นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
ภาค 4 ลม ตอน วิถีดาบที่ต่างแนว
1
สายตาคมเฉียบของนักดาบทั้งสองพุ่งเข้าประสานกันแทบจะเห็นเป็นประกาย
ความได้เปรียบเสียเปรียบปรากฏชัดเจนมาตั้งแต่สิ้นเสียงที่เด็นชิจิโรตะโกนเรียกชื่อมูซาชิเมื่อแรกเห็น
นักดาบผู้ใดก็ตามที่เฝ้ามองอยู่จะต้องประเมินได้ทันทีว่ามูซาชิอยู่ในชัยภูมิที่เหนือกว่าหลายขุม
และถ้าจะขอให้ชี้แจงว่าทำไมจึงแน่ใจขนาดนั้น ก็คงต้องนึกวาดภาพกันให้ชัดก่อน...
มูซาชิยืนตั้งท่าเตรียมพร้อมอยู่กลางระเบียงโบสถ์ที่ทอดยาวเทียมเท่าระยะยิงธนู สูงขึ้นไปจากระดับที่เด็นชิจิโรยืนอยู่หลายศอก อยู่ในตำแหน่งที่มองต่ำลงมาคู่อริด้วยสายตาดูแคลนไม่ว่าเจ้าตัวจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม
เท่านั้นยังไม่พอ มูซาชิยังตั้งมั่นอยู่ในตำแหน่งที่ไม่ต้องระวังหลัง เพราะไม่มีเกราะกำบังใดจะคุ้มครองความปลอดภัยได้ดีไปกว่าผนังโบสถ์ที่ทอดยาวตามแนวระเบียงอีกแล้ว และเมื่อผนวกกับความสูงของระเบียง มูซาชิก็จะร่ายดาบได้อย่างคนที่อยู่เหนือมือ แม้พวกของคู่อริที่อาจล้ำเส้นทะลวงฟันเข้ามาทางซ้ายขวาเจ้าหนุ่มก็จะรับมือได้คล่องตัว
ส่วนด้านหลังของเด็นชิจิโรเป็นที่โล่งกว้างที่ลมหิมะยังพัดหวีดหวิวไม่หยุด ถึงจะรู้ว่ามูซาชิไม่มีนักดาบที่เป็นตัวสำรองตามมาด้วย แต่สำหรับนักดาบ ภาวะแวดล้อมเช่นนั้นไม่ใช่ชัยภูมิที่ดีแน่นอน
แต่นับว่ายังโชคดีที่เด็นชิจิโรยังมีเฮียวสุเกะเฝ้าระวังอยู่ข้าง ๆ
“ไป...บอกให้ไป ไม่ได้ยินรึยังไงเฮียวสุเกะ”
เด็นชิจิโรไล่พลางสะบัดแขนเสื้อกิโมโนเหมือนปัดฝุ่น คงไม่คิดที่จะไล่ศิษย์สำนักดาบผู้นี้ไปให้พ้นเสียเลยทีเดียวแต่แค่ต้องการให้เฝ้ามองการประลองยุทธ์ตัวต่อตัวของตนกับคู่อริอยู่ห่าง ๆ มากกว่าจะเก้ ๆ กัง ๆ คอยช่วยให้เสียจังหวะ
“พร้อมหรือยัง”
มูซาชิร้องท้าด้วยเสียงเย็นเยียบราวน้ำแข็ง ไม่ดังแต่ก้องกังวาน
เด็นชิจิโรละสายตาจากที่จ้องจับกันอยู่มามองมูซาชิตั้งแต่หัวจรดเท้า
เจ้านี่เองรึคือมูซาชิ
