นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มูซาชิลุกเลี่ยงออกมาเงียบ ๆ จากวงสุราทั้งที่ไม่มีจุดหมายว่าจะไปไหน
จนเมื่อออกมายืนคนเดียวที่ระเบียงทางเดินและมองไปรอบ ๆ เป็นครั้งแรก จึงได้รู้ว่าสำนักนางโลมโองิยะแห่งนี้ใหญ่โตกว้างขวางนักทำให้ยืนเคว้งอยู่เป็นครู่
ครั้นเมื่อพอจะจับทิศทางได้แล้ว เจ้าหนุ่มจึงเลี่ยงจากด้านหน้าซึ่งจุดไฟสว่างไสวและมีเสียงสรวลเสเฮอาประสานกับเสียงขับลำนำประกอบดนตรีดังลอดออกมาไม่ขาดสาย เดินลึกเข้าไปในตัวเรือนด้านหลังที่เงียบสงบอยู่ในความมืดสลัวของยามค่ำคืน ผ่านห้องที้ดูเหมือนเป็นที่เก็บฟูกและเครื่องนอน ห้องเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ และคงจะใกล้ห้องครัวเข้าไปแล้วเพราะได้กลิ่นเครื่องปรุงอาหารที่คุ้นจมูกระเหยออกมาจากผนังและเสารอบ ๆ บริเวณนั้น
“ตายจริง ท่านแขกผู้มีเกียรติของเรา มาทำอะไรอยู่แถวนี้ เข้ามาไม่ได้นะเจ้าคะ”
สาวน้อยคนนั้นถลันจากห้องมืดสลัวข้าง ๆ นั้นออกมายืนกางแขนกั้นเอาไว้ ร้องห้ามเสียงแหลมใสจ้องตากลมโตมาที่ชายร่างใหญ่ผู้บุกรุก
หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักบึ้งตึงเป็นคนละคนกับที่รื่นเริงอยู่ในห้องสว่างไสวเมื่อครู่ก่อน ตั้งท่าปกป้องผู้ละลาบละล้วงเข้ามาละเมิดสิทธิ์ในพื้นที่ส่วนตัวของตน
“แปลกคนจริง ตรงนี่ไม่ใช่ที่ที่พวกแขกจะเข้ามายุ่มย่ามสักหน่อย กลับไปทางโน้นเลยเจ้าค่ะ”
แม่สาวน้อยดุขณะยืนปักหลักทำตาวาวเตรียมสู้เต็มที่ไม่มีแววสาวน้อยน่ารักอย่างที่เห็นในห้องเริงสำราญเมื่อครู่ก่อนเหลืออยู่เลย
“อ้าว เข้ามาแถวนี้ไม่ได้หรอกรึ”
เจ้าหนุ่มนักดาบทำหน้าซื่อ
“ไม่ได้เจ้าค่ะ บอกว่าไม่ได้ ไม่ได้ยินรึไง”
สาวน้อยตรงเข้ามาผลักเต็มแรงให้มูซาชิถอยออกไป
“อ้าว” เจ้าหนุ่มร่างใหญ่จำได้คลับคล้ายคลับคลา “เจ้าคือรินยะ ที่ตกลงไปจมหิมะเมื่อกี้ไม่ใช่รึ”
“ใช่เจ้าค่ะ เอ๊ะ...หรือว่าท่านจะออกไปห้องน้ำ แล้วคงจะเมาเลยเดินหลงมาทางนี้ งั้นรินยะพาไปเอง”
ว่าแล้วก็ฉวยมือเจ้าหนุ่มนักดาบดึงไปโดยไม่รอฟังคำตอบ
“เปล่า ๆ ข้าไม่ได้เมา เจ้าช่วยอะไรข้าอย่างหนึ่งได้ไหม”
“อะไรรึ”
“ช่วยไปหาข้าวมาให้ข้ากินสักถ้วยหนึ่งได้ไหม ข้าจะรออยู่นี้ห้องนี้”
“ข้าวเหรอ”
รินยะเบิกตาโต
“โธ่เอ๋ย อยากกินข้าวก็บอกเด็ก ๆ ที่ห้องนั้นก็ได้ เดี๋ยว ๆ ก็จะจัดมาให้”
“ข้าเกรงใจแขกคนอื่น ๆ เห็นเขากำลังดื่มกันสนุก จะมากินข้างอยู่คนเดียวก็กระไรอยู่”
สาวน้อยฟังคำของเจ้าหนุ่มแล้วเอียงคอคิด แต่ก็บอกอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไรว่า
“ก็จริง งั้นรินยะไปเอามาให้ที่นี่นะ ท่านอยากกินอะไรล่ะ”
“ไม่ต้องยุ่งยากนะ แค่ข้าวปั้นสองก้อนก็พอ”
“ข้าวปั้นอย่างเดียวแน่นะ”
