นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“ท่านโคเอ็ตสึกับท่านแม่ไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะถูกคนเหล่านั้นทำร้าย เพราะข้ารู้ดีว่าคนพวกนั้นมุ่งมาหาเรื่องกับข้า”
“คงจะอย่างนั้นละมังเพราะเมื่อวานซืนช่างของเราก็มาบอกว่ามีนักดาบคนหนึ่ง หน้าเหี้ยมตาเข้มคมราวกับนกเหยี่ยวมาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่แถวซุ้มประตูรั้ว บางเวลาก็มองเข้ามาข้างใน บางเวลาก็เข้าไปทางซอยข้างบ้านแล้วลอบมองผ่านเรือนชงชาไปทางห้องที่ท่านมูซาชิพักอยู่”
“คงเป็นพวกโยชิโอกะ”
“ข้าก็คิดอย่างนั้น”
โคเอ็ตสึพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนหันไปถามคนรับใช้
“วันนี้ คนพวกนั้นมาเจรจาว่ากระไร”
คนรับใช้ตอบปากคอสั่นว่า
“คืออย่างนี้ขอรับ พอพวกช่างกลับออกไปหมดแล้วข้าก็ออกมาจะปิดประตู จู่ ๆ นักดาบหน้าตาท่าทางน่ากลัวสามคนนั่นก็เข้ามาล้อมข้าเอาไว้ คนหนึ่งหยิบจดหมายออกมายื่นให้ บอกว่าเอาไปให้แขกที่มาพักที่บ้านนี้”
“บอกแต่ว่าแขก ไม่ได้เอ่ยชื่อท่านมูซาชิอย่างนั้นรึ”
“เอ่ยทีหลังขอรับว่า ชายชื่อมินาโมโตะ มูซาชิต้องมาพักอยู่ที่ที่หลายวันแล้วแน่นอน”
“แล้วเจ้าตอบไปว่ายังไง”
“ข้าจำได้ว่านายกำชับให้ปิดปากเรื่องนี้ให้สนิท ข้าจึงสั่นหัวแล้วยืนกรานว่าไม่มีคนชื่อนี้ที่นี่ เท่านั้นแหละขอรับ คนทั้งสามก็บันดาลโทสะจนหน้าเขียว คนหนึ่งตวาดข้าเสียงดังลั่นว่าอย่าบังอาจโกหก แต่คนหนึ่งที่ดูมีอายุหน่อยปรามเอาไว้ หัวเราะเหมือนเย้นหยัน บอกว่าไม่เป็นไร ตนจะหาทางพบกับเจ้าตัวแล้วยื่นจดหมายให้เอง แล้วก็พากันเดินดุ่มไปทางตรอกด้านโน้นขอรับ”
มูซาชิยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า
“ท่านโคเอ็ตสึ ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านล่วงหน้าไปคนเดียวก่อน ขืนไปด้วยกันกับข้า หากเกิดอะไรขึ้นมาจะพลอยบาดเจ็บ หรือเข้าไปพัวพันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเพราะมีข้าเป็นเหตุ”
“พูดอะไรอย่างนั้นท่านมูซาชิ”
โคเอ็ตสึหัวเราะและบอกว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าถึงขนาดนั้นหรอก ยิ่งรู้ว่าเป็นพวกโยชิโอกะก็ยิ่งไม่มีอะไรที่ข้าต้องกลัว ไปเถอะ ไปด้วยกัน”
ช่างลับดาบก้าวออกไปจากซุ้มประตูรั้ว หันมาพยักหน้าให้หนุ่มนักดาบเดินตามไป แต่แล้วก็ทำหน้าคล้ายไม่มั่นใจ
“แม่ แม่”
“ลืมอะไรรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ทำให้ข้านึกเป็นห่วงแม่ขึ้นมา ถ้าแม่กลัวข้าจะส่งเด็กไปบอกเลิกนัดท่านไฮยะคืนนี้ก็ได้นะ”