ความเคียดแค้นชิงชังพลุ่งขึ้นมาจนต้องกัดกรามระงับความพลุ่งพล่านเอาไว้ ทั้งเจ็บแค้นแทนพี่ชายทั้งเจ็บใจที่ถูกพวกชาวบ้านเอาตนผู้เป็นเชื้อสายเจ้าสำนักดาบอันยิ่งใหญ่ ไปเปรียบเทียบกับนักดาบพเนจรไม่มีใครรู้หัวนอนปลายเท้าแต่มาผยองทำตัวเป็นนักดาบเทียบรุ่นกับนักรบซามูไร
“หยุด”
เด็นชิจิโรตวาดด้วยเสียงกราดเกรี้ยวอย่างที่ชอบข่มคนจนเป็นนิสัย
“พร้อมหรือยังงั้นรึ พร้อมอะไร มูซาชิ...เจ้ารู้หรือเปล่าว่ากำลังพูดกับใคร และนี่มันกี่โมงยามแล้ว”
“แต่ข้าไม่ได้ให้สัญญาว่าจะมาถึงเวลาเดียวกับที่พระตีระฆังบอกเวลาเก้านาฬิกาตรง”
“ไม่ต้องมาแถ เจ้ามีดียังไงถึงปล่อยให้ข้ารอนานขนาดนี้ กล้าดีก็ลงมา แล้วจะได้เห็นว่าข้าพร้อมแค่ไหน”
เด็นชิจิโรรีบร้องท้าให้มูซาชิลงมาอยู่บนพื้นในระดับเดียวกันด้วยความไม่ประมาทเพราะยังอ่านคู่ต่อสู้ไม่ออก ดีไม่ดีเจ้านักดาบพเนจรอาจใช้ความได้เปรียบที่อยู่บนที่สูงกว่าเผ่นโผนลงมาโจมตีอย่างฉับพลันก็ได้
“ได้”
มูซาชิตอบสั้น ๆ แววตาที่ดูสงบนิ่งนั้นแท้จริงแล้วกำลังสอดส่ายหาจังหวะการลงดาบที่เฉียบคม
กลยุทธ์การต่อสู้ของคู่อริทั้งสองต่างกันคนละขั้ว เด็นชิจิโรนั้นแม้จะเตรียมตัวแต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมติดอาวุธมาอย่างไม่มีจุดบกพร่องแต่เพิ่งมาเริ่มวางกลยุทธ์เอาก็เมื่อพบหน้าคู่ต่อสู้ แต่มูซาชินั้นเริ่มต่อสู้มาตั้งแต่ก่อนที่จะมาปรากฏตัวให้เด็นชิจิโรเห็นกับตาเล้ว และเข้าสู่สนามประลองด้วยจิตวิญญาณของนักดาบที่กำลังอยู่ระหว่างการต่อสู้
การที่มูซาชิจงใจเลือกใช้เส้นทางลัดที่รกร้างอ้อมจากซุ้มประตูหน้าไปทางหลังวัด ตรงเข้าไปที่เรือนครัวและขอความช่วยเหลือจากพระที่กำลังจะจำวัดให้ช่วยเปิดประตูเข้าไปที่ด้านหลังของโบสถ์ ก็เพื่อจะได้ขึ้นไปปรากฏตัวข่มขวัญคู่ต่อสู้บนระเบียงยาวเหยียดของตัวโบสถ์อย่างสง่างาม โดยไม่ต้องเดินผ่านลานวัด
ปัญญาของเจ้าหนุ่มคงจะเกิดตอนเดินขึ้นบันไดหินที่กิอองและเห็นรอยเท้าที่คนหลายคนทิ้งไว้บนพื้นหิมะ และพอแน่ใจว่าคนที่สะกดรอยตามมาแยกย้ายกันไปแล้วจึงจงใจเดินเข้าซุ้มประตูด้านหน้าของวัดเร็งเงโออินและลัดเลาะไปทางด้านหลัง
