นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ทว่าอากาศหนาวอย่างค่ำคืนนี้ทำให้ศิษย์สำนักดาบที่ร่วมขบวนมาด้วยกันส่วนใหญ่คิดว่า บางทีเหล้าสาเกสักอึกสองอึกอาจดีกว่าปล่อยให้มือไม้แข้งขาแข็งเป็นน้ำแข็ง แต่พวกผู้ใหญ่บางคนก็ยังติงว่าอย่าปล่อยตัวให้ดื่มเพลิดเพลินไปมันจะไม่ดีแล้วก็บ่นอุบอิบ
ศิษย์วัยหนุ่มคะนองสองสามคนพอตั้งท่าแล้วก็ยั้งไม่อยู่ พากันวิ่งไปซื้อเหล้าสาเกหลับมาให้อาจารย์น้องโดยเร็ว
“อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่ารู้ใจกัน ไม่มีอะไรจะเป็นพลังหนุนหลังให้ข้าแข็งแกร่งเท่าเจ้าสาเกในกระปุกนี้อีกแล้ว”
เด็นชิจิโรยกชามข้ามที่ใช้แทนจอกเหล้าซดสาเกที่อุ่นกับกองไฟจนได้ที่รวดเดียวเกลี้ยง แล้วผ่อนลมหายใจออกมาด้วยท่าทีของนักรบที่พร้อมออกศึกเต็มที่
บรรดาศิษย์สำนักดาบที่รู้เช่นเห็นชาติกันอยู่ ต่างก็ใจไม่ดีเกรงว่าเด็นชิจิโรจะติดลมบนถึงขนาดดื่มไม่ยั้ง
แต่ไม่ต้องห่วงเพราะเด็นชิจิโรยังมีสติดีพอที่จะควบคุมตนเองให้ดื่มแต่เพียงเล็กน้อยพอย้อมใจให้หาญกล้า เพื่อเตรียมรับเรื่องคอขาดบาดตายตรงหน้า แม้จะฝืนใจยืดอกอวดเก่งทำเป็นว่าเรื่องเล็กเมื่ออยู่ต่อหน้าหมู่ญาติ ทั้งที่จริงแล้วตนเองเป็นคนที่เครียดกว่าใคร ๆ ทั้งหมดในที่นั้น
“เฮ้ย มูซาชิ”
อยู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็อุทานขึ้น
“อะไรนะ มาแล้วรึ”
ศิษย์สำนักดาบที่นั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟผลุดลุกขึ้นพร้อมกันทันที ชายกิโมโนสะบัดลูกไฟกระจายว่อนคละกับเกล็ดหิมะที่ยังโปรยปราย
เงาดำที่มองเห็นไกล ๆ อยู่ตรงมุมระเบียงยาวราวระเบียงโบสถ์ซันจูซันโดยกมือขึ้นห้ามพลางเดินเข้ามาใกล้
“ข้าเอง ข้าเอง”
ชายคนหนึ่งท่าทางเป็นนักรบแต่งกายรัดกุมเดินอาด ๆ เข้ามาแม้หลังที่งองุ้มทำให้เห็นชัดว่าเป็นผู้สูงวัย และพอเข้ามาใกล้ศิษย์สำนักโยชิโอกะก็โล่งใจ หันมาบอกกันว่าท่านนั่นเอง
เก็นซาเอมอน ผู้เฒ่าแห่งมิบุคือน้องชายแท้ ๆ ของโยชิโอกะ เค็มโปเจ้าสำนักคนก่อน คือเป็นอาของเซจูโรและเด็นชิจิโรนั่นเอง
“ท่านอามาทำอะไรที่นี่”
เด็นชิจิโรถามด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าผู้เป็นอาจะมาที่นี่ในค่ำคืนนี้ พ่อเฒ่าเก็นซาเอมอนเดินเข้ามาข้างกองไฟแล้วถามขึ้นว่า
“เด็นชิจิโร เจ้าเอาจริงแน่นะ ดีนะที่มาทันเห็นเจ้าที่นี่ โล่งใจไปที”
“ข้าก็ตั้งใจจะไปปรึกษาท่านอาอยู่เหมือนกัน”
“ปรึกษาอะไร ไม่มีอะไรต้องปรึกษา ข้าตั้งใจอยู่แล้วว่า ถ้าเจ้าเฉยอยู่ทนดูพี่ชายถูกฟันจนแขนพิกลพิการ โดยไม่กู้หน้าสำนักโยชิโอกะให้สิ้นอาจ ข้านี่แหละจะไปล้างแค้นศัตรูผู้บังอาจคนนั้นด้วยตัวเอง”
