นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โคเอ็ตสึเพลินอยู่กับสาว ๆ ส่วนไฮยะ โชยูนั้นพอนึกขึ้นมาได้ก็หันมาคะยั้นคะยอเจ้าหนุ่มนักดาบที่นั่งนิ่งอยู่เสียที
“มูซาชิ ไม่ดื่มรึ”
และพอเห็นว่าสาเกในจอกที่เข้าของวางไว้ตรงหน้าอย่างไม่แยแสจะเย็นชืดเสียเปล่าก็อดรนทนไม่ได้
“ดื่มเสียให้หมดจอกเถอะ ข้าจะได้เติมให้ สาว ๆ เพิ่งอุ่นมาร้อนกำลังดีเดี๋ยวนี้เอง”
เจ้าหนุ่มรับความหวังดีอย่างเสียไม่ได้แต่แล้วก็วางจอกทิ้งไว้ตามเดิม
จนหลายครั้งเข้าไฮยะ โชยูก็ชักเสียงแข็ง เอ๊ะ ยังไง แล้วหันไปบอกนางซูมิกิคุที่แอบอิงกันอยู่
“ช่วยรินสาเกให้คุณชายคนนี้หน่อยเถอะ คงต้องให้ผู้หญิงรินละมังจึงจะยอมดื่ม”
“ข้าดื่มอยู่”
มูซาชิปริปาก คิดว่าขืนเงียบอยู่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงคะยั้นคะยอไม่เลิก
“อะไรกันไม่เห็นจะพร่องเลย คนเขาอุตส่าห์มีน้ำใจรินให้ทั้งที”
“ต้องขออภัยที่ข้าออกจะอ่อนหัดไปหน่อย”
“ที่ว่าอ่อนหัดน่ะ น่าจะเป็นฝีมือดาบมากกว่าละมัง”
ไฮยะ โชยูประชดให้
“อาจใช่”
มูซาชิยิ้มที่มุมปาก
“ถ้าคิดว่าสุราเป็นอุปสรรคต่อการฝึกวิชาดาบ ดื่มแล้วสับสน สติสัมปชัญญะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดื่มสุราแล้วปัญญาทึบคิดอะไรไม่ปราดเปรื่อง บั่นทอนความเจริญของตัวเอง ก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นนักสู้ที่ไม่เอาไหน”
“ข้าไม่ได้มีอคติกับสุราถึงขนาดนั้น แต่ดื่มแล้วเดือดร้อนอยู่อย่างเดียว”
“อะไร ดื่มแล้วทำไม”
“คือดื่มสุราทีไรข้าง่วงนอนทุกที”
“โธ่เอ๋ย ไม่เห็นจะเป็นไร ง่วงก็นอนสิไม่เห็นจะเป็นไร ไม่มีใครเขาถือสา” ว่าแล้วก็หันไปทางพวกสาว ๆ
“คุณชายคนนี้บอกว่าไม่อยากดื่มเพราะกลัวว่าจะง่วง ข้าจะชวนดื่มต่อ พวกเจ้าคอยดูด้วยแล้วกันนะ ถ้าเห็นว่าจะหลับไปจริง ๆ ก็ช่วยพาไปนอนให้ที”
“เจ้าค่ะ” สาว ๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกันแล้วปิดปากหัวเราะคิกคัก
“ดีจริง แต่จะมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของใครดีล่ะ ท่านโคเอ็ตสึว่ายังไง ท่านคิดว่าท่านมูซาชิน่าจะชอบคนไหน”
“เอ ไม่รู้เหมือนกัน”
“ซูมิกิคุคนนี้เมียของข้าให้ไม่ได้ ถ้าให้โคโบซัตสึไปท่านต้องไม่เต็มใจแน่ คาราโคโตะก็ไม่เหมาะเพราะนางเองก็เข้ากับคนยากอยู่”
“ท่านฟูนาบาชิเจ้าคะ ก็คุณพี่โยชิโนะไง”
นางโลมรุ่นเด็กแนะให้
“ใช่ คนนี้แหละใช่เลย”
ไฮยะ โชยูตบเข่าดังฉาดด้วยความพอใจ
“คุณพี่โยชิโนะของเจ้าไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง แต่เอ๊ะ...ทำไมถึงยังไม่มาให้เห็นหน้าเลยล่ะ ข้าอยากให้คุณชายคนนี้เห็นหน้าเร็ว ๆ”
ซูมิกิคุได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า
“คุณพี่คนนี้ไม่เหมือนกับพวกเราหรอกเจ้าค่ะที่เรียกแล้วมาทันที เธอเป็นดาราดวงเด่นของสำนักเรา ใคร ๆ ก็อยากดื่มสาเกที่คุณพี่รินให้สักจอกหนึ่งกันทั้งนั้น จะให้มาเร็วดังใจคงไม่ได้”
“ไม่ละมัง ถ้าหล่อนรู้ว่าข้ามาแขกคนไหนก็รั้งเอาไว้ไม่ได้ ใครช่วยไปตามหล่อนมาที ด่วนเลยทีเดียว”
ไฮยะ โชยูยืดตัวขึ้นมองซ้ายมองขวาและพอเห็นสาวน้อยนั่งเล่นอยู่ข้างเตาผิงในห้องถัดไปจึงร้องถามว่า
“รินยะอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า”
“อยู่เจ้าค่ะ”
“รินยะ มานี่สิ เจ้าเป็นคนติดตามคุณพี่โยชิโนะไม่ใช่รึ เห็นข้าพาแขกมาแล้วทำไมไม่ไปพาคุณพี่มาหา ไปบอกเดี๋ยวนี้เลยนะว่าท่านฟูนาบาชิตั้งตาคอยอยู่ที่นี่ และถ้าเจ้าพามาได้ข้าจะให้รางวัล”
2