สาวน้อยวิ่งหายเข้าไปข้างในไม่กี่อึดใจก็กลับมาพร้อมกับข้าวปั้นตามคำขอของแขกร่างใหญ่ที่นั่งรออยู่ในห้องว่างข้าง ๆ นั้น
“สวนหลังบ้านนี่คงมีทางออกไปข้างนอกนะ”
มูซาชิถามหลังจัดการกับข้าวปั้นสองก้อนนั้นเรียบร้อย พร้อมกับลุกขึ้นและก้าวลงไปในสวนโดยไม่ฟังคำตอบ
รินยะหน้าตื่น
“ท่านจะไปไหน”
“เอาเถอะน่า ไปเดี๋ยวเดียว”
“ถึงไปเดี๋ยวเดียวก็เถอะ ท่านเป็นแขก ออกไปทางนี้จะดีรึ”
“ข้าไปอยากออกไปด้านหน้าเพราะมันน่ารำคาญ หากท่านโคเอ็ตสึหรือท่านไฮยะ โชยูเห็นเข้าก็จะถามนั่นถามนี่เป็นเรื่องใหญ่ และอีกอย่างเห็นพวกเขากำลังสนุกกันสุดเหวี่ยง ข้าก็เลยไม่อยากขัดจังหวะ”
“ถ้างั้นรินยะจะเปิดประตูไม้ท้ายสวนให้ ท่านไปแล้วต้องรีบกลับมาจริง ๆ นะ ถ้าไม่กลับรินยะต้องถูกดุแน่”
“กลับสิ ข้าไปเดี๋ยวเดียวเอง ถ้าท่านโคเอ็ตสึถาม เจ้าช่วยบอกท่านด้วยว่าข้าขอตัวออกไปพบกับคนรู้จักแถววัด
เร็งเงโออิน แล้วคิดว่าไม่นานก็จะกลับมา”
“คิดว่าไม่ได้นะ ท่านต้องกลับมาให้ได้ เพราะคู่ของท่านคืนนี้คือคุณพี่โยชิโนะ”
สาวน้อยรินยะย้ำเสียงหนักแน่น ก่อนเปิดประตูสวนที่ถูกหิมะทับถมจนแทบเปิดไม่ออกให้มูซาชิ
2
ร้านน้ำชาชื่ออามิงาซะอยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่ของสำนักนางโลมพอดี
มูซาชิเข้าไปขอซื้อรองเท้าฟางแต่ทางร้านไม่มีขาย เพราะสินค้าที่เตรียมไว้บริการคือหมวกฟางที่ใช้ปิดหน้าสำหรับคนที่ไม่อยากให้ใครเห็นว่าตนมาเที่ยวสำนักนางโลม
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าช่วยไปซื้อมาให้หน่อยได้ไหม”
เจ้าหนุ่มนักดาบไหว้วานสาวใช้แถวนั้น ทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับจัดผ้าคาดกิโมโนผูกใหม่ให้เข้าที่รัดกุม ถอดเสื้อคลุมออกพับเรียบร้อยก่อนขอกระดาษกับพู่กันมาเขียนอะไรสองสามคำแล้วพับสอดไว้ในแขนเสื้อ
“พ่อเฒ่า”
มูซาชิร้องเรียกเจ้าของร้านที่นั่งคุดคู้อยู่ข้างเตาผิง
“ข้าขอรบกวนหน่อยจะได้ไหม ท่านช่วยเก็บเสื้อคลุมของข้าเอาไว้ที ถ้าข้าไม่กลับมาที่นี่ภายในสิบเอ็ดนาฬิกา ท่านช่วยเอาเสื้อคลุมตัวนี้กับจดหมายที่ข้าสอดไว้ในแขนเสื้อ ไปให้คนชื่อโคเอ็ตสึที่ร้านโองิยะด้วยเถิด”
“ได้ ๆ ง่ายมาก ข้าจะรับฝากเอาไว้เอง”
“ตอนนี้น่าจะเจ็ดหรือแปดนาฬิกาแล้ว”
“ยังหรอก วันนี้หิมะตกก็เลยมืดเร็ว จริง ๆ แล้วยังวันอยู่เลย”
“ก่อนออกมาจากโองิยะข้าได้ยินเสียงเขาตีเกราะบอกเวลา แต่ไม่รู้ได้ว่ากี่ยามกันแน่”
“อย่างนั้นก็คงจะราวเจ็ดโมงละมัง เพิ่งจะพลบค่ำ ผู้คนยังไม่กลับบ้านกันเลย”
พอดีสาวใช้ซื้อรองเท้าฟางกลับมาให้ เจ้าหนุ่มนักดาบตรวจดูความแข็งแรงหูคีบรองเท้าและเชือกผูกก่อนใส่ให้กระชับกับเท้าทั้งสองเรียบร้อย วางเงินจำนวนเกินค่าน้ำชาเอาไว้ให้เป็นสินน้ำใจ พร้อมกับหยิบหมวกฟางมาบังหัว เดินฝ่าหิมะที่โปรยปรายลงมาเบาหวิวกว่ากลีบดอกไม้จากไป