“ท่านอาไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช่คนใจอ่อนไหวอย่างพี่ชาย นอนใจได้ขอรับ”
“อาเชื่อฝีมือหลานอยู่แล้วและคิดว่าหลานจะต้องเอาชนะได้แน่นอน ที่อุตส่าห์มาจากมิบุก็เพราะอยากมาพูดให้กำลังใจสักคำสองคำ แต่เด็นชิจิโร หลานอย่าประมาทคู่ต่อสู้คนนี้เป็นอันขาดเลยทีเดียว อาได้ยินเขาลือกันว่าชายชื่อมูซาชิคนนี้ฝีมือดาบไม่ใช่ธรรมดา”
“ข้ารู้และระวังตัวอยู่แล้ว ท่านอา”
“อย่าผลีผลามร้อนรนหวังจะเอาชนะให้ได้อย่างเดียว ปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม สู้ให้ถึงที่สุดนะหลานหากเพลี่ยงพล้ำอาจะเป็นคนเก็บกระดูกให้เอง”
“ฮะ ฮะ ฮะ”
เด็นชิจิโรหัวเราะและยื่นชามใส่เหล้าสาเกให้อา
“ท่านอา แก้หนาวกันหน่อย”
เก็นซาเอมอนรับมาดื่มจนหมดแล้วหันไปทางกลุ่มศิษย์สำนักดาบ
“พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่ คงไม่ใช่คอยทำหน้าที่เป็นดาบสองหรอกใช่ไหม ถ้าไม่ใช่ก็พากันกลับไปเสีย ในเมื่อเป็นการประดาบกันตัวต่อตัว หากพวกเรามารวมกลุ่มกันอยู่อย่างนี้กลับจะทำให้เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถ้าชนะชาวบ้านก็จะหาว่าเรารุมเขา นี่ก็จวนได้เวลาแล้ว ถอยออกไปไกล ๆ กับข้าดีกว่า”
2
เด็นชิจิโรคิดว่าได้ยินเสียงระฆังบอกเวลาแปดนาฬิกามานานพอที่ตอนนี้น่าจะใกล้เก้านาฬิกาที่เป็นเวลานัดเข้ามาทุกทีแล้ว
มูซาชิไม่น่าช้า
นักดาบรุ่นครูที่บรรดาศิษย์เรียกกันว่าอาจารย์น้องนั่งคิดอยู่คนเดียวที่ข้างกองไฟซึ่งยังคุกรุ่นอยู่ พลางมองไปรอบ ๆ ในความมืดที่ขาวโพลน
เหล่าศิษย์สำนักดาบพากันถอนร่นไปตามคำเตือนของเก็นซาเอมอน ทิ้งไว้แต่รอยเท้าที่ย่ำเหยียบอยู่บนพื้นหิมะ นาน ๆ ก็มีเสียงประหลาดเหมือนอะไรหักดังเปาะให้ตกใจ แต่พอมองไปที่ตัวโบสถ์จึงพบว่าที่แท้ก็เป็นเสียงแท่งน้ำแข็งแหลมที่ย้อยจากชายคาตกลงมาหักบนระเบียงยาว บางครั้งก็มีเสียงกิ่งไม้หักเพราะทานแรงทับถมของหิมะไม่ไหว ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงจากทางไหน ดวงตาทั้งคู่ของเด็นชิจิโรก็จะไหวแวบไปทางนั้นทันทีราวกับเหยี่ยวที่คอยจ้องหาเหยื่อ
เงาชายคนหนึ่งไหวแวบไม่ผิดอะไรกับการเคลื่อนไหวของเหยี่ยวราตรี วิ่งสุดฝีเท้าตะลุยหิมะหลบหลีกต้นไม้ตรงเข้ามาที่เด็นชิจิโร
โอตากุโระ เฮียวสุเกะ ผู้สื่อข่าวคนสุดท้ายที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูความเคลื่อนไหวของมูซาชินั่นเอง
“มูซาชิมาแล้ว อาจารย์น้อง”
เด็นชิจิโรลุกขึ้นยืนจังก้าเตรียมพร้อมอยู่ข้างกองไฟก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะมาถึงเสียอีก
“มาแล้วรึ”
อาจารย์น้องทวนคำแล้วเหยียบลงไปบนกองไฟให้ดับมอด
“ข้าเห็นเจ้ามูซาชิออกมาจากร้านน้ำชาที่รคคุโจ เดินช้า ๆ ฝ่าหิมะมาราวกับวัวเทียมเกวียน และเมื่อกี้นี้เองข้าเห็นปีนกำแพงศาลเจ้ากิองข้ามเข้ามาในเขตวัดนี้แล้ว ข้าวิ่งอ้อมมารายงานท่าน แต่ถึงจะเดินช้าขนาดนั้นเดี๋ยวก็คงเห็นตัวกันแล้ว ท่านเตรียมตัวให้พร้อมเถิด”
“ข้าพร้อม...เฮียวสุเกะเจ้าหลบไปทางโน้นได้แล้ว”
“แล้วคนอื่นล่ะ ไปไหนกันหมด”
“ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าก็ไปเสียเถอะ อยู่ตรงนี้เกะกะลูกตา”
“อ้า...ขอรับ”
เฮียวสุเกะรับคำแต่ก็ทำใจให้ทิ้งเด็นชิจิโรเอาไว้คนเดียวไม่ได้ง่าย ๆ ดังนั้นพอเห็นอาจารย์น้องของตนดับไฟจนมอดลงไปกับพื้นหิมะและก้าวเดินอย่างหึกเหิมออกจากชายคาไปยังลานกว้างแล้ว จึงมุดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในความมืดใต้ถุนโบสถ์
ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาเยียนเยียบแทบจะถึงกระดูกทำเอาเฮียวสุเกะต้องนั่งกอดเข่าตัวกลม ฟันกระทบกันกึก ๆ ความหนาวเย็นแล่นขึ้นมาตามแนวสันหลังจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ศิษย์สำนักดาบได้แต่หลอกตัวเองว่านั่นเป็นเพราะฤทธิ์ลมหนาวไม่ใช่ความกลัวจนนิด
จากตรงนั้นเฮียวสุเกะเห็นได้ชัดว่าเด็นชิจิโรเดินห่างออกจากชายคาโบสถ์ราวหนึ่งร้อยก้าว ไปยืนเหยียบราก สนต้นใหญ่ที่ทอดเหนือพื้นดินขึ้นมาตั้งท่าขันแข็งเตรียมพร้อมรับมือมูซาชิเต็มที่
เฮียวสุเกะคำนวณเวลาดูน่าจะเลยเวลานัดไปแล้วแม้จะยังไม่ดึกแต่มูซาชิก็ยังไม่มา
เหล้าสาเกที่ดื่มย้อมใจกับอาจารย์น้องส่างไปนานแล้ว หิมะยังโปรยปรายและลมก็ยังพัดผ่านเข้ามาใต้ถุนโบสถ์ไม่หยุดหย่อน ศิษย์สำนักดาบตัวสั่นเทาด้วยความหนาวแต่ตาก็ยังจับจ้องไปที่อาจารย์น้อย รู้สึกได้ว่ากำลังกระสับกระส่ายยิ่งนัก
ซัด ซ่า...หิมะที่ค้างบนกิ่งสนร่วงพรูลงมาราวน้ำตก
3
สำหรับคนคอยแม้เพียงอึดใจก็แสนนานจนแทบจะสุดทน
แน่นอนว่าไม่ยกเว้นทั้งเด็นชิจิโรและเฮียวสุเกะ โดยเฉพาะคนที่ซุ่มเฝ้าดูอยู่ใต้ถุนโบสถ์นั้นทั้งเหน็บหนาวทั้งสำนึกในความรับผิดชอบที่ตนเป็นคนมารายงานว่าคนที่อาจารย์น้องรออยู่กำลังมาแต่ก็ไม่มาสักที
สุดท้ายเฮียวสุเกะก็อดรนทนไม่ได้ต้องโผล่ออกมาจากที่ซ่อนแล้วร้องถามไปว่า
“อาจารย์น้อง ทำไมยังไม่มาก็ไม่รู้นะขอรับ”
“อ้าว เฮียวสุเกะ เจ้ายังอยู่รึ”
เด็นชิจิโรร้องถามกลับไป ทั้งสองเข้ามาใกล้กันโดยไม่รู้ว่าใครเดินเข้ามาหาใครแล้วมองไปรอบ ๆ บริเวณที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน บอกกันและกันว่า ยังไม่เห็นหัวเลย