มูซาชิชวนพระที่เรือนครัวคุยจนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในบริเวณวัดเมื่อตอนย่ำค่ำ จากนั้นจึงดื่มชาและผิงไฟจนอุ่นสบายทั้งที่รู้ว่าเลยเวลานัดไปแล้ว และออกไปแสดงตัวข่มขวัญคู่ต่อสู้ตามกลยุทธ์ที่วางไว้
และนั่นคือจังหวะแรกของการเดินกลยุทธ์ มูซาชิจับจังหวะที่สองได้ก็ตอนที่เด็นชิจิโรร้องท้ามานี้เอง การรับคำท้าเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การต่อสู้ แต่การปฏิเสธคำท้านั้นและหาจังหวะการต่อสู้ด้วยตนเองก็เป็นอีกยุทธศาสตร์หนึ่ง การแพ้ชนะจะพลิกผันไปเหมือนกับเงาจันทร์ที่สะท้อนอยู่บนผิวน้ำ หากกระโจนลงไปหมายจับให้อยู่มือด้วยเชื่อมั่นในปัญญาและพลังมากเกินไป ก็อาจจมน้ำตายได้
2
“มาช้า แล้วยังเตรียมตัวไม่พร้อมอีก และข้าก็ไม่ชอบให้ใครมายืนค้ำหัว”
มูซาชิยังสงบนิ่งไม่สนใจเด็นชิจิโรที่ทำท่าหงุดหงิดเหลือทน
“ข้าจะลงไปเดี๋ยวนี้แหละ”
เด็นชิจิโรรู้ทั้งรู้ว่าโทสะจะนำมาซึ่งความพ่ายแพ้ในที่สุด แต่พอเห็นท่าทางของมูซาชิก็ไม่อาจหักห้ามอารมณ์ที่พลุ่งพล่านรุนแรงเอาไว้ได้
“ลงมาเดี๋ยวนี้” นักดาบสำนักใหญ่ตวาดลั่น
“ลงมาเจอกันที่ลานวัด จะได้เห็นหน้าค่าตากันชัด ๆ ข้าไม่ต้องการประดาบกับคนขี้ขลาด ที่ได้แต่วางมาดทำเป็นเก่งแต่ที่แท้ก็แค่ไอ้หนุ่มอ่อนหัด ขอบอกให้เจ้าจำใส่กะลาหัวไว้ก่อนเลยว่า ข้าโยชิโอกะ เด็นชิจิโรถ่มน้ำลายรดหน้าไอ้พวกนักดาบขี้ขลาดมาไม่รู้ว่าเท่าไรต่อเท่าไรแล้ว
มูซาชิ...ถ้ายังกลัวตัวสั่นอยู่บนนั้นก็ไม่ต้องลงมา คนขี้ขลาดอย่างเจ้าไม่มีคุณสมบัติที่จะเผยอมาสู้กับข้า”
มูซาชิเผยอยิ้มเห็นฟันขาวเมื่อเด็นชิจิโรพ่นคำผลุสวาทออกมาถึงตรงนี้
“โยชิโอกะ เด็นชิจิโรรึ ข้าจำได้ว่าเคยฟันท่านขาดเป็นสองท่อนมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อฤดูใบไม้ผลิปีก่อน และถ้าฟันท่านอีกในวันนี้ ก็เท่ากับเป็นครั้งที่สองน่ะซี”
“เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่”
“จำเรื่องราวที่หุบเขายากิวในยามาโตะไม่ได้รึ”
“ยามาโตะ ?”
“ใช่ ในอ่างแช่น้ำแร่ในโรงเตี๊ยมชื่อวาตายะ”
“ตอนนั้นรึ ทำไม?”