แถวฝั่งน้ำใกล้ชิโจยังมีแสงสว่างวิบ ๆ จากบ้านเรือนละแวกนั้นบ้าง แต่พอย่างเข้าไปในหมู่ไม้เขตกิอองก็มืดแทบไม่เห็นปลายเท้า บนพื้นมีหิมะอยู่เพียงหย่อม ๆ ไม่ถมหนา
นาน ๆ ทีก็จะเห็นแสงไฟริบหรี่จากโคมไฟที่แขวนอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือไม่ก็ตะเกียงหินของศาลเจ้าที่เงียบสงัดไม่มีวี่แววว่าจะมีคนอยู่ ได้ยินแต่เสียงหิมะกระทบกิ่งไม้ดังแผ่ว ๆ เป็นครั้งครา
“ไปกันเถอะ”
กลุ่มคนที่นั่งก้มหน้าภาวนาขอพรอะไรสักอย่างอยู่ที่หน้าศาลเจ้ากิออง ลุกขึ้นทีละคนสองคนตามคำชวนของใครคนหนึ่งในกลุ่ม
เสียงระฆังจากวัดบนภูเขาใกล้ ๆ นั้นตีบอกเวลาแปดนาฬิกา คงเป็นเพราะเป็นคืนหิมะตกละมังเสียงระฆังถึงได้คมชัดราวกับจะชำแรกเข้าไปในไส้พุง
“อาจารย์น้อง หูรองเท้าฟางแน่นกำลังดีหรือเปล่า คืนอากาศหนาวอย่างนี้ถ้าแน่นเกินไปจะขาดเอาง่าย ๆ “
“ไม่ต้องห่วง”
ผู้พูดคือโยชิโอกะ เด็นชิจิโร
น้องชายเจ้าสำนักโยชิโอกะพร้อมทั้งศิษย์สำนักดาบและหมู่ญาติราวสิบเจ็ดสิบแปดคน กำลังมุ่งหน้าไปที่วัดเร็งเงโออิน อาจเป็นเพราะความหนาวเย็นของค่ำคืนนี้สีหน้าของแต่ละคนจึงดูเครียดกันไปหมด
เด็นชิจิโรกับพวกแวะสวดภาวนาขอพรจากเทพเจ้าที่ศาลเจ้ากิออง พร้อมทั้งแต่งกายในชุดประลองยุทธอย่างครบเครื่องโดยมีคนช่วยตรวจดูความเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว โดยเฉพาะผืนผ้าคาดหน้าผาก เชือกหนังสำหรับผูกรัดแขนเสื้อกิโมโมไม่ให้รุงรังยามประดาบประจันบาน
“รองเท้าฟางรึ พวกเจ้าจำไว้เลยว่าเวลาเช่นนี้จะต้องใช้ร้องเท้าฟางที่หูคีบทำด้วยผ้าอย่างเดียว”
เด็นชิจิโรเดินย่ำหิมะพร้อมทั้งหายใจหนัก ๆ ปล่อยลมหายใจออกมาเป็นควันขาวตามจังหวะที่ก้าวเดินอยู่กลางกลุ่มนักดาบที่ติดตามมาเป็นขบวน
3
จดหมายนัดพบที่โอตาคูโระ เฮียวซูเกะกับศิษย์สำนักดาบรวมสามคนนำมาส่งให้มูซาชิเมื่อก่อนพลบค่ำและได้รับคำตอบรับกลับไปแล้วนั้น แจ้งมาสั้น ๆ ว่า
สถานที่...หลังวัดเร็งเงโออิน
เวลา...เก้านาฬิกา
เด็นชิจิโรรวมทั้งศิษย์สำนักดาบและหมู่ญาติเห็นพ้องต้องกันว่า ควรท้าประลองยุทธกับมูซาชิภายในค่ำคืนนี้ไม่ต้องรอจนถึงวันรุ่งขึ้น เพราะคาดเดาว่า
ขืนรีรออยู่ก็จะเป็นการให้โอกาสแก่ศัตรู ซึ่งถ้าปล่อยให้หลบหนีไปได้ในคราวนี้ ก็จะไม่ได้พบหน้ากันที่เกียวโตอีกเป็นแน่
และวางแผนการต่อสู้ในค่ำคืนนี้อย่างแยบยล
ที่ไม่เห็นหน้าโอตาคูโระ เฮียวซูเกะนั้นเป็นเพราะได้รับมอบหมายให้ไปด้อม ๆ มอง ๆ อยู่แถวบ้านของไฮยะ โชยูที่โฮริคาวะฟูนาบาชิ และเมื่อมูซาชิเคลื่อนไหวก็ให้สะกดรอยตามไม่ให้คลาดสายตา
