกลียด ทางที่ดีถ้าไปกับคนเมาก็ควรเมาไปด้วยกันจะได้หมดปัญหา
ไฮยะ โชยูเที่ยวอยู่ตามสถานเริงรมย์มานานปีจนสามารถขีดเส้นแบ่งได้ระหว่างการหาความสนุกใส่ตนกับการทำให้คนอื่นสนุก เมื่อสาว ๆ คิดว่าเขาเมาจนเละแล้วเขาก็ยิ่งทำตัวให้เละสุด ๆ เพื่อให้พวกหล่อนเข้ามาช่วยประคับประคอง
“ท่านฟูนาบาชิ อย่าทำอย่างนั้นสิเจ้าคะ มันอันตราย”
พอพวกสาว ๆ เข้ามากางกั้น ไฮยะ โชยูก็ยิ่งทำเดินตุปัดตุเป๋ยิ่งขึ้น
“อาไร้...พวกหล่อนอย่ามาดูถูกข้านะ ถึงขาข้าจะเป๋ไป๋แต่หัวใจข้ามั่นคงนะจะบอกให้”
ว่าแล้วก็ตบผับ ๆ ตรงหัวใจ
“งั้นท่านก็เดินไปเองแล้วกัน”
และพอพวกสาว ๆ ปล่อยมือ เขาก็แกล้งล้มแผละลงกับพื้น
“ข้าเหนื่อยแล้ว ใครช่วยแบกข้าขึ้นหลังไปที”
สำนักนางโลมแห่งนี้ใหญ่โตกว้างขวาง กว่าจะเดินไปถึงแต่ละห้องก็ไกลพอดูอยู่แล้ว ยิ่งมาเจอแขกแบบนี้เข้าพวกสาว ๆ ต่างก็เหน็ดเหนื่อยจนหอบไปตาม ๆ กัน แม้จะรู้ว่านี่เป็นการเล่นสนุกอย่างหนึ่งของไฮยะ โชยู แต่ก็ไม่มีใครอยากเล่นด้วย
ไฮยะ โชยูอยากรู้เท่านั้นว่าขุนนางผู้อวดดีที่บังอาจส่งจดหมายกระดาษเปล่ามาหยามน้ำใจตนนั้นตั้งใจที่จะผูกขาดคุณพี่โยชิโนะหรือไม่เท่านั้นเอง ไฮยะ โชยูหรูตัวว่าตนเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยแม้จะเป็นสามัญชนและไม่ได้ยำเกรงขุนนางคนที่มาจากวังผู้นี้เลยสักนิด เพราะรู้ดีว่าจริง ๆ แล้วพวกนี้มีแต่ยศศักดิ์แต่ไม่มีเงิน ถ้าเอาเงินเอาทองไปโปรยและยกยอปอปั้นเท่านั้นเองก็จะเข้าครอบงำและเชิดเป็นหุ่นได้สบาย
“หนาย ๆ ท่านคันงังสนุกอยู่ที่ห้องไหนกันจ้ะ ห้องนี้รึ ห้องนี้หรือ”
ไฮยะ โชยูเดินเด้งหน้าเด้งหลังราวกับก้อนบุกไปหยุดอยู่หน้าห้องที่แสดงไฟสว่างเล่นเงากับประตูบานเลื่อนกรุกระดาษ ถามสาว ๆ ที่ตามมาดูแลด้วยเสียงอ้อแอ้และทำคอง่อกแง่ก พร้อมกับเอื้อมมือไปจะเปิดประตู ก็พอดีคนข้างในเลื่อนเปิดออกก่อน
“อ้าว นึกว่าใคร”
คนชะโงกหน้าออกมาร้องทักคือพระทากูอันที่ดูเหมือนจะมาอยู่ผิดที่ผิดทางอย่างน่าฉงน
3
“อ๊ะ พระคุณเจ้า”
ไฮยะ โชยูทักตอบ ทำตาโตและเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มด้วยความยินดี
“พระมาเที่ยวเหมือนกันรึ”
ว่าแล้วก็ตรงเข้าไปกอดคอพระทากูอันด้วยความสนิทสนม หลวงพี่ย้อนถามบ้าง
“ท่านก็มาเที่ยวเหมือนกันหรือ”
ว่าแล้วก็ล็อกคอไฮยะ โชยู ดึงตัวเข้ามากอด เอาแก้มถูกันเหมือนคนรักที่จากกันไปนาน
“สบายดีนะ”
“อือ ก็อย่างที่เห็น”
“คิดถึงจัง”