รินยะสาวน้อยอายุเพิ่งจะสิบหรือไม่ก็สิบเอ็ดแต่ก็มีเสน่ห์จับตาจับใจผู้พบเห็น มีแววว่าจะโตขึ้นเป็นสาวงามที่ทางสำนักคาดหวังว่าจะได้ครองตำแหน่งดาราดวงเด่นเป็นโยชิดะรุ่นที่สอง
“เข้าใจนะแม่สาวน้อย”
รินยะทำหน้าเหรอ ไม่ค่อยจะเข้าใจคำถามของไฮยะ โชยูเท่าไรนักแต่ก็ตอบรับว่า เจ้าค่ะ พร้อมพยักหน้าอย่างว่าง่ายทั้งที่ยังจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตากลมโต
ทันทีที่ก้าวออกมายืนบนระเบียงทางเดิน สาวน้อยก็ชะงักและร้องเรียกเพื่อน ๆ เสียงแหลม ซอยเท้าพร้อมตบมือไปด้วย
“อูนูเมะ ทามามิ อิโตโนซูเกะ ออกมานี่เร็ว”
สาวน้อยในห้องมองหน้ากัน คนหนึ่งร้องถามไปว่า
“อะไรเหรอ”
และพอออกไปยืนเรียงกันที่ระเบียงทางเดิน สาวน้อยทั้งกลุ่มก็ร้องกรี๊ดกร๊าด เต้นและตบมือไปกับรินยะ
พวกผู้ใหญ่ที่นั่งดื่มสาเกอยู่ในห้องได้ยินเสียงเอะอะด้วยความตื่นเต้นยินดีของสาวน้อยก็ชักอยากรู้ขึ้นมาบ้างว่สเกิดอะไรขึ้น
“เด็ก ๆ ดีใจอะไรกัน เปิดประตูออกไปดูทีรึ”
สาว ๆ ในห้องเลื่อนประตูบานซ้ายและขวาเปิดออกตามคำของไฮยะ โชยู แล้วก็ต้องอุทานออกมาเบา ๆ เป็นเสียงเดียวกัน
“อุ๊ยตาย หิมะตก”
“มิน่าถึงได้หนาวนัก”
ไฮยะ โชยูบ่น มูซาชิมองตามออกไปและเบิกตากลมโตด้วยความแปลกใจกับหิมะในช่วงนี้ของปี
หิมะหลงฤดูเกล็ดใหญ่ ๆ โปรยปรายลงมาเป็นสายราวลูกประคำอยู่ในความมืดนอกชายคา สาวน้อยทั้งสี่ยืนหันหลังเรียงกันเห็นปมผ้าคาดกิโมโนหลากสีสันอยู่ในฉากหน้า
“หลีกไป มายืนเกะกะอยู่ทำไม”
แม้จะถูกรุ่นพี่ดุ แต่เด็ก ๆ ก็ยังยืนเต้นอยู่ตรงนั้น
“ดีใจจัง”
ทุกคนตื่นตาตื่นใจกับหิมะจนลืมหน้าที่ลืมแขกกันไปหมด ระริกระรี้ราวกับจู่ ๆ ก็ได้เจอหน้าหนุ่มที่ตนหลงรัก
“ตกอย่างนี้หิมะจะทับถมกันสูงไหมนะ”
“นั่นซี เช้าพรุ่งนี้จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้”
“ยอดเขาฮิงาชิยามะจะต้องขาวโพลนแน่”
“เจดีย์วัดโทจิ คงขาวเลยนะเธอ”
“คินคาคุจิก็ด้วย”
“แล้วอีกาล่ะ”
“อีกาก็ขาวด้วย”
“บ้าสิ โกหกเรื่อยเลย เธอเนี่ย”
สาวน้อยแกล้งตีแขนเพื่อน และวิ่งไล่กันไปตามระเบียงทางเดินเลี้ยวไปทางนั้นทางนี้
ถ้าเป็นยามปกติไม่นานก็จะมีใครสักคนร้องไห้โฮออกมา แล้วพวกสาวน้อยก็จะเริ่มทะเลาะกัน แต่ไม่ใช่ครั้งนี้เพราะทุกคนวิ่งแข่งกันออกไปข้างนอกเพื่อเล่นหิมะกันให้สนุกตามประสาเด็ก
หิมะเอยหิมะ จะตกหนักหรือว่าโปรยปราย
แต่ท่านสมภารทำอะไรอยู่ถึงไม่สนใจ
กำลังสวดมนต์ หรือฉันหิมะเล่นกันแน่
รินยะสาวน้อยร้องเพลงเสียงใส อ้าปากรับเกล็ดหิมะอันเย็นเยียบ พลางกรีดนิ้วหยิบชายแขนเสื้อกิโมโนขึ้นมาและหมุนตัวร่ายรำอ่อนช้อยตามจังหวะเพลง
ผู้ใหญ่ในห้องลุกขึ้นมาดูรินยะสาวน้อยร่ายรำด้วยท่วงท่างดงามน่าเอ็นดูท่ามกลางหิมะ หลายคนทำท่าเสียวไส้เกรงว่าจะลื่นล้มลงไปเจ็บตัว
“พอแล้ว นางหนู”
“ขึ้นมาเถอะรินยะ ขึ้นมาเร็ว”
สาว ๆ รุ่นพี่เรียกพลางหัวเราะกันเป็นเรื่องสนุก
รินยะลืมจนสิ้นว่าไฮยะ โชยูแขกคนสำคัญใช้ให้ไปตามคุณพี่โยชิโนะ สาวน้อยร้องรำไม่หยุดจนหญิงรับใช้ต้องเข้าไปอุ้มเหมือนเด็กทารกหายไปทางโน้น
3
เมื่อคนที่รับคำสั่งจากแขกคนสำคัญเป็นไปเสียอย่างนั้น สาวรุ่นพี่คนหนึ่งจึงขยับตัวลุกขึ้นไปดูคุณพี่โยชิโนะแทนเพราะเกรงว่าท่านฟูนาบาชิของพวกหล่อนจะไม่พอใจ
“ได้คำตอบมาแล้วเจ้าค่ะ”
ไฮยะ โชยูเพลินชมสาวน้อยจนลืมไปแล้ว จึงขมวดคิ้วถามว่า
“คำตอบอะไรรึ””
“อ้าว ก็คุณพี่โยชิโนะยังไงล่ะเจ้าค่ะ”
“อ๋อ เออ...แล้วคุณพี่เขาว่ายังไง จะมาไหม”
“คุณพี่บอกว่ามาแน่เจ้าค่ะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่...”