“เอ๊ะ...นั่นใคร รู้สึกว่าจะมีใครมาก่อนเรานะ”
เด็นชิจิโรชะงัก เมื่อมองไกลออกไปเห็นใครกำลังก่อกองไฟอยู่บนพื้นหิมะใต้ชายคาด้านหลังวัดเร็งเงโออิน
“มิอิเกะกับอูเอดะละมัง”
“อะไรกัน สองคนนั่นถึงกับต้องมาเองเลยรึ”
เด็นชิจิโรทำหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินชื่อศิษย์เอกของสำนัก
“ข้าว่าเรามากันมากเกินไปแล้วสำหรับศัตรูเพียงคนเดียว ข้าไม่อยากเสียหน้าเพราะใคร ๆ ก็จะพูดกันว่าที่ปราบเจ้ามูซาชิได้ก็เพราะแห่กันมาเป็นกองทัพ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พอได้เวลาประลองยุทธ์พวกข้าก็จะถอยออกไป”
ระเบียงโบสถ์ของวัดเร็งเงโออินยาวมากจนได้ชื่อว่าซันจูซันเก็นโดซึ่งเป็นวัดในเกียวโตที่มีชื่อเสียงจากการมีระเบียงยาวเป็นเอกลักษณ์ เหมาะที่สุดสำหรับการยิงธนูไม่ว่าจะเป็นวิถีการยิงหรือตำแหน่งที่ตั้งเป้า คนเริ่มมาฝึกซ้อมยิงธนูกันที่นี่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรเหมือนกัน แต่ตอนนี้กลายเป็นที่ที่คนนิยมมาซ้อมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
---ความเกี่ยวข้องกับวิถีแห่งการต่อสู้เช่นนี้จูงใจให้เด็นชิจิโรเลือกที่นี่เป็นสนามประลองยุทธ์กับมูซาชิ
พื้นลานวัดกว้างขวางซึ่งขณะนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะบาง ๆ พองามนั้น ราบเรียบไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่มีหญ้าขึ้นรก และไม่มีรากไม้ปูดโปนขึ้นมาให้สะดุด มีต้นสนอยู่บ้างตามบรรยากาศของวัดทั่ว ๆ ไปแต่ไม่ถึงกับเป็นป่าทึบ
“มากันแล้วรึ”
ศิษย์สำนักดาบที่มาถึงก่อนและก่อไฟรออยู่ ลุกขึ้นทักทันทีที่เด็นชิจิโรมาถึง
“คืนนี้หนาวมากจริง ๆ ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกมาก อาจารย์น้องเข้ามาผิงไฟให้ร่างกายอบอุ่นไว้ก่อนดีกว่า”
คนที่มาก่อกองไฟรอคือมิอิเกะ จูโรซาเอมอน กับอูเอดะ เรียวเฮ ศิษย์เอกทั้งสองจริงดังคาด
เด็นชิจิโรเดินเข้าไปนั่งแทนที่เรียวเฮโดยไม่พูดจาว่ากระไร ไม่บอกด้วยว่าได้เตรียมตัวมาพร้อมแล้วที่หน้าศาลเจ้ากิออง และพอนั่งลงได้ก็ยื่นมือทั้งสองออกไปอังเหนือกองไฟ นวดนิ้วพลางหักดังกร็อบ ๆ ทีละนิ้ว
“เรามาเร็วไปไหม”
แสงจากกองไฟฉาบฉายใบหน้าทำให้ดูคล้ายกำลังกระหายเลือด
“เมื่อกี้เราเดินผ่านร้านน้ำชามาใช่ไหม”
“รู้สึกว่าจะปิดเพราะหิมะตกนะท่าน”
“ปิดก็ไปเรียกให้เปิดสิ ใครก็ได้ไปขอซื้อเหล้าสาเกมาเร็ว”
“อะไรนะ ท่านจะดื่มสาเกรึ”
“ใช่ หนาวออกอย่างนี้ ก็ต้องสาเกน่ะซี”
เด็นชิจิโรกระเถิบเข้าไปนั่งยอง ๆ แทบจะชิดกับกองไฟ