“หรือว่าจะหนีไปแล้ว”
เด็นชิจิโรพึมพำกับตัวเอง
“เป็นไปไม่ได้”
เฮียวสุเกะแย้งมันทีด้วยความมั่นใจเพราะเห็นมากับตาว่ามูซาชิกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างที่บอก
“เอ๊ะ”
เด็นชิจิโรอุทานเมื่อเห็นแสงไฟวอมแวมไหววูบอยู่หลังโบสถ์ตรงที่เป็นเรือนครัว และเมื่อเขม้นมองไปก็เห็นพระรูปหนึ่งถือตะเกียงเดินเข้ามาพร้อมกับใครคนหนึ่งที่เห็นเป็นเงา ๆ อยู่ข้างหลัง เงาคนทั้งสองและตะเกียงดวงน้อยเปิดประตูที่กั้นระหว่างเรือนครัวกับตัวโบสถ์ แล้วก้าวขึ้นไปหยุดยืนซุบซิบอะไรกันอยู่ปลายสุดของระเบียงยาว
“ปกติตอนกลางคืนวัดเราจะปิดประตูกันเรียบร้อย แต่เมื่อตอนพลบค่ำได้ยินว่ามีนักดาบสองสามคนมาก่อกองไฟที่ลานวัดแล้วผิงไฟกันอยู่ อาจเป็นพวกที่ท่านถามหาก็ได้ แต่ตอนนี้ไปกันหมดแล้ว”
หลวงพี่บอก คนที่เดินตามมาค้อมศีรษะอย่างสุภาพพร้อมกับบอกว่า
“ข้าต้องขอโทษหลวงพี่ที่มารบกวนยามค่ำคืนทั้งที่เป็นเวลาจำวัด ข้าเห็นใครสองคนยืนอยู่ใต้ต้นสน อาจเป็นคนที่นัดให้ข้ามาที่วัดเร็งเงโออินก็ได้”
“งั้นก็ไปถามดูดีไหม”
“ขอรับ ขอบคุณหลวงพี่มากที่อุตส่าห์พามาถึงนี่ เชิญกลับไปจำวัดเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง”
“นัดกันมาชมหิมะหรือยังไง”
“คล้าย ๆ อย่างนั้นแหละขอรับ”
ชายในเงามืดหัวเราะเบา ๆ หลวงพี่ดับตะเกียงในมือแล้วบอกว่า
“อาตมาคิดว่าท่านน่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ก็ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้าจะก่อกองไฟใกล้กับชายคาโบสถ์ ก็ขอให้ระวังกันหน่อยอย่าให้ไฟไหม้โบสถ์ และก่อนแยกย้ายกันกลับไก็ช่วยดับไฟให้เรียบร้อยด้วย”
“หลวงพี่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะระวังให้ดี”
“งั้นอาตมาขอตัว”
ว่าแล้วหลวงพี่ก็ลงบันไดไปปิดประตูให้หลังแล้วเดินกลับไปทางเรือนครัว
ชายที่เหลืออยู่คนเดียวในมุมมืดบนระเบียงยืนจ้องมองมาที่เด็นชิจิโร แสงสะท้อนจากหิมะขาวโพลนแยงตาให้คนที่ยืนอยู่ด้านนอกมองเห็นไม่ถนัดแม้จะพยายามเขม้นมอง
“เฮียวสุเกะ นั่นใครกัน”
“ข้าไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นเดินมาจากทางเรือนครัว”
“ข้าว่า ไม่น่าใช่คนที่วัดนะ”
“นั่นน่ะซี”
ทั้งอาจารย์และศิษย์สำนักดาบขมวดคิ้วพลางเดินเข้าไปใกล้ระเบียงยาวราวยี่สิบก้าว