“ตอนที่แช่อยู่ในอ่างน้ำแร่ทุกคนเปลือยกายกันหมด ข้ามองท่านแล้วคะเนอยู่ในใจว่าเราจะฟันผู้ชายคนนี้ให้ขาดเป็นสองท่อนเลยได้ไหมนะ แล้วข้าก็ฟันท่านด้วยตาและฟันได้จริงดังใจคิดด้วย ท่านคงไม่ตัวว่าพ่ายแพ้เพราะไม่มีรอยดาบปรากฏอยู่บนเนื้อตัว คนอื่นอาจเคารพเชื่อถือเมื่อได้ฟังท่านสาธยายถึงความเก่งกล้าสามารถในวิชาดาบแห่งตน แต่ถ้ามาสาธยายต่อหน้าข้า...มูซาชิคนนี้ ท่านก็จะได้แค่เสียงหัวเราะ”
“โธ่เอ๋ย ข้าตั้งใจฟังเสียดิบดี ที่แท้เจ้ามันก็ไอ้บ้าหน้าโง่ดี ๆ นี่เอง แต่เอาเถอะข้าชักสนุกขึ้นมาแล้ว เดี๋ยวเถอะข้าจะเปิดกะโหลกเจ้าให้หายโง่เสียที ลงมา...ลงมายืนตรงนั้นเลย”
“ท่านเด็นชิจิโร เราจะใช้อะไรสู้กัน ดาบไม้ หรือว่าดาบจริง”
“ถามทำไม ข้าไม่เห็นเจ้าพกดาบไม้มาสักหน่อย ตั้งใจจะใช้ดาบจริงไม่ใช่รึ”
“ถ้าคู่ต่อสู้ต้องการใช้ดาบไม้ ข้าก็จะช่วงชิงดาบของเขาผู้นั้นมาสู้ด้วย”
“เลิกโวได้แล้ว”
“ถ้างั้น”
---เด็นชิจิโรเคลื่อนตัวถอยฉากทำให้เกิดเป็นรอยดำรัศมีกว้างบนพื้นหิมะสร้างพื้นที่ให้มูซาชิก้าวลงมาเผชิญหน้า
แต่มูซาชิกลับก้าวเดินไปทางแนวด้านข้างของระเบียงอีกหลายก้าวก่อนที่จะกระโดดตัวเบาหวิวลงมาบนพื้นหิมะ
ทั้งสองชักดาบออกจากฝักตั้งท่าจดจ้องกันพร้อมกับเคลื่อนตัวห่างออกมาจากระเบียงโบสถ์ ระหว่างนั้น เด็นชิจิโรทำท่ากระเหี้ยนกระหือรืออยากจะโถมถาเข้าเผด็จศึกยังดีที่มีสติพอที่จะระบายอารมณ์รุนแรงที่พลุ่งขึ้นมาด้วยการแผดเสียงตวาดเอ็ดอึง แต่สุดท้ายก็ระงับใจไว้ไม่อยู่อาจารย์น้องแห่งสำนักดาบโยชิโอกะตกเป็นทาสอารมณ์ เงื้อดาบยาวคู่ใจขึ้นแกว่งไกวแหวกอากาศเสียงดังเฟี้ยวฟ้าวแล้วฟาดฟันลงไปที่มูซาชิ
ทว่า จังหวะเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ว่องไวกว่าความเร็วของดาบมากนัก ไม่ใช่สิ...คบดาบขาววับที่ตวัดขึ้นมาจากใต้สีข้างของคู่ต่อสู้ต่างหากที่ไวกว่า
3
ดาบทั้งคู่กระทบกันกลางอากาศเกิดประกายโลหะแวบวาบ ก่อนที่คู่ต่อสู้ทั้งสองจะลดดาบลงเป็นจังหวะเหมือนขั้นบันไดดนตรี ช้า เร็วขึ้นและเร็วขึ้น ก่อนที่จะตวัดขึ้นประคมดาบกันอีกครั้ง คราใดที่ลมหิมะโหมเข้ามาดาบก็จะประกันแรงเร็ว แต่พอลมหมุนหอบหิมะขึ้นไปกระจายฟูลงมาดาบก็จะลดความเร็วลง และลดลงมาช้า ๆ ราวการเคลื่อนไหวของขนขาวของนางหงส์ที่ร่อนลงสู่พื้นหิมะ
“... ... ...”
“... ... ...”
ในวินาทีที่ดาบของมูซาชิและของเด็นชิจิโรกระทบกันด้วยกำลังแรง ประกายไฟวิบวับและเสียงของโลหะทำให้คิดว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดต้องไม่รอดแน่ แต่เมื่อละอองหิมะที่ฟุ้งกระจายขึ้นจากความเคลื่อนไหวของสองนักดาบจางลงก็เห็นทั้งสองยังถือดาบตั้งท่าจับจ้องกันดังเดิมทุกครั้งไป และช่างน่าอัศจรรย์นักที่บนพื้นหิมะไม่มีเลือดแม้แต่หยดเดียว
“... ... ...”
“... ... ...”