ใคร ๆ ก็รู้ว่าเด็นชิจิโรร่ำสุราตั้งแต่เช้ายันเย็นแม้กระทั่งเวลาที่อยู่ในโรงฝึกวิชาดาบ กลิ่นเหล้าจึงไม่มีเวลาที่จะระเหยหายไปจากตัว แต่ในค่ำคืนเช่นนี้---ชั่วเวลาอันสั้นระหว่างที่คอยคู่ประลองยุทธ์ที่จะชี้ชะตาว่าหมู่ญาติและศิษย์จะอยู่หรือจะไปเช่นนี้ ไม่ใช่เวลากินเหล้าแน่นอน
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
มูซาชิลุกเลี่ยงออกมาเงียบ ๆ จากวงสุราทั้งที่ไม่มีจุดหมายว่าจะไปไหน
จนเมื่อออกมายืนคนเดียวที่ระเบียงทางเดินและมองไปรอบ ๆ เป็นครั้งแรก จึงได้รู้ว่าสำนักนางโลมโองิยะแห่งนี้ใหญ่โตกว้างขวางนักทำให้ยืนเคว้งอยู่เป็นครู่
ครั้นเมื่อพอจะจับทิศทางได้แล้ว เจ้าหนุ่มจึงเลี่ยงจากด้านหน้าซึ่งจุดไฟสว่างไสวและมีเสียงสรวลเสเฮอาประสานกับเสียงขับลำนำประกอบดนตรีดังลอดออกมาไม่ขาดสาย เดินลึกเข้าไปในตัวเรือนด้านหลังที่เงียบสงบอยู่ในความมืดสลัวของยามค่ำคืน ผ่านห้องที้ดูเหมือนเป็นที่เก็บฟูกและเครื่องนอน ห้องเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ และคงจะใกล้ห้องครัวเข้าไปแล้วเพราะได้กลิ่นเครื่องปรุงอาหารที่คุ้นจมูกระเหยออกมาจากผนังและเสารอบ ๆ บริเวณนั้น
“ตายจริง ท่านแขกผู้มีเกียรติของเรา มาทำอะไรอยู่แถวนี้ เข้ามาไม่ได้นะเจ้าคะ”
สาวน้อยคนนั้นถลันจากห้องมืดสลัวข้าง ๆ นั้นออกมายืนกางแขนกั้นเอาไว้ ร้องห้ามเสียงแหลมใสจ้องตากลมโตมาที่ชายร่างใหญ่ผู้บุกรุก
หน้าตาจิ้มลิ้มน่ารักบึ้งตึงเป็นคนละคนกับที่รื่นเริงอยู่ในห้องสว่างไสวเมื่อครู่ก่อน ตั้งท่าปกป้องผู้ละลาบละล้วงเข้ามาละเมิดสิทธิ์ในพื้นที่ส่วนตัวของตน
“แปลกคนจริง ตรงนี่ไม่ใช่ที่ที่พวกแขกจะเข้ามายุ่มย่ามสักหน่อย กลับไปทางโน้นเลยเจ้าค่ะ”
แม่สาวน้อยดุขณะยืนปักหลักทำตาวาวเตรียมสู้เต็มที่ไม่มีแววสาวน้อยน่ารักอย่างที่เห็นในห้องเริงสำราญเมื่อครู่ก่อนเหลืออยู่เลย
“อ้าว เข้ามาแถวนี้ไม่ได้หรอกรึ”
เจ้าหนุ่มนักดาบทำหน้าซื่อ
“ไม่ได้เจ้าค่ะ บอกว่าไม่ได้ ไม่ได้ยินรึไง”
สาวน้อยตรงเข้ามาผลักเต็มแรงให้มูซาชิถอยออกไป
“อ้าว” เจ้าหนุ่มร่างใหญ่จำได้คลับคล้ายคลับคลา “เจ้าคือรินยะ ที่ตกลงไปจมหิมะเมื่อกี้ไม่ใช่รึ”
“ใช่เจ้าค่ะ เอ๊ะ...หรือว่าท่านจะออกไปห้องน้ำ แล้วคงจะเมาเลยเดินหลงมาทางนี้ งั้นรินยะพาไปเอง”
ว่าแล้วก็ฉวยมือเจ้าหนุ่มนักดาบดึงไปโดยไม่รอฟังคำตอบ
“เปล่า ๆ ข้าไม่ได้เมา เจ้าช่วยอะไรข้าอย่างหนึ่งได้ไหม”
“อะไรรึ”
“ช่วยไปหาข้าวมาให้ข้ากินสักถ้วยหนึ่งได้ไหม ข้าจะรออยู่นี้ห้องนี้”
“ข้าวเหรอ”
รินยะเบิกตาโต
“โธ่เอ๋ย อยากกินข้าวก็บอกเด็ก ๆ ที่ห้องนั้นก็ได้ เดี๋ยว ๆ ก็จะจัดมาให้”
“ข้าเกรงใจแขกคนอื่น ๆ เห็นเขากำลังดื่มกันสนุก จะมากินข้างอยู่คนเดียวก็กระไรอยู่”
สาวน้อยฟังคำของเจ้าหนุ่มแล้วเอียงคอคิด แต่ก็บอกอย่างไม่ค่อยจะเข้าใจสักเท่าไรว่า
“ก็จริง งั้นรินยะไปเอามาให้ที่นี่นะ ท่านอยากกินอะไรล่ะ”