“แต่อะไร”
“แต่จะให้มาเดี๋ยวนี้คงไม่ได้ และบอกด้วยว่าคุณพี่ไม่รู้จักท่านเจ้าค่ะ”
“ว่าไงนะ ไม่รู้จักข้างั้นรึ”
ไฮยะ โชยูเดือดดาลขึ้นมาทันที
“ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นข้าเข้าใจ แต่นางคือโยชิโนะแห่งโองิยะ จะมาปฏิเสธข้าต่อหน้าแขกคนอื่นด้วยคำพูดเช่นนั้นข้ารับไม่ได้ อ้อ...เดี๋ยวนี้โยชิโยะกลายเป็นผู้หญิงที่ซื้อได้ด้วยเงินไปอีกคนหนึ่งแล้วอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าค่ะ ท่านลูกค้าคนนั้นดื้อมาก ยิ่งคุณพี่ทำท่าว่าจะทิ้งมาท่านก็ยิ่งดึงรั้งเอาไว้ไม่ยอมปล่อย”
“คนที่ใช้เงินซื้ออะไรเอาไว้ก็เป็นทุกคนอย่างนี้แหละ ว่าแต่ท่านลูกค้าหัวดื้อคนนี้คือใครกัน”
“ท่านคันงังเจ้าค่ะ”
“คังงังรึ”
ไฮยะ โชยูยิ้มขื่น ๆ หันไปทางโคเอ็ตสึ ก็เห็นกำลังยิ้มขื่น ๆ อยู่เช่นกัน
“ท่านคันงังมาคนเดียวรึ”
“เปล่าเจ้าค่ะ คือ...”
“มากับคนที่มาด้วยกันเสมอละซี”
“เจ้าค่ะ”
ไฮยะ โชยูตบเข่าดังฉาดอีก
“สนุกละทีนี้ สุราก็แล้ว หิมะก็แล้ว อย่างนี้ถ้าได้คุณพี่โยชิโนะมาอีกคนก็เป็นอันว่าครบเครื่อง ท่านโคเอ็ตสึช่วยจัดการด่วนเลย...แม่หนู อยู่ตรงนั้นหยิบแท่นฝนหมึกมาที”
พอได้มาแล้วก็เลื่อนไปตรงหน้าโคเอ็ตสึพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง
“จะให้ข้าเขียนอะไร”
“แล้วแต่ จะเขียนเป็นร้อยแก้วร้อยกรองก็ได้ทั้งนั้น แต่เอ...ข้าว่าบทกวีดีกว่านะเพราะคนรับก็เป็นกวีฝีปากเอกคนหนึ่ง”
“ยากแล้วละ คือจะให้ข้าเขียนบทกวีขอร้องให้เขาปล่อยคุณพี่โยชิโนะมาที่นี่ใช่ไหม”
“ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ”
“สำหรับท่านผู้นี้ถ้าไม่ใช่บทกวีที่มีชื่อจริง ๆ ก็คงทำให้เปลี่ยนใจได้ยาก แต่อยู่ ๆ จะให้ข้านึกบทกวีมีขึ้นมาเดี๋ยวนี้คงไม่ได้ ท่านร่ายเพลงยาวไปเองไม่ดีกว่ารึ”
“ไม่ต้องหนีเลยท่าน ไม่เป็นไร งั้นเอาอย่างนี้”
ว่าแล้วไฮยะ โชยูก็ฉวยพู่กันขึ้นมา
ขอต้นซากุระสักต้นจากโยชิโนะ
มาเป็นเกียรติเป็นศรี
แก่กระท่อมน้อยของเรา
โคเอ็ตสึอ่านแล้วชอบใจบอกว่า
“ข้าจะต่อให้จบเอง”
เพราะเมฆเหนือยอดไม้หรือไร
ดอกไม้จึงหนาวสั่นเยี่ยงนี้
ไฮยะ โชยูชะโงกหน้าเข้ามาดู ดวงตาเป็นประกายด้วยความยินดี
“เยี่ยมมากท่านเพราะเมฆเหนือยอดไม้หรือไร ดอกไม้จึงหนาวสั่นเยี่ยงนี้ อืม...ท่านผู้อยู่เหนือเมฆอ่านแล้วคงอึ้งเลยละ”
ว่าแล้วก็จัดการพับส่งให้ซูมิกิคุและบอกอย่างเอาการเอางานว่า
“จะใช้พวกสาวน้อยหรือคนอื่น ๆ คงไม่เหมาะ เจ้าช่วยเอาไปส่งให้ถึงมือท่านคันงังทีเถอะ”
คังงังที่หมายถึงความแข็งแกร่งราวหินผาเป็นชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการของคาราซูมารุ มิตซูฮิโระลูกชายของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนัก ส่วนผู้ติดตามไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอคือ โทกูไดจิ ซาเนฮิซะ, คาซันโนะอิน ทาดานางะ, โออิมิคาโดะ โยริกูนิ, อาซูกาอิ มาซากาตะ เป็นต้น แต่ละคนล้วนเป็นขุนน้ำขุนนางกันทั้งนั้น
4
ไม่นานซูมิกิคุก็นำจดหมายตอบกลับมา
“จดหมายตอบจากท่านคันงังเจ้าค่ะ”
นางเลื่อนกล่องจดหมายมาตรงหน้าไฮยะ โชยูและโคเอ็ตสึ
“โอ้โฮ พิธีรีตรองมากเลยนะนี่”
ไฮยะ โชยูหัวเราะหึหึแล้วสบตากับโคเอ็ตสึ
“เราเขียนไปเย้าเล่นแท้ ๆ ไม่คิดว่าจะมาเป็นกล่องแบบนี้”