การประดาบอย่างมีชั้นเชิงผ่านไปหลายนาที จนถึงจุดหนึ่งที่คู่ต่อสู้หยุดจ้องตากันนิ่งขณะประสานปลายดาบกันอยู่กลางอากาศ
หิมะที่ตกลงมาค้างอยู่บนคิ้วของเด็นชิจิโรกลายเป็นหยดน้ำตกลงมาเปียกขนตา เจ้าตัวพยายามไล่หยดน้ำด้วยการนิ่วหน้าจนกล้ามเนื้อเป็นปุ่มโปนไปทั่ว และเบิกตาโพลงแดงเรื่อราวกับเตาหลอมเหล็ก พร้อมกับหายใจแรง ๆ ที่กลุ่นไอร้อนจากภายใน
ถ้าจะไม่ได้การ
ทุกครั้งที่ประดาบกับคู่ต่อสู้โดยไม่รู้แพ้รู้ชนะกันสักทีเช่นนี้ เด็นชิจิโรมักจะไม่พอใจกับกลยุทธ์ของตนเช่นนี้เสมอ
ทำไมวันนี้เราถึงได้จับดาบระดับตา ไม่เงื้อขึ้นแกว่งไกวเหนือหัวอย่างทุกครั้ง
และพอคิดขึ้นมาครั้งหนึ่งแล้วความไม่พอใจนั้นก็จะวนเวียนไปมาอยู่ในหัว แต่สถานการณ์บังคับให้เด็นชิจิโรต้องก้าวต่อไปจะมาใส่ใจอยู่กับเรื่องนี้อยู่ไม่ได้ เลือดนักสู้ฉีดแรงราวกับจะส่งเสียงคึ่ก ๆ ไปทั่วตัว ทั่วทุกขุมขนไม่ว่าจะเป็นเส้นผม คิ้ว ขนตา หรือขนตามลำตัว พร้อมพุ่งเข้าใส่ศัตรูด้วยพลังพิฆาตอันรุนแรง
เด็นชิจิโรรู้ดีว่าการต่อสู้ด้วยท่าจับดาบระดับตาเป็นท่าที่ตนไม่ถนัด จึงพยายามตั้งข้อศอกขึ้นเพื่อปรับแนวดาบให้ตรงอีกครั้ง และยกปลายดาบขึ้นแต่ทำกี่ครั้งแล้วก็ไม่สำเร็จขณะที่...
ดวงตาคมกริบของมูซาชิจ้องจับคอยจังหวะเหมาะ
มูซาชิจับดาบระดับตาเช่นกันแต่ผ่อนกำลังที่ข้อศอกลงไม่ให้เกร็ง ดูแล้วน่าจะลดลงหรือเคลื่อนไหวด้านข้างได้คล่องตัว ผิดกับข้อศอกของเด็นชิจิโรที่ดูมีพลังก็จริงแต่ตึงแข็งไปหมด อีกทั้งดาบของเด็นชิจิโรนั้นไม่นิ่งเดี๋ยวหยุดเดียวไหวอยู่ตลอดในขณะที่ดาบของมูซาชินิ่งสนิท จนเกล็ดหิมะโปรยลงมาซ้อนทับอยู่บนสันดาบเรื่อยลงมาจนถึงโคนด้าม
4
มูซาชิตั้งสตินับการหายใจเข้าหายใจออกของคู่ต่อสู้ระหว่างที่ตาคมเฉียบราวนกเหยี่ยวจ้องจับคอยจังหวะที่อีกฝ่ายจะเปิดช่องว่าง ข้าจะเอาชนะให้ได้ ข้าจะต้องชนะ และที่นี้คือจุดพลิกผันของความเป็นและความตาย
ขณะคิดถึงความเป็นความตายและมองไปยังเด็นชิจิโรที่ประสานดาบกันอยู่นั้นเอง มูซาชิก็ต้องอุทานอยู่ในใจ
เพราะร่างของเด็นชิจิโรที่เห็นแวบหนึ่งนั้นดูสูงทะมึนแข็งแกร่งราวกับหินผา
และนั่นเป็นครั้งแรกที่เจ้าหนุ่มนักดาบรู้สึกถึงพลังของคู่ต่อสู้และนึกไปถึงฮาจิมันเทพแห่งการสู้รบ
ฝีมือดาบของศัตรูเหนือกว่าข้ามาก