“ไม่ต้องยุ่งยากนะ แค่ข้าวปั้นสองก้อนก็พอ”
“ข้าวปั้นอย่างเดียวแน่นะ”
สาวน้อยวิ่งหายเข้าไปข้างในไม่กี่อึดใจก็กลับมาพร้อมกับข้าวปั้นตามคำขอของแขกร่างใหญ่ที่นั่งรออยู่ในห้องว่างข้าง ๆ นั้น
“สวนหลังบ้านนี่คงมีทางออกไปข้างนอกนะ”
มูซาชิถามหลังจัดการกับข้าวปั้นสองก้อนนั้นเรียบร้อย พร้อมกับลุกขึ้นและก้าวลงไปในสวนโดยไม่ฟังคำตอบ
รินยะหน้าตื่น
“ท่านจะไปไหน”
“เอาเถอะน่า ไปเดี๋ยวเดียว”
“ถึงไปเดี๋ยวเดียวก็เถอะ ท่านเป็นแขก ออกไปทางนี้จะดีรึ”
“ข้าไปอยากออกไปด้านหน้าเพราะมันน่ารำคาญ หากท่านโคเอ็ตสึหรือท่านไฮยะ โชยูเห็นเข้าก็จะถามนั่นถามนี่เป็นเรื่องใหญ่ และอีกอย่างเห็นพวกเขากำลังสนุกกันสุดเหวี่ยง ข้าก็เลยไม่อยากขัดจังหวะ”
“ถ้างั้นรินยะจะเปิดประตูไม้ท้ายสวนให้ ท่านไปแล้วต้องรีบกลับมาจริง ๆ นะ ถ้าไม่กลับรินยะต้องถูกดุแน่”
“กลับสิ ข้าไปเดี๋ยวเดียวเอง ถ้าท่านโคเอ็ตสึถาม เจ้าช่วยบอกท่านด้วยว่าข้าขอตัวออกไปพบกับคนรู้จักแถววัด
เร็งเงโออิน แล้วคิดว่าไม่นานก็จะกลับมา”
“คิดว่าไม่ได้นะ ท่านต้องกลับมาให้ได้ เพราะคู่ของท่านคืนนี้คือคุณพี่โยชิโนะ”
สาวน้อยรินยะย้ำเสียงหนักแน่น ก่อนเปิดประตูสวนที่ถูกหิมะทับถมจนแทบเปิดไม่ออกให้มูซาชิ
2
ร้านน้ำชาชื่ออามิงาซะอยู่ตรงข้ามกับประตูใหญ่ของสำนักนางโลมพอดี
มูซาชิเข้าไปขอซื้อรองเท้าฟางแต่ทางร้านไม่มีขาย เพราะสินค้าที่เตรียมไว้บริการคือหมวกฟางที่ใช้ปิดหน้าสำหรับคนที่ไม่อยากให้ใครเห็นว่าตนมาเที่ยวสำนักนางโลม
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าช่วยไปซื้อมาให้หน่อยได้ไหม”
เจ้าหนุ่มนักดาบไหว้วานสาวใช้แถวนั้น ทรุดตัวลงนั่งพร้อมกับจัดผ้าคาดกิโมโนผูกใหม่ให้เข้าที่รัดกุม ถอดเสื้อคลุมออกพับเรียบร้อยก่อนขอกระดาษกับพู่กันมาเขียนอะไรสองสามคำแล้วพับสอดไว้ในแขนเสื้อ
“พ่อเฒ่า”
มูซาชิร้องเรียกเจ้าของร้านที่นั่งคุดคู้อยู่ข้างเตาผิง
“ข้าขอรบกวนหน่อยจะได้ไหม ท่านช่วยเก็บเสื้อคลุมของข้าเอาไว้ที ถ้าข้าไม่กลับมาที่นี่ภายในสิบเอ็ดนาฬิกา ท่านช่วยเอาเสื้อคลุมตัวนี้กับจดหมายที่ข้าสอดไว้ในแขนเสื้อ ไปให้คนชื่อโคเอ็ตสึที่ร้านโองิยะด้วยเถิด”
“ได้ ๆ ง่ายมาก ข้าจะรับฝากเอาไว้เอง”
“ตอนนี้น่าจะเจ็ดหรือแปดนาฬิกาแล้ว”
“ยังหรอก วันนี้หิมะตกก็เลยมืดเร็ว จริง ๆ แล้วยังวันอยู่เลย”
“ก่อนออกมาจากโองิยะข้าได้ยินเสียงเขาตีเกราะบอกเวลา แต่ไม่รู้ได้ว่ากี่ยามกันแน่”
“อย่างนั้นก็คงจะราวเจ็ดโมงละมัง เพิ่งจะพลบค่ำ ผู้คนยังไม่กลับบ้านกันเลย”
พอดีสาวใช้ซื้อรองเท้าฟางกลับมาให้ เจ้าหนุ่มนักดาบตรวจดูความแข็งแรงหูคีบรองเท้าและเชือกผูกก่อนใส่ให้กระชับกับเท้าทั้งสองเรียบร้อย วางเงินจำนวนเกินค่าน้ำชาเอาไว้ให้เป็นสินน้ำใจ พร้อมกับหยิบหมวกฟางมาบังหัว เดินฝ่าหิมะที่โปรยปรายลงมาเบาหวิวกว่ากลีบดอกไม้จากไป