“ทางโน้นคงไม่คิดว่าคืนนี้เราก็มาเหมือนกัน และต้องตกใจแน่ที่อยู่ ๆ ก็ได้จดหมายจากเรา”
ไฮยะ โชยูยังสนุกอยู่ อยากรู้นักว่าจะได้คำตอบว่าอย่างไรจึงเปิดกล่องจดหมายออกดู แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นมีกระดาษเปล่า ๆ อยู่ในนั้นแผ่นเดียว
“เอ๊ะ...อะไรกันเนี่ย”
อุทานพลางมองไปรอบ ๆ ตัวเผื่อว่าจดหมายอาจปลิวตกลงไปที่ตักหรือยังไง แล้วมองลงไปในกล่องให้แน่ใจอีกครั้ง แต่ก็เห็นแค่กระดาษเปล่าแผ่นเดียวนั้นเอง
“ซูมิกิคุ”
“เจ้าขา”
“นี่มันอะไรกัน”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านคันงังแค่ส่งกล่องนี้ให้บอกว่าเอาคำตอบกลับไป และข้าก็เอามาให้ท่านเท่านั้นเอง”
“ส่งกระดาษเปล่ามางั้นรึ จงใจจะหยามน้ำหน้ากันหรือยังไง...ไม่ใช่ซี บทกวีของเราจะคมคายเกินไปจนไม่มีปัญญาเขียนตอบต่างหาก งั้นกระดาษเปล่าก็หมายความว่ายอมแพ้ใช่ไหม”
ไฮยะ โชยูตีความแบบเอาดีเข้าตัวตามนิสัยแต่ก็ยังไม่แน่ใจนักจึงต้องขอความเห็นจากโคเอ็ตสึ
“ตอบมาแบบนี้ ท่านคิดว่ายังไง”
“ข้าว่า ทางโน้นคงอยากให้เราอ่านดูละมัง”
“ท่านก็เห็นว่าเขาส่งกระดาษเปล่ามา แล้วจะให้อ่านเอาความได้ยังไง”
“ไม่นะท่าน ถ้าเราจะอ่านจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรที่เราจะอ่านไม่ได้ความ”
“ถ้างั้น ท่านโคเอ็ตสึอ่านจดหมายฉบับนี้ได้ความว่ายังไง”
“---หิมะ หิมะปกคลุมขาวโพลนไปทั่วทุกหนแห่ง พอจะอ่านได้ว่าอย่างนี้ละมัง”
“หือ? อืม...หิมะ เข้าใจละ”
“จดหมายของเราขอให้เขาส่งดอกซากุระแห่งโยชิโนะมาทางนี้ใช่ไหม ดังนั้นจึงอ่านคำตอบนี้ได้ว่าหากมองคำตอบของเรานี้พลางดื่มสาเกแล้วละก็ ไม่ต้องมีดอกไม้ก็ได้ หมายความว่าคืนนี้หิมะหลงฤดูโปรยปรายลงมาให้ชมราวพรสวรรค์เป็นพิเศษเช่นนี้แล้วจะปรารถนาอะไรให้มากไปกว่านี้ เปิดประตูออกไปชมหิมะและดื่มสาเกก็สุโขพอแล้ว...ข้าคิดว่านั่นแหละคือคำตอบของท่านคันงัง”
“ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
ไฮยะ โชยูสะบัดหน้าด้วยความขัดเคือง
“จะให้นั่งหนาวสั่นดื่มสาเกอยู่ได้ยังไง ถ้าทางโน้นเล่นอย่างนี้ ข้าก็คงนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ข้าต้องเอาตัวโยชิโนะมาที่ห้องนี้ให้ได้”
ไฮยะ โชยูฮึกเหิมขึ้นมาทันที เลียริมฝีปากที่แห้งผากอยู่ดวงตาเป็นประกายเตรียมเอาเรื่องเต็มที่ นี่ขนาดอายุมากแล้วยังคึกได้ขนาดนี้ สมัยหนุ่ม ๆ คงจะคะนองอย่างชนิดที่ไม่มีใครเอาอยู่เลยทีเดียว
โคเอ็ตสึพยายามปลอบโยนให้ทำใจเย็น ๆ เดี๋ยวหล่อนก็มาเอง แต่ไฮยะ โชยูเลือดเดือดเกินกว่าจะฟัง หันไปเอะอะเอากับพวกสาว ๆ ให้คนนั้นคนนี้ไปเอาตัวแม่โฉมงามโยชิโนะมาให้ได้ ความที่แขกคนสำคัญมัวแต่วุ่นอยู่กับเรื่องคุณพี่โยชิโนะ บรรดาสาวย้อยก็เลยสบายไปไม่ต้องคอยวิ่งวุ่นหาสาเกหากับแกล้ม ก็เลยเล่นกันสนุกหัวเราะกันกลิ้งอยู่ข้างเตาผิงนั้นเอง
มูซาชิได้โอกาสเหมาะที่จะแวบออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น จึงลุกขึ้นช้า ๆ
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
โคเอ็ตสึเพลินอยู่กับสาว ๆ ส่วนไฮยะ โชยูนั้นพอนึกขึ้นมาได้ก็หันมาคะยั้นคะยอเจ้าหนุ่มนักดาบที่นั่งนิ่งอยู่เสียที
“มูซาชิ ไม่ดื่มรึ”