ทันใดนั้นเอง เงาดำที่สุดระเบียงยาวก็เคลื่อนตัวอย่างฉับพลันมาหยุดกึกอยู่ที่กึ่งกลางระเบียง ตวัดเชือกหนังในมือพันรั้งชายแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นผูกไว้แน่นแขม็งด้วยท่วงท่าเตรียมพร้อม อาจารย์กับศิษย์ที่ก้าวเข้ามาใกล้ระเบียงพอเห็นเข้า ต่างก็หยุดชะงักพร้อมกันราวกับถูกตรึงไว้บนพื้นหิมะอันเยียบเย็น
เด็นชิจิโรนิ่งไปสองสามอึดใจก่อนตะโกนออกไปว่า
“มูซาชิ”
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
ทว่าอากาศหนาวอย่างค่ำคืนนี้ทำให้ศิษย์สำนักดาบที่ร่วมขบวนมาด้วยกันส่วนใหญ่คิดว่า บางทีเหล้าสาเกสักอึกสองอึกอาจดีกว่าปล่อยให้มือไม้แข้งขาแข็งเป็นน้ำแข็ง แต่พวกผู้ใหญ่บางคนก็ยังติงว่าอย่าปล่อยตัวให้ดื่มเพลิดเพลินไปมันจะไม่ดีแล้วก็บ่นอุบอิบ
ศิษย์วัยหนุ่มคะนองสองสามคนพอตั้งท่าแล้วก็ยั้งไม่อยู่ พากันวิ่งไปซื้อเหล้าสาเกหลับมาให้อาจารย์น้องโดยเร็ว
“อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่ารู้ใจกัน ไม่มีอะไรจะเป็นพลังหนุนหลังให้ข้าแข็งแกร่งเท่าเจ้าสาเกในกระปุกนี้อีกแล้ว”
เด็นชิจิโรยกชามข้ามที่ใช้แทนจอกเหล้าซดสาเกที่อุ่นกับกองไฟจนได้ที่รวดเดียวเกลี้ยง แล้วผ่อนลมหายใจออกมาด้วยท่าทีของนักรบที่พร้อมออกศึกเต็มที่
บรรดาศิษย์สำนักดาบที่รู้เช่นเห็นชาติกันอยู่ ต่างก็ใจไม่ดีเกรงว่าเด็นชิจิโรจะติดลมบนถึงขนาดดื่มไม่ยั้ง
แต่ไม่ต้องห่วงเพราะเด็นชิจิโรยังมีสติดีพอที่จะควบคุมตนเองให้ดื่มแต่เพียงเล็กน้อยพอย้อมใจให้หาญกล้า เพื่อเตรียมรับเรื่องคอขาดบาดตายตรงหน้า แม้จะฝืนใจยืดอกอวดเก่งทำเป็นว่าเรื่องเล็กเมื่ออยู่ต่อหน้าหมู่ญาติ ทั้งที่จริงแล้วตนเองเป็นคนที่เครียดกว่าใคร ๆ ทั้งหมดในที่นั้น
“เฮ้ย มูซาชิ”
อยู่ ๆ ใครคนหนึ่งก็อุทานขึ้น
“อะไรนะ มาแล้วรึ”
ศิษย์สำนักดาบที่นั่งล้อมวงอยู่รอบกองไฟผลุดลุกขึ้นพร้อมกันทันที ชายกิโมโนสะบัดลูกไฟกระจายว่อนคละกับเกล็ดหิมะที่ยังโปรยปราย
เงาดำที่มองเห็นไกล ๆ อยู่ตรงมุมระเบียงยาวราวระเบียงโบสถ์ซันจูซันโดยกมือขึ้นห้ามพลางเดินเข้ามาใกล้
“ข้าเอง ข้าเอง”
ชายคนหนึ่งท่าทางเป็นนักรบแต่งกายรัดกุมเดินอาด ๆ เข้ามาแม้หลังที่งองุ้มทำให้เห็นชัดว่าเป็นผู้สูงวัย และพอเข้ามาใกล้ศิษย์สำนักโยชิโอกะก็โล่งใจ หันมาบอกกันว่าท่านนั่นเอง
เก็นซาเอมอน ผู้เฒ่าแห่งมิบุคือน้องชายแท้ ๆ ของโยชิโอกะ เค็มโปเจ้าสำนักคนก่อน คือเป็นอาของเซจูโรและเด็นชิจิโรนั่นเอง
“ท่านอามาทำอะไรที่นี่”
เด็นชิจิโรถามด้วยความประหลาดใจเพราะไม่คิดว่าผู้เป็นอาจะมาที่นี่ในค่ำคืนนี้ พ่อเฒ่าเก็นซาเอมอนเดินเข้ามาข้างกองไฟแล้วถามขึ้นว่า
“เด็นชิจิโร เจ้าเอาจริงแน่นะ ดีนะที่มาทันเห็นเจ้าที่นี่ โล่งใจไปที”
“ข้าก็ตั้งใจจะไปปรึกษาท่านอาอยู่เหมือนกัน”