แถวฝั่งน้ำใกล้ชิโจยังมีแสงสว่างวิบ ๆ จากบ้านเรือนละแวกนั้นบ้าง แต่พอย่างเข้าไปในหมู่ไม้เขตกิอองก็มืดแทบไม่เห็นปลายเท้า บนพื้นมีหิมะอยู่เพียงหย่อม ๆ ไม่ถมหนา
นาน ๆ ทีก็จะเห็นแสงไฟริบหรี่จากโคมไฟที่แขวนอยู่ที่ไหนสักแห่งหรือไม่ก็ตะเกียงหินของศาลเจ้าที่เงียบสงัดไม่มีวี่แววว่าจะมีคนอยู่ ได้ยินแต่เสียงหิมะกระทบกิ่งไม้ดังแผ่ว ๆ เป็นครั้งครา
“ไปกันเถอะ”
กลุ่มคนที่นั่งก้มหน้าภาวนาขอพรอะไรสักอย่างอยู่ที่หน้าศาลเจ้ากิออง ลุกขึ้นทีละคนสองคนตามคำชวนของใครคนหนึ่งในกลุ่ม
เสียงระฆังจากวัดบนภูเขาใกล้ ๆ นั้นตีบอกเวลาแปดนาฬิกา คงเป็นเพราะเป็นคืนหิมะตกละมังเสียงระฆังถึงได้คมชัดราวกับจะชำแรกเข้าไปในไส้พุง
“อาจารย์น้อง หูรองเท้าฟางแน่นกำลังดีหรือเปล่า คืนอากาศหนาวอย่างนี้ถ้าแน่นเกินไปจะขาดเอาง่าย ๆ “
“ไม่ต้องห่วง”
ผู้พูดคือโยชิโอกะ เด็นชิจิโร
น้องชายเจ้าสำนักโยชิโอกะพร้อมทั้งศิษย์สำนักดาบและหมู่ญาติราวสิบเจ็ดสิบแปดคน กำลังมุ่งหน้าไปที่วัดเร็งเงโออิน อาจเป็นเพราะความหนาวเย็นของค่ำคืนนี้สีหน้าของแต่ละคนจึงดูเครียดกันไปหมด
เด็นชิจิโรกับพวกแวะสวดภาวนาขอพรจากเทพเจ้าที่ศาลเจ้ากิออง พร้อมทั้งแต่งกายในชุดประลองยุทธอย่างครบเครื่องโดยมีคนช่วยตรวจดูความเรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้ว โดยเฉพาะผืนผ้าคาดหน้าผาก เชือกหนังสำหรับผูกรัดแขนเสื้อกิโมโมไม่ให้รุงรังยามประดาบประจันบาน
“รองเท้าฟางรึ พวกเจ้าจำไว้เลยว่าเวลาเช่นนี้จะต้องใช้ร้องเท้าฟางที่หูคีบทำด้วยผ้าอย่างเดียว”
เด็นชิจิโรเดินย่ำหิมะพร้อมทั้งหายใจหนัก ๆ ปล่อยลมหายใจออกมาเป็นควันขาวตามจังหวะที่ก้าวเดินอยู่กลางกลุ่มนักดาบที่ติดตามมาเป็นขบวน
3
จดหมายนัดพบที่โอตาคูโระ เฮียวซูเกะกับศิษย์สำนักดาบรวมสามคนนำมาส่งให้มูซาชิเมื่อก่อนพลบค่ำและได้รับคำตอบรับกลับไปแล้วนั้น แจ้งมาสั้น ๆ ว่า
สถานที่...หลังวัดเร็งเงโออิน
เวลา...เก้านาฬิกา
เด็นชิจิโรรวมทั้งศิษย์สำนักดาบและหมู่ญาติเห็นพ้องต้องกันว่า ควรท้าประลองยุทธกับมูซาชิภายในค่ำคืนนี้ไม่ต้องรอจนถึงวันรุ่งขึ้น เพราะคาดเดาว่า
ขืนรีรออยู่ก็จะเป็นการให้โอกาสแก่ศัตรู ซึ่งถ้าปล่อยให้หลบหนีไปได้ในคราวนี้ ก็จะไม่ได้พบหน้ากันที่เกียวโตอีกเป็นแน่
และวางแผนการต่อสู้ในค่ำคืนนี้อย่างแยบยล
ที่ไม่เห็นหน้าโอตาคูโระ เฮียวซูเกะนั้นเป็นเพราะได้รับมอบหมายให้ไปด้อม ๆ มอง ๆ อยู่แถวบ้านของไฮยะ โชยูที่โฮริคาวะฟูนาบาชิ และเมื่อมูซาชิเคลื่อนไหวก็ให้สะกดรอยตามไม่ให้คลาดสายตา
“เอ๊ะ...นั่นใคร รู้สึกว่าจะมีใครมาก่อนเรานะ”