และพอเห็นว่าสาเกในจอกที่เข้าของวางไว้ตรงหน้าอย่างไม่แยแสจะเย็นชืดเสียเปล่าก็อดรนทนไม่ได้
“ดื่มเสียให้หมดจอกเถอะ ข้าจะได้เติมให้ สาว ๆ เพิ่งอุ่นมาร้อนกำลังดีเดี๋ยวนี้เอง”
เจ้าหนุ่มรับความหวังดีอย่างเสียไม่ได้แต่แล้วก็วางจอกทิ้งไว้ตามเดิม
จนหลายครั้งเข้าไฮยะ โชยูก็ชักเสียงแข็ง เอ๊ะ ยังไง แล้วหันไปบอกนางซูมิกิคุที่แอบอิงกันอยู่
“ช่วยรินสาเกให้คุณชายคนนี้หน่อยเถอะ คงต้องให้ผู้หญิงรินละมังจึงจะยอมดื่ม”
“ข้าดื่มอยู่”
มูซาชิปริปาก คิดว่าขืนเงียบอยู่อย่างนั้นอีกฝ่ายก็คงคะยั้นคะยอไม่เลิก
“อะไรกันไม่เห็นจะพร่องเลย คนเขาอุตส่าห์มีน้ำใจรินให้ทั้งที”
“ต้องขออภัยที่ข้าออกจะอ่อนหัดไปหน่อย”
“ที่ว่าอ่อนหัดน่ะ น่าจะเป็นฝีมือดาบมากกว่าละมัง”
ไฮยะ โชยูประชดให้
“อาจใช่”
มูซาชิยิ้มที่มุมปาก
“ถ้าคิดว่าสุราเป็นอุปสรรคต่อการฝึกวิชาดาบ ดื่มแล้วสับสน สติสัมปชัญญะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ดื่มสุราแล้วปัญญาทึบคิดอะไรไม่ปราดเปรื่อง บั่นทอนความเจริญของตัวเอง ก็เท่ากับว่าเจ้าเป็นนักสู้ที่ไม่เอาไหน”
“ข้าไม่ได้มีอคติกับสุราถึงขนาดนั้น แต่ดื่มแล้วเดือดร้อนอยู่อย่างเดียว”
“อะไร ดื่มแล้วทำไม”
“คือดื่มสุราทีไรข้าง่วงนอนทุกที”
“โธ่เอ๋ย ไม่เห็นจะเป็นไร ง่วงก็นอนสิไม่เห็นจะเป็นไร ไม่มีใครเขาถือสา” ว่าแล้วก็หันไปทางพวกสาว ๆ
“คุณชายคนนี้บอกว่าไม่อยากดื่มเพราะกลัวว่าจะง่วง ข้าจะชวนดื่มต่อ พวกเจ้าคอยดูด้วยแล้วกันนะ ถ้าเห็นว่าจะหลับไปจริง ๆ ก็ช่วยพาไปนอนให้ที”
“เจ้าค่ะ” สาว ๆ ตอบเป็นเสียงเดียวกันแล้วปิดปากหัวเราะคิกคัก
“ดีจริง แต่จะมอบหมายให้เป็นหน้าที่ของใครดีล่ะ ท่านโคเอ็ตสึว่ายังไง ท่านคิดว่าท่านมูซาชิน่าจะชอบคนไหน”
“เอ ไม่รู้เหมือนกัน”
“ซูมิกิคุคนนี้เมียของข้าให้ไม่ได้ ถ้าให้โคโบซัตสึไปท่านต้องไม่เต็มใจแน่ คาราโคโตะก็ไม่เหมาะเพราะนางเองก็เข้ากับคนยากอยู่”
“ท่านฟูนาบาชิเจ้าคะ ก็คุณพี่โยชิโนะไง”
นางโลมรุ่นเด็กแนะให้
“ใช่ คนนี้แหละใช่เลย”
ไฮยะ โชยูตบเข่าดังฉาดด้วยความพอใจ
“คุณพี่โยชิโนะของเจ้าไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง แต่เอ๊ะ...ทำไมถึงยังไม่มาให้เห็นหน้าเลยล่ะ ข้าอยากให้คุณชายคนนี้เห็นหน้าเร็ว ๆ”
ซูมิกิคุได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า
“คุณพี่คนนี้ไม่เหมือนกับพวกเราหรอกเจ้าค่ะที่เรียกแล้วมาทันที เธอเป็นดาราดวงเด่นของสำนักเรา ใคร ๆ ก็อยากดื่มสาเกที่คุณพี่รินให้สักจอกหนึ่งกันทั้งนั้น จะให้มาเร็วดังใจคงไม่ได้”
“ไม่ละมัง ถ้าหล่อนรู้ว่าข้ามาแขกคนไหนก็รั้งเอาไว้ไม่ได้ ใครช่วยไปตามหล่อนมาที ด่วนเลยทีเดียว”
ไฮยะ โชยูยืดตัวขึ้นมองซ้ายมองขวาและพอเห็นสาวน้อยนั่งเล่นอยู่ข้างเตาผิงในห้องถัดไปจึงร้องถามว่า
“รินยะอยู่ตรงนั้นหรือเปล่า”
“อยู่เจ้าค่ะ”
“รินยะ มานี่สิ เจ้าเป็นคนติดตามคุณพี่โยชิโนะไม่ใช่รึ เห็นข้าพาแขกมาแล้วทำไมไม่ไปพาคุณพี่มาหา ไปบอกเดี๋ยวนี้เลยนะว่าท่านฟูนาบาชิตั้งตาคอยอยู่ที่นี่ และถ้าเจ้าพามาได้ข้าจะให้รางวัล”
2
รินยะสาวน้อยอายุเพิ่งจะสิบหรือไม่ก็สิบเอ็ดแต่ก็มีเสน่ห์จับตาจับใจผู้พบเห็น มีแววว่าจะโตขึ้นเป็นสาวงามที่ทางสำนักคาดหวังว่าจะได้ครองตำแหน่งดาราดวงเด่นเป็นโยชิดะรุ่นที่สอง