“ปรึกษาอะไร ไม่มีอะไรต้องปรึกษา ข้าตั้งใจอยู่แล้วว่า ถ้าเจ้าเฉยอยู่ทนดูพี่ชายถูกฟันจนแขนพิกลพิการ โดยไม่กู้หน้าสำนักโยชิโอกะให้สิ้นอาจ ข้านี่แหละจะไปล้างแค้นศัตรูผู้บังอาจคนนั้นด้วยตัวเอง”
“ท่านอาไม่ต้องกังวล ข้าไม่ใช่คนใจอ่อนไหวอย่างพี่ชาย นอนใจได้ขอรับ”
“อาเชื่อฝีมือหลานอยู่แล้วและคิดว่าหลานจะต้องเอาชนะได้แน่นอน ที่อุตส่าห์มาจากมิบุก็เพราะอยากมาพูดให้กำลังใจสักคำสองคำ แต่เด็นชิจิโร หลานอย่าประมาทคู่ต่อสู้คนนี้เป็นอันขาดเลยทีเดียว อาได้ยินเขาลือกันว่าชายชื่อมูซาชิคนนี้ฝีมือดาบไม่ใช่ธรรมดา”
“ข้ารู้และระวังตัวอยู่แล้ว ท่านอา”
“อย่าผลีผลามร้อนรนหวังจะเอาชนะให้ได้อย่างเดียว ปล่อยให้เป็นไปตามชะตากรรม สู้ให้ถึงที่สุดนะหลานหากเพลี่ยงพล้ำอาจะเป็นคนเก็บกระดูกให้เอง”
“ฮะ ฮะ ฮะ”
เด็นชิจิโรหัวเราะและยื่นชามใส่เหล้าสาเกให้อา
“ท่านอา แก้หนาวกันหน่อย”
เก็นซาเอมอนรับมาดื่มจนหมดแล้วหันไปทางกลุ่มศิษย์สำนักดาบ
“พวกเจ้ามาทำอะไรกันที่นี่ คงไม่ใช่คอยทำหน้าที่เป็นดาบสองหรอกใช่ไหม ถ้าไม่ใช่ก็พากันกลับไปเสีย ในเมื่อเป็นการประดาบกันตัวต่อตัว หากพวกเรามารวมกลุ่มกันอยู่อย่างนี้กลับจะทำให้เราเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ถ้าชนะชาวบ้านก็จะหาว่าเรารุมเขา นี่ก็จวนได้เวลาแล้ว ถอยออกไปไกล ๆ กับข้าดีกว่า”
2
เด็นชิจิโรคิดว่าได้ยินเสียงระฆังบอกเวลาแปดนาฬิกามานานพอที่ตอนนี้น่าจะใกล้เก้านาฬิกาที่เป็นเวลานัดเข้ามาทุกทีแล้ว
มูซาชิไม่น่าช้า
นักดาบรุ่นครูที่บรรดาศิษย์เรียกกันว่าอาจารย์น้องนั่งคิดอยู่คนเดียวที่ข้างกองไฟซึ่งยังคุกรุ่นอยู่ พลางมองไปรอบ ๆ ในความมืดที่ขาวโพลน
เหล่าศิษย์สำนักดาบพากันถอนร่นไปตามคำเตือนของเก็นซาเอมอน ทิ้งไว้แต่รอยเท้าที่ย่ำเหยียบอยู่บนพื้นหิมะ นาน ๆ ก็มีเสียงประหลาดเหมือนอะไรหักดังเปาะให้ตกใจ แต่พอมองไปที่ตัวโบสถ์จึงพบว่าที่แท้ก็เป็นเสียงแท่งน้ำแข็งแหลมที่ย้อยจากชายคาตกลงมาหักบนระเบียงยาว บางครั้งก็มีเสียงกิ่งไม้หักเพราะทานแรงทับถมของหิมะไม่ไหว ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงจากทางไหน ดวงตาทั้งคู่ของเด็นชิจิโรก็จะไหวแวบไปทางนั้นทันทีราวกับเหยี่ยวที่คอยจ้องหาเหยื่อ
เงาชายคนหนึ่งไหวแวบไม่ผิดอะไรกับการเคลื่อนไหวของเหยี่ยวราตรี วิ่งสุดฝีเท้าตะลุยหิมะหลบหลีกต้นไม้ตรงเข้ามาที่เด็นชิจิโร
โอตากุโระ เฮียวสุเกะ ผู้สื่อข่าวคนสุดท้ายที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูความเคลื่อนไหวของมูซาชินั่นเอง
“มูซาชิมาแล้ว อาจารย์น้อง”