เด็นชิจิโรชะงัก เมื่อมองไกลออกไปเห็นใครกำลังก่อกองไฟอยู่บนพื้นหิมะใต้ชายคาด้านหลังวัดเร็งเงโออิน
“มิอิเกะกับอูเอดะละมัง”
“อะไรกัน สองคนนั่นถึงกับต้องมาเองเลยรึ”
เด็นชิจิโรทำหน้าไม่สบอารมณ์เมื่อได้ยินชื่อศิษย์เอกของสำนัก
“ข้าว่าเรามากันมากเกินไปแล้วสำหรับศัตรูเพียงคนเดียว ข้าไม่อยากเสียหน้าเพราะใคร ๆ ก็จะพูดกันว่าที่ปราบเจ้ามูซาชิได้ก็เพราะแห่กันมาเป็นกองทัพ”
“เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง พอได้เวลาประลองยุทธ์พวกข้าก็จะถอยออกไป”
ระเบียงโบสถ์ของวัดเร็งเงโออินยาวมากจนได้ชื่อว่าซันจูซันเก็นโดซึ่งเป็นวัดในเกียวโตที่มีชื่อเสียงจากการมีระเบียงยาวเป็นเอกลักษณ์ เหมาะที่สุดสำหรับการยิงธนูไม่ว่าจะเป็นวิถีการยิงหรือตำแหน่งที่ตั้งเป้า คนเริ่มมาฝึกซ้อมยิงธนูกันที่นี่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรเหมือนกัน แต่ตอนนี้กลายเป็นที่ที่คนนิยมมาซ้อมกันมากขึ้นเรื่อย ๆ
---ความเกี่ยวข้องกับวิถีแห่งการต่อสู้เช่นนี้จูงใจให้เด็นชิจิโรเลือกที่นี่เป็นสนามประลองยุทธ์กับมูซาชิ
พื้นลานวัดกว้างขวางซึ่งขณะนี้ปกคลุมไปด้วยหิมะบาง ๆ พองามนั้น ราบเรียบไม่เป็นหลุมเป็นบ่อ ไม่มีหญ้าขึ้นรก และไม่มีรากไม้ปูดโปนขึ้นมาให้สะดุด มีต้นสนอยู่บ้างตามบรรยากาศของวัดทั่ว ๆ ไปแต่ไม่ถึงกับเป็นป่าทึบ
“มากันแล้วรึ”
ศิษย์สำนักดาบที่มาถึงก่อนและก่อไฟรออยู่ ลุกขึ้นทักทันทีที่เด็นชิจิโรมาถึง
“คืนนี้หนาวมากจริง ๆ ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกมาก อาจารย์น้องเข้ามาผิงไฟให้ร่างกายอบอุ่นไว้ก่อนดีกว่า”
คนที่มาก่อกองไฟรอคือมิอิเกะ จูโรซาเอมอน กับอูเอดะ เรียวเฮ ศิษย์เอกทั้งสองจริงดังคาด
เด็นชิจิโรเดินเข้าไปนั่งแทนที่เรียวเฮโดยไม่พูดจาว่ากระไร ไม่บอกด้วยว่าได้เตรียมตัวมาพร้อมแล้วที่หน้าศาลเจ้ากิออง และพอนั่งลงได้ก็ยื่นมือทั้งสองออกไปอังเหนือกองไฟ นวดนิ้วพลางหักดังกร็อบ ๆ ทีละนิ้ว
“เรามาเร็วไปไหม”
แสงจากกองไฟฉาบฉายใบหน้าทำให้ดูคล้ายกำลังกระหายเลือด
“เมื่อกี้เราเดินผ่านร้านน้ำชามาใช่ไหม”
“รู้สึกว่าจะปิดเพราะหิมะตกนะท่าน”
“ปิดก็ไปเรียกให้เปิดสิ ใครก็ได้ไปขอซื้อเหล้าสาเกมาเร็ว”
“อะไรนะ ท่านจะดื่มสาเกรึ”
“ใช่ หนาวออกอย่างนี้ ก็ต้องสาเกน่ะซี”
เด็นชิจิโรกระเถิบเข้าไปนั่งยอง ๆ แทบจะชิดกับกองไฟ
ใคร ๆ ก็รู้ว่าเด็นชิจิโรร่ำสุราตั้งแต่เช้ายันเย็นแม้กระทั่งเวลาที่อยู่ในโรงฝึกวิชาดาบ กลิ่นเหล้าจึงไม่มีเวลาที่จะระเหยหายไปจากตัว แต่ในค่ำคืนเช่นนี้---ชั่วเวลาอันสั้นระหว่างที่คอยคู่ประลองยุทธ์ที่จะชี้ชะตาว่าหมู่ญาติและศิษย์จะอยู่หรือจะไปเช่นนี้ ไม่ใช่เวลากินเหล้าแน่นอน