“เข้าใจนะแม่สาวน้อย”
รินยะทำหน้าเหรอ ไม่ค่อยจะเข้าใจคำถามของไฮยะ โชยูเท่าไรนักแต่ก็ตอบรับว่า เจ้าค่ะ พร้อมพยักหน้าอย่างว่าง่ายทั้งที่ยังจ้องมองอีกฝ่ายด้วยดวงตากลมโต
ทันทีที่ก้าวออกมายืนบนระเบียงทางเดิน สาวน้อยก็ชะงักและร้องเรียกเพื่อน ๆ เสียงแหลม ซอยเท้าพร้อมตบมือไปด้วย
“อูนูเมะ ทามามิ อิโตโนซูเกะ ออกมานี่เร็ว”
สาวน้อยในห้องมองหน้ากัน คนหนึ่งร้องถามไปว่า
“อะไรเหรอ”
และพอออกไปยืนเรียงกันที่ระเบียงทางเดิน สาวน้อยทั้งกลุ่มก็ร้องกรี๊ดกร๊าด เต้นและตบมือไปกับรินยะ
พวกผู้ใหญ่ที่นั่งดื่มสาเกอยู่ในห้องได้ยินเสียงเอะอะด้วยความตื่นเต้นยินดีของสาวน้อยก็ชักอยากรู้ขึ้นมาบ้างว่สเกิดอะไรขึ้น
“เด็ก ๆ ดีใจอะไรกัน เปิดประตูออกไปดูทีรึ”
สาว ๆ ในห้องเลื่อนประตูบานซ้ายและขวาเปิดออกตามคำของไฮยะ โชยู แล้วก็ต้องอุทานออกมาเบา ๆ เป็นเสียงเดียวกัน
“อุ๊ยตาย หิมะตก”
“มิน่าถึงได้หนาวนัก”
ไฮยะ โชยูบ่น มูซาชิมองตามออกไปและเบิกตากลมโตด้วยความแปลกใจกับหิมะในช่วงนี้ของปี
หิมะหลงฤดูเกล็ดใหญ่ ๆ โปรยปรายลงมาเป็นสายราวลูกประคำอยู่ในความมืดนอกชายคา สาวน้อยทั้งสี่ยืนหันหลังเรียงกันเห็นปมผ้าคาดกิโมโนหลากสีสันอยู่ในฉากหน้า
“หลีกไป มายืนเกะกะอยู่ทำไม”
แม้จะถูกรุ่นพี่ดุ แต่เด็ก ๆ ก็ยังยืนเต้นอยู่ตรงนั้น
“ดีใจจัง”
ทุกคนตื่นตาตื่นใจกับหิมะจนลืมหน้าที่ลืมแขกกันไปหมด ระริกระรี้ราวกับจู่ ๆ ก็ได้เจอหน้าหนุ่มที่ตนหลงรัก
“ตกอย่างนี้หิมะจะทับถมกันสูงไหมนะ”
“นั่นซี เช้าพรุ่งนี้จะเป็นไงมั่งก็ไม่รู้”
“ยอดเขาฮิงาชิยามะจะต้องขาวโพลนแน่”
“เจดีย์วัดโทจิ คงขาวเลยนะเธอ”
“คินคาคุจิก็ด้วย”
“แล้วอีกาล่ะ”
“อีกาก็ขาวด้วย”
“บ้าสิ โกหกเรื่อยเลย เธอเนี่ย”
สาวน้อยแกล้งตีแขนเพื่อน และวิ่งไล่กันไปตามระเบียงทางเดินเลี้ยวไปทางนั้นทางนี้
ถ้าเป็นยามปกติไม่นานก็จะมีใครสักคนร้องไห้โฮออกมา แล้วพวกสาวน้อยก็จะเริ่มทะเลาะกัน แต่ไม่ใช่ครั้งนี้เพราะทุกคนวิ่งแข่งกันออกไปข้างนอกเพื่อเล่นหิมะกันให้สนุกตามประสาเด็ก
หิมะเอยหิมะ จะตกหนักหรือว่าโปรยปราย
แต่ท่านสมภารทำอะไรอยู่ถึงไม่สนใจ
กำลังสวดมนต์ หรือฉันหิมะเล่นกันแน่
รินยะสาวน้อยร้องเพลงเสียงใส อ้าปากรับเกล็ดหิมะอันเย็นเยียบ พลางกรีดนิ้วหยิบชายแขนเสื้อกิโมโนขึ้นมาและหมุนตัวร่ายรำอ่อนช้อยตามจังหวะเพลง
ผู้ใหญ่ในห้องลุกขึ้นมาดูรินยะสาวน้อยร่ายรำด้วยท่วงท่างดงามน่าเอ็นดูท่ามกลางหิมะ หลายคนทำท่าเสียวไส้เกรงว่าจะลื่นล้มลงไปเจ็บตัว
“พอแล้ว นางหนู”
“ขึ้นมาเถอะรินยะ ขึ้นมาเร็ว”
สาว ๆ รุ่นพี่เรียกพลางหัวเราะกันเป็นเรื่องสนุก
รินยะลืมจนสิ้นว่าไฮยะ โชยูแขกคนสำคัญใช้ให้ไปตามคุณพี่โยชิโนะ สาวน้อยร้องรำไม่หยุดจนหญิงรับใช้ต้องเข้าไปอุ้มเหมือนเด็กทารกหายไปทางโน้น
3
เมื่อคนที่รับคำสั่งจากแขกคนสำคัญเป็นไปเสียอย่างนั้น สาวรุ่นพี่คนหนึ่งจึงขยับตัวลุกขึ้นไปดูคุณพี่โยชิโนะแทนเพราะเกรงว่าท่านฟูนาบาชิของพวกหล่อนจะไม่พอใจ
“ได้คำตอบมาแล้วเจ้าค่ะ”
ไฮยะ โชยูเพลินชมสาวน้อยจนลืมไปแล้ว จึงขมวดคิ้วถามว่า
“คำตอบอะไรรึ””
“อ้าว ก็คุณพี่โยชิโนะยังไงล่ะเจ้าค่ะ”
“อ๋อ เออ...แล้วคุณพี่เขาว่ายังไง จะมาไหม”
“คุณพี่บอกว่ามาแน่เจ้าค่ะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่...”