เด็นชิจิโรลุกขึ้นยืนจังก้าเตรียมพร้อมอยู่ข้างกองไฟก่อนที่ผู้สื่อข่าวจะมาถึงเสียอีก
“มาแล้วรึ”
อาจารย์น้องทวนคำแล้วเหยียบลงไปบนกองไฟให้ดับมอด
“ข้าเห็นเจ้ามูซาชิออกมาจากร้านน้ำชาที่รคคุโจ เดินช้า ๆ ฝ่าหิมะมาราวกับวัวเทียมเกวียน และเมื่อกี้นี้เองข้าเห็นปีนกำแพงศาลเจ้ากิองข้ามเข้ามาในเขตวัดนี้แล้ว ข้าวิ่งอ้อมมารายงานท่าน แต่ถึงจะเดินช้าขนาดนั้นเดี๋ยวก็คงเห็นตัวกันแล้ว ท่านเตรียมตัวให้พร้อมเถิด”
“ข้าพร้อม...เฮียวสุเกะเจ้าหลบไปทางโน้นได้แล้ว”
“แล้วคนอื่นล่ะ ไปไหนกันหมด”
“ไม่รู้เหมือนกัน เจ้าก็ไปเสียเถอะ อยู่ตรงนี้เกะกะลูกตา”
“อ้า...ขอรับ”
เฮียวสุเกะรับคำแต่ก็ทำใจให้ทิ้งเด็นชิจิโรเอาไว้คนเดียวไม่ได้ง่าย ๆ ดังนั้นพอเห็นอาจารย์น้องของตนดับไฟจนมอดลงไปกับพื้นหิมะและก้าวเดินอย่างหึกเหิมออกจากชายคาไปยังลานกว้างแล้ว จึงมุดเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในความมืดใต้ถุนโบสถ์
ลมหนาวพัดผ่านเข้ามาเยียนเยียบแทบจะถึงกระดูกทำเอาเฮียวสุเกะต้องนั่งกอดเข่าตัวกลม ฟันกระทบกันกึก ๆ ความหนาวเย็นแล่นขึ้นมาตามแนวสันหลังจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว ศิษย์สำนักดาบได้แต่หลอกตัวเองว่านั่นเป็นเพราะฤทธิ์ลมหนาวไม่ใช่ความกลัวจนนิด
จากตรงนั้นเฮียวสุเกะเห็นได้ชัดว่าเด็นชิจิโรเดินห่างออกจากชายคาโบสถ์ราวหนึ่งร้อยก้าว ไปยืนเหยียบราก สนต้นใหญ่ที่ทอดเหนือพื้นดินขึ้นมาตั้งท่าขันแข็งเตรียมพร้อมรับมือมูซาชิเต็มที่
เฮียวสุเกะคำนวณเวลาดูน่าจะเลยเวลานัดไปแล้วแม้จะยังไม่ดึกแต่มูซาชิก็ยังไม่มา
เหล้าสาเกที่ดื่มย้อมใจกับอาจารย์น้องส่างไปนานแล้ว หิมะยังโปรยปรายและลมก็ยังพัดผ่านเข้ามาใต้ถุนโบสถ์ไม่หยุดหย่อน ศิษย์สำนักดาบตัวสั่นเทาด้วยความหนาวแต่ตาก็ยังจับจ้องไปที่อาจารย์น้อย รู้สึกได้ว่ากำลังกระสับกระส่ายยิ่งนัก
ซัด ซ่า...หิมะที่ค้างบนกิ่งสนร่วงพรูลงมาราวน้ำตก
3
สำหรับคนคอยแม้เพียงอึดใจก็แสนนานจนแทบจะสุดทน
แน่นอนว่าไม่ยกเว้นทั้งเด็นชิจิโรและเฮียวสุเกะ โดยเฉพาะคนที่ซุ่มเฝ้าดูอยู่ใต้ถุนโบสถ์นั้นทั้งเหน็บหนาวทั้งสำนึกในความรับผิดชอบที่ตนเป็นคนมารายงานว่าคนที่อาจารย์น้องรออยู่กำลังมาแต่ก็ไม่มาสักที
สุดท้ายเฮียวสุเกะก็อดรนทนไม่ได้ต้องโผล่ออกมาจากที่ซ่อนแล้วร้องถามไปว่า
“อาจารย์น้อง ทำไมยังไม่มาก็ไม่รู้นะขอรับ”
“อ้าว เฮียวสุเกะ เจ้ายังอยู่รึ”
เด็นชิจิโรร้องถามกลับไป ทั้งสองเข้ามาใกล้กันโดยไม่รู้ว่าใครเดินเข้ามาหาใครแล้วมองไปรอบ ๆ บริเวณที่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน บอกกันและกันว่า ยังไม่เห็นหัวเลย