“ดีใจมากเลยพระ”
เพื่อนขี้เมาตบหัวกันไปมา เลียจมูกกันบ้าง และทำอะไร ๆ อีกหลายอย่างที่คนเมาเท่านั้นจึงจะเข้าใจกัน
คาราซุมารุ มิตซุฮิโระได้ยินเสียงอึกทึกระคนเสียงเหมือนแมวสองตัวกำลังออเซาะที่ระเบียงทางเดิน จึงสบตากับและบอกกับโคโนเอะ โนบูทาดะที่นั่งอยู่ตรงข้าม พร้อมหัวเราะหึ ๆ
“นึกแล้วเชียวว่าเจ้าจอมโวยจะต้องมา”
มิตซุฮิโระเป็นเจ้านายหนุ่มรูปงามคมคาย คิ้วหนา ริมฝีปากแดงระเรื่อ ตาคมเป็นประกายฉลาดเฉลียว ดูเผิน ๆ อายุน่าจะราวสามสิบปีแต่จริง ๆ แล้วอาจมากกว่านั้นก็ได้ แม้ไม่แต่งองค์ทรงเครื่องก็ดูมีสง่าราศีสมกับเป็นเชื้อพระราชวงศ์
อยากรู้นักว่าทำไมข้าถึงได้เกิดมาในราชสำนัก ในสมัยที่นักรบเท่านั้นที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นมนุษย์ เช่นนี้
คือคำที่เชื้อพระวงศ์รูปงามพูดอยู่เสมอจนติดปาก มิตซุฮิโระซ่อนอารมณ์ต่อต้านรุนแรงต่อชนชั้นนักรบเอาไว้ภายใต้สีหน้าที่อ่อนโยนและมีอัธยาศรัยไมตรี
มิตซุฮิโระพูดโดยไม่ไว้หน้าใครอยู่เสมอว่า
พวกเชื้อพระวงศ์หนุ่มผู้เฉลียวฉลาดที่ไม่ใส่ใจกับสถานการณ์ปัจจุบันคือคนงี่เง่า
มิตซุฮิโระต่อต้านชนชั้นนักรบอย่างรุนแรง ด้วยแนวคิดที่ว่าการที่นักรบกุมอำนาจบริหารทั้งหมดไว้ในกำมือเช่นในปัจจุบันนี้เป็นการกระทำที่ขัดกับหลักการปกครองที่ยึดถือกันมาแต่โบราณ คือราชสำนักแห่งองค์จักรพรรดิมีอำนาจในการปกครองโดยมีชนชั้นนักรบมีหน้าที่คอยให้ความช่วยเหลือ แต่ทุกวันนี้ชนชั้นนักรบไม่ยึดถือหลักการเช่นว่านี้อีกต่อไป และให้ความสำคัญกับราชวงศ์เพียงแค่เป็นเครื่องประดับเหมือนตุ๊กตาแต่งองค์ทรงเครื่องและสวมมงกุฎ...พระเจ้าคิดผิดที่ให้ตนมาเกิดเป็นเชื้อพระวงศ์ในยุคนี้สมัยนี้ วิถีชีวิตของตนจึงมีเพียงสองทางคือเป็นทุกข์ในยามปกติ และมีสุขเมื่อดื่มสุราจนเมามาย นอนหนุนตักสาวงาม ชมจันทร์ ชมดอกไม้ ดื่มและดื่มไปจนตาย
มิตซุฮิโระประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานประจำพระราชวังแห่งพระจักรพรรดิจนได้ดำรงตำแหน่งสูงสุดในสภาที่ปรึกษาแห่งองค์พระจักรพรรดิตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่เขาไม่ได้ถือว่านั่นคือเกียรติภูมิแม้แต่น้อย ยิ่งสูงขึ้นไปก็ยิ่งทุกข์ และที่มิตซุฮิโระมาสำนักนางโลมที่นี่เป็นประจำก็เพื่อให้โลกเริงรมย์นี้ช่วยให้ตนลืมความทุกข์ทั้งปวง และอย่างน้อยก็เพื่อให้รู้สึกว่าตนเป็นมนุษย์คนหนึ่งระหว่างอยู่ในโลกมายาแห่งนี้