“แต่อะไร”
“แต่จะให้มาเดี๋ยวนี้คงไม่ได้ และบอกด้วยว่าคุณพี่ไม่รู้จักท่านเจ้าค่ะ”
“ว่าไงนะ ไม่รู้จักข้างั้นรึ”
ไฮยะ โชยูเดือดดาลขึ้นมาทันที
“ถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นข้าเข้าใจ แต่นางคือโยชิโนะแห่งโองิยะ จะมาปฏิเสธข้าต่อหน้าแขกคนอื่นด้วยคำพูดเช่นนั้นข้ารับไม่ได้ อ้อ...เดี๋ยวนี้โยชิโยะกลายเป็นผู้หญิงที่ซื้อได้ด้วยเงินไปอีกคนหนึ่งแล้วอย่างนั้นรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะเจ้าค่ะ ท่านลูกค้าคนนั้นดื้อมาก ยิ่งคุณพี่ทำท่าว่าจะทิ้งมาท่านก็ยิ่งดึงรั้งเอาไว้ไม่ยอมปล่อย”
“คนที่ใช้เงินซื้ออะไรเอาไว้ก็เป็นทุกคนอย่างนี้แหละ ว่าแต่ท่านลูกค้าหัวดื้อคนนี้คือใครกัน”
“ท่านคันงังเจ้าค่ะ”
“คังงังรึ”
ไฮยะ โชยูยิ้มขื่น ๆ หันไปทางโคเอ็ตสึ ก็เห็นกำลังยิ้มขื่น ๆ อยู่เช่นกัน
“ท่านคันงังมาคนเดียวรึ”
“เปล่าเจ้าค่ะ คือ...”
“มากับคนที่มาด้วยกันเสมอละซี”
“เจ้าค่ะ”
ไฮยะ โชยูตบเข่าดังฉาดอีก
“สนุกละทีนี้ สุราก็แล้ว หิมะก็แล้ว อย่างนี้ถ้าได้คุณพี่โยชิโนะมาอีกคนก็เป็นอันว่าครบเครื่อง ท่านโคเอ็ตสึช่วยจัดการด่วนเลย...แม่หนู อยู่ตรงนั้นหยิบแท่นฝนหมึกมาที”
พอได้มาแล้วก็เลื่อนไปตรงหน้าโคเอ็ตสึพร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง
“จะให้ข้าเขียนอะไร”
“แล้วแต่ จะเขียนเป็นร้อยแก้วร้อยกรองก็ได้ทั้งนั้น แต่เอ...ข้าว่าบทกวีดีกว่านะเพราะคนรับก็เป็นกวีฝีปากเอกคนหนึ่ง”
“ยากแล้วละ คือจะให้ข้าเขียนบทกวีขอร้องให้เขาปล่อยคุณพี่โยชิโนะมาที่นี่ใช่ไหม”
“ก็จะอะไรเสียอีกล่ะ”
“สำหรับท่านผู้นี้ถ้าไม่ใช่บทกวีที่มีชื่อจริง ๆ ก็คงทำให้เปลี่ยนใจได้ยาก แต่อยู่ ๆ จะให้ข้านึกบทกวีมีขึ้นมาเดี๋ยวนี้คงไม่ได้ ท่านร่ายเพลงยาวไปเองไม่ดีกว่ารึ”
“ไม่ต้องหนีเลยท่าน ไม่เป็นไร งั้นเอาอย่างนี้”
ว่าแล้วไฮยะ โชยูก็ฉวยพู่กันขึ้นมา
ขอต้นซากุระสักต้นจากโยชิโนะ
มาเป็นเกียรติเป็นศรี
แก่กระท่อมน้อยของเรา
โคเอ็ตสึอ่านแล้วชอบใจบอกว่า
“ข้าจะต่อให้จบเอง”
เพราะเมฆเหนือยอดไม้หรือไร
ดอกไม้จึงหนาวสั่นเยี่ยงนี้
ไฮยะ โชยูชะโงกหน้าเข้ามาดู ดวงตาเป็นประกายด้วยความยินดี
“เยี่ยมมากท่านเพราะเมฆเหนือยอดไม้หรือไร ดอกไม้จึงหนาวสั่นเยี่ยงนี้ อืม...ท่านผู้อยู่เหนือเมฆอ่านแล้วคงอึ้งเลยละ”
ว่าแล้วก็จัดการพับส่งให้ซูมิกิคุและบอกอย่างเอาการเอางานว่า
“จะใช้พวกสาวน้อยหรือคนอื่น ๆ คงไม่เหมาะ เจ้าช่วยเอาไปส่งให้ถึงมือท่านคันงังทีเถอะ”
คังงังที่หมายถึงความแข็งแกร่งราวหินผาเป็นชื่อเรียกอย่างไม่เป็นทางการของคาราซูมารุ มิตซูฮิโระลูกชายของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนัก ส่วนผู้ติดตามไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เสมอคือ โทกูไดจิ ซาเนฮิซะ, คาซันโนะอิน ทาดานางะ, โออิมิคาโดะ โยริกูนิ, อาซูกาอิ มาซากาตะ เป็นต้น แต่ละคนล้วนเป็นขุนน้ำขุนนางกันทั้งนั้น
4
ไม่นานซูมิกิคุก็นำจดหมายตอบกลับมา
“จดหมายตอบจากท่านคันงังเจ้าค่ะ”
นางเลื่อนกล่องจดหมายมาตรงหน้าไฮยะ โชยูและโคเอ็ตสึ