มูซาชิยอมรับตามตรง และนี่เป็นอีกครั้งที่เจ้าหนุ่มต้องยอมรับความอ่อนด้อยของตนเช่นเดียวกับเมื่อครั้งที่อยู่ในวงล้อมของสี่ศิษย์เอกของสำนักดาบยากิวที่ปราสาทโคยากิวในครั้งนั้น เมื่อได้เผชิญหน้ากับนักดาบที่มีแบบแผนอย่างสำนักยากิวและครั้งนี้คือสำนักโยชิโอกะ มูซาชิจะรู้ตัวดีว่าวิถีดาบของตนเป็นวิถีที่นักดาบพเนจรคิดขึ้นเองตามประสาคนเถื่อนที่ฝึกวิชาดาบอยู่กับธรรมชาติตามป่าเขา ไร้รูปแบบไร้หลักการอย่างสิ้นเชิง
เมื่อได้พิจารณาท่าจับดาบของเด็นชิจิโรในวันนี้ มูซาชิมองเห็นทั้งความเรียบง่ายและความซับซ้อน ความเป็นอิสระและความเข้มงวด ผสมผสานกันอย่างลงตัวในวิถีดาบที่โยชิโอกะ เค็มโปได้สร้างสรรค์และใช้เวลาทั้งชีวิตในการขัดเกลาและทำนุบำรุงให้ก้าวหน้ามาจนทุกวันนี้ เจ้าหนุ่มนักดาบตระหนักรู้ ณ บัดนี้ว่า เพียงพลังกายและพลังจิตนั้นไม่เพียงพอที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ผู้นี้ได้แน่นอน
สำนึกที่ว่าตนยังเป็นนักดาบที่อ่อนหัด ฝีมือครึ่ง ๆ กลาง ๆ ทำให้มูซาชิต้องระวังตัวยิ่งขึ้น และย้ำเตือนตัวเองว่าจะมุทะลุด้วยอารมณ์เถื่อนไม่ได้เป็นอันขาด ไม่กล้าแม้แต่จะคิดแสดงเชิงดาบที่ตนสร้างขึ้นเองและแอบภูมิใจอยู่ เงียบ ๆ ด้วย ยิ่งคิดตัวก็ยิ่งเกร็งแข็งจนน่าตกใจเพราะแม้จะอยากขยับข้อศอกสักนิดก็ยังไม่ได้ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้คือพยายามหายใจให้เป็นจังหวะปกติ และรักษาท่วงท่าที่กำลังประสานดาบกับคู่ต่อสู้ให้นิ่งเอาไว้
มูซาชิตั้งใจมั่นว่า ข้าต้องเอาชนะให้ได้
ตาจับจ้องหาช่องว่างที่ร่างคู่ต่อสู้จนแดงเรื่อ
ภาวนาขอพรจากเทพฮาจิมันอยู่ในใจไม่หยุดยั้ง
จนไม่กี่อึดใจต่อมาเลือดนักสู้ก็ฉีดแรงอีกครั้ง ใจเต้นตื่นระทึก
หากเป็นคนทั่วไปยามที่จิตตกเช่นเดียวกับมูซาชิเมื่อไม่กี่อึดใจก่อนหน้านี้ ส่วนใหญ่ก็มักจะฟื้นตัวได้ยากหรือไม่ก็ตกจมลงไปในห้วงลึกแห่งความสับสนจนไม่อาจกู้กลับขึ้นมาได้ แต่การที่มูซาชิสามารถลุกขึ้นมาปัดเป่าความคิดที่บั่นทอนจิตใจออกไปเหมือนปัดเกล็ดหิมะออกจากชายเสื้อกิโมโน และสู้ต่อด้วยพลังกายพลังใจที่มั่นคงดังเดิมได้นั้น น่าจะเป็นผลจากประสบการณ์เฉียดตายที่เจ้าหนุ่มพานพบมาบ่อยครั้ง
ณ วินาทีนี้ มูซาชิตาสว่าง จิตใจปลอดโปร่งแจ่มใจพร้อมประดาบอีกครั้ง