“หรือว่าจะหนีไปแล้ว”
เด็นชิจิโรพึมพำกับตัวเอง
“เป็นไปไม่ได้”
เฮียวสุเกะแย้งมันทีด้วยความมั่นใจเพราะเห็นมากับตาว่ามูซาชิกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้อย่างที่บอก
“เอ๊ะ”
เด็นชิจิโรอุทานเมื่อเห็นแสงไฟวอมแวมไหววูบอยู่หลังโบสถ์ตรงที่เป็นเรือนครัว และเมื่อเขม้นมองไปก็เห็นพระรูปหนึ่งถือตะเกียงเดินเข้ามาพร้อมกับใครคนหนึ่งที่เห็นเป็นเงา ๆ อยู่ข้างหลัง เงาคนทั้งสองและตะเกียงดวงน้อยเปิดประตูที่กั้นระหว่างเรือนครัวกับตัวโบสถ์ แล้วก้าวขึ้นไปหยุดยืนซุบซิบอะไรกันอยู่ปลายสุดของระเบียงยาว
“ปกติตอนกลางคืนวัดเราจะปิดประตูกันเรียบร้อย แต่เมื่อตอนพลบค่ำได้ยินว่ามีนักดาบสองสามคนมาก่อกองไฟที่ลานวัดแล้วผิงไฟกันอยู่ อาจเป็นพวกที่ท่านถามหาก็ได้ แต่ตอนนี้ไปกันหมดแล้ว”
หลวงพี่บอก คนที่เดินตามมาค้อมศีรษะอย่างสุภาพพร้อมกับบอกว่า
“ข้าต้องขอโทษหลวงพี่ที่มารบกวนยามค่ำคืนทั้งที่เป็นเวลาจำวัด ข้าเห็นใครสองคนยืนอยู่ใต้ต้นสน อาจเป็นคนที่นัดให้ข้ามาที่วัดเร็งเงโออินก็ได้”
“งั้นก็ไปถามดูดีไหม”
“ขอรับ ขอบคุณหลวงพี่มากที่อุตส่าห์พามาถึงนี่ เชิญกลับไปจำวัดเถิด ทางนี้ข้าจัดการเอง”
“นัดกันมาชมหิมะหรือยังไง”
“คล้าย ๆ อย่างนั้นแหละขอรับ”
ชายในเงามืดหัวเราะเบา ๆ หลวงพี่ดับตะเกียงในมือแล้วบอกว่า
“อาตมาคิดว่าท่านน่าจะรู้กันดีอยู่แล้ว แต่ก็ขอเตือนไว้ก่อนว่าถ้าจะก่อกองไฟใกล้กับชายคาโบสถ์ ก็ขอให้ระวังกันหน่อยอย่าให้ไฟไหม้โบสถ์ และก่อนแยกย้ายกันกลับไก็ช่วยดับไฟให้เรียบร้อยด้วย”
“หลวงพี่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะระวังให้ดี”
“งั้นอาตมาขอตัว”
ว่าแล้วหลวงพี่ก็ลงบันไดไปปิดประตูให้หลังแล้วเดินกลับไปทางเรือนครัว
ชายที่เหลืออยู่คนเดียวในมุมมืดบนระเบียงยืนจ้องมองมาที่เด็นชิจิโร แสงสะท้อนจากหิมะขาวโพลนแยงตาให้คนที่ยืนอยู่ด้านนอกมองเห็นไม่ถนัดแม้จะพยายามเขม้นมอง
“เฮียวสุเกะ นั่นใครกัน”
“ข้าไม่รู้เหมือนกัน แต่เห็นเดินมาจากทางเรือนครัว”
“ข้าว่า ไม่น่าใช่คนที่วัดนะ”
“นั่นน่ะซี”
ทั้งอาจารย์และศิษย์สำนักดาบขมวดคิ้วพลางเดินเข้าไปใกล้ระเบียงยาวราวยี่สิบก้าว
ทันใดนั้นเอง เงาดำที่สุดระเบียงยาวก็เคลื่อนตัวอย่างฉับพลันมาหยุดกึกอยู่ที่กึ่งกลางระเบียง ตวัดเชือกหนังในมือพันรั้งชายแขนเสื้อทั้งสองข้างขึ้นผูกไว้แน่นแขม็งด้วยท่วงท่าเตรียมพร้อม อาจารย์กับศิษย์ที่ก้าวเข้ามาใกล้ระเบียงพอเห็นเข้า ต่างก็หยุดชะงักพร้อมกันราวกับถูกตรึงไว้บนพื้นหิมะอันเยียบเย็น
เด็นชิจิโรนิ่งไปสองสามอึดใจก่อนตะโกนออกไปว่า
“มูซาชิ”