“โอ้โฮ พิธีรีตรองมากเลยนะนี่”
ไฮยะ โชยูหัวเราะหึหึแล้วสบตากับโคเอ็ตสึ
“เราเขียนไปเย้าเล่นแท้ ๆ ไม่คิดว่าจะมาเป็นกล่องแบบนี้”
“ทางโน้นคงไม่คิดว่าคืนนี้เราก็มาเหมือนกัน และต้องตกใจแน่ที่อยู่ ๆ ก็ได้จดหมายจากเรา”
ไฮยะ โชยูยังสนุกอยู่ อยากรู้นักว่าจะได้คำตอบว่าอย่างไรจึงเปิดกล่องจดหมายออกดู แล้วก็ต้องเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจเมื่อเห็นมีกระดาษเปล่า ๆ อยู่ในนั้นแผ่นเดียว
“เอ๊ะ...อะไรกันเนี่ย”
อุทานพลางมองไปรอบ ๆ ตัวเผื่อว่าจดหมายอาจปลิวตกลงไปที่ตักหรือยังไง แล้วมองลงไปในกล่องให้แน่ใจอีกครั้ง แต่ก็เห็นแค่กระดาษเปล่าแผ่นเดียวนั้นเอง
“ซูมิกิคุ”
“เจ้าขา”
“นี่มันอะไรกัน”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ท่านคันงังแค่ส่งกล่องนี้ให้บอกว่าเอาคำตอบกลับไป และข้าก็เอามาให้ท่านเท่านั้นเอง”
“ส่งกระดาษเปล่ามางั้นรึ จงใจจะหยามน้ำหน้ากันหรือยังไง...ไม่ใช่ซี บทกวีของเราจะคมคายเกินไปจนไม่มีปัญญาเขียนตอบต่างหาก งั้นกระดาษเปล่าก็หมายความว่ายอมแพ้ใช่ไหม”
ไฮยะ โชยูตีความแบบเอาดีเข้าตัวตามนิสัยแต่ก็ยังไม่แน่ใจนักจึงต้องขอความเห็นจากโคเอ็ตสึ
“ตอบมาแบบนี้ ท่านคิดว่ายังไง”
“ข้าว่า ทางโน้นคงอยากให้เราอ่านดูละมัง”
“ท่านก็เห็นว่าเขาส่งกระดาษเปล่ามา แล้วจะให้อ่านเอาความได้ยังไง”
“ไม่นะท่าน ถ้าเราจะอ่านจริง ๆ ก็ไม่มีอะไรที่เราจะอ่านไม่ได้ความ”
“ถ้างั้น ท่านโคเอ็ตสึอ่านจดหมายฉบับนี้ได้ความว่ายังไง”
“---หิมะ หิมะปกคลุมขาวโพลนไปทั่วทุกหนแห่ง พอจะอ่านได้ว่าอย่างนี้ละมัง”
“หือ? อืม...หิมะ เข้าใจละ”
“จดหมายของเราขอให้เขาส่งดอกซากุระแห่งโยชิโนะมาทางนี้ใช่ไหม ดังนั้นจึงอ่านคำตอบนี้ได้ว่าหากมองคำตอบของเรานี้พลางดื่มสาเกแล้วละก็ ไม่ต้องมีดอกไม้ก็ได้ หมายความว่าคืนนี้หิมะหลงฤดูโปรยปรายลงมาให้ชมราวพรสวรรค์เป็นพิเศษเช่นนี้แล้วจะปรารถนาอะไรให้มากไปกว่านี้ เปิดประตูออกไปชมหิมะและดื่มสาเกก็สุโขพอแล้ว...ข้าคิดว่านั่นแหละคือคำตอบของท่านคันงัง”
“ข้าไม่เอาด้วยหรอก”
ไฮยะ โชยูสะบัดหน้าด้วยความขัดเคือง
“จะให้นั่งหนาวสั่นดื่มสาเกอยู่ได้ยังไง ถ้าทางโน้นเล่นอย่างนี้ ข้าก็คงนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ข้าต้องเอาตัวโยชิโนะมาที่ห้องนี้ให้ได้”
ไฮยะ โชยูฮึกเหิมขึ้นมาทันที เลียริมฝีปากที่แห้งผากอยู่ดวงตาเป็นประกายเตรียมเอาเรื่องเต็มที่ นี่ขนาดอายุมากแล้วยังคึกได้ขนาดนี้ สมัยหนุ่ม ๆ คงจะคะนองอย่างชนิดที่ไม่มีใครเอาอยู่เลยทีเดียว
โคเอ็ตสึพยายามปลอบโยนให้ทำใจเย็น ๆ เดี๋ยวหล่อนก็มาเอง แต่ไฮยะ โชยูเลือดเดือดเกินกว่าจะฟัง หันไปเอะอะเอากับพวกสาว ๆ ให้คนนั้นคนนี้ไปเอาตัวแม่โฉมงามโยชิโนะมาให้ได้ ความที่แขกคนสำคัญมัวแต่วุ่นอยู่กับเรื่องคุณพี่โยชิโนะ บรรดาสาวย้อยก็เลยสบายไปไม่ต้องคอยวิ่งวุ่นหาสาเกหากับแกล้ม ก็เลยเล่นกันสนุกหัวเราะกันกลิ้งอยู่ข้างเตาผิงนั้นเอง
มูซาชิได้โอกาสเหมาะที่จะแวบออกไปโดยไม่มีใครสังเกตเห็น จึงลุกขึ้นช้า ๆ