“อะไรกัน แม่ต่างหากที่เป็นห่วงท่านมูซาชิมากกว่าว่าอาจเป็นอันตราย แต่เห็นเดินดุ่มออกไปอย่างนี้แล้วก็คงยื้อยุดกลับมาไม่ได้ เอาเถอะไปเที่ยวกันให้สนุก และระวังตัวให้ดีด้วยนะทั้งสองคน”
โคเอ็ตสึคอยจนแม่ชีชราปิดประตูรั้วแน่นหนาแล้วจึงหายห่วง ก้าวยาว ๆ ไปหามูซาชิที่ยืนคอยอยู่และออกเดินเคียงกันไปบนคันตลิ่งเลียบลำน้ำ
“บ้านท่านไฮยะอยู่ที่อิจิโจโฮริกาวะทางโน้น ครึ่งทางที่เราจะไปเที่ยวกัน ท่านอุตส่าห์บอกว่าจะเตรียมอะไรไว้ให้รองท้องกันก่อน เราแวะไปสนองศรัทธากันหน่อยดีกว่านะ”
2
ท้องฟ้ายามเย็นยังสว่างอยู่ ทั้งสองเดินเลียบแม่น้ำไปด้วยอารมณ์เบิกบาน ใบหน้าแช่มชื้นเพราะไม่มีธุระอะไรต้องทำเหมือนคนอื่น ๆ ที่ดูเร่งร้อนไปหมดเมื่อใกล้ค่ำ
“ชื่อของท่านไฮยะ โชยู คุ้นหูข้ามาก”
มูซาชิเอ่ยขึ้น โคเอ็ตสึที่เดินเอื่อย ๆ ไปด้วยกันบอกว่า
“ก็น่าจะเคยได้ยินหรอก ในเมื่อท่านผู้นี้มีชื่อเสียงด้านเพลงยาวแนวกวีโจวะถึงขนาดเป็นเจ้าสำนักได้เลยทีเดียว”
“ถึงว่าซี ก็เป็นกวีนี่เองจึงคุ้นหู”
“แต่ท่านไม่ได้หาเลี้ยงชีพด้วยการแต่งเพลงยาวอย่างกวีโจวะหรือกวีเทโทกุหรอกนะ แต่เป็นชาวเมืองในตระกูลเก่าแก่ของเกียวโตเช่นเดียวกับข้า”
“แล้วชื่อไฮยะล่ะมาจากไหน”
“อ๋อ เป็นชื่อที่มาจากอาชีพของตระกูล”
“ขายอะไรรึ”
“ไฮคือขี้เถ้า ไฮยะก็คือร้านขายขี้เถ้าน่ะซี”
“ขี้เถ้าหรือ ขี้เถ้าของอะไร”
“ขี้เถ้าที่เรียกว่าคงไบที่ร้านย้อมผ้าใช้ย้อมผ้าให้เป็นสีน้ำเงิน ธุรกิจของท่านไฮยะใหญ่โตไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว เพราะขายส่งขี้เถ้าที่ว่านี้ไปให้ร้านย้อมผ้าทั่วไปในแว่นแคว้นต่าง ๆ”
“เข้าใจละ เป็นขี้เถ้าที่เป็นวัตถุดิบสำหรับทำน้ำยาย้อมผ้านั่นเอง”
“สินค้านี้ทำเงินมหาศาลมาตั้งแต่สมัยมูโรมาจิตอนต้น ช่วงแรกการค้าขายตกอยู่ในมือตัวกลางที่เป็นหน่วยงานสังกัดกับท่านโชกุนผู้เป็นจอมทัพ และได้เปลี่ยนมาเป็นอาชีพของชาวเมืองมาตั้งแต่ตอนกลางสมัย โดยทางกองทัพอนุญาตให้มีร้านขายส่งขี้เถ้าที่เป็นวัตถุดิบสำหรับย้อมสีที่ว่านี้แค่สามร้าน และหนึ่งในจำนวนนั้นคือบรรพบุรุษของท่านไฮยะ โชยู แต่ตั้งแต่ร้านชี้เถ้าตกทอดมาถึงรุ่นของท่านโชยู ท่านก็เลิกทำกิจการและใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายที่บ้านริมแม่น้ำโฮริกาวะนี้เอง”
โคเอ็ตสึชี้ไปทางแม่น้ำ
“เห็นไหม ตรงที่มีซุ้มประตูโอ่อ่าที่เห็นนั่นแหละคือบ้านของท่านไฮยะ”
“... ... ...
มูซาชิพยักหน้า แล้วก็รู้สึกผิดสังเกตในกายตัวขึ้นมาทันที ชายแขนเสื้อข้างขวาไหวพริ้วไปตามแรงลมที่โชยแผ่วแต่แขนเสื้อซ้ายกลับนิ่ง
เอ๊ะ
เจ้าหนุ่มนักดาบฟังโคเอ็ตสึพูดพลางนึกฉงน
นี่มันอะไรกัน มีอะไรถ่วงอยู่ในนั้นหรือแขบเสื้อจึงไม่ไหวไปตามแรงลม
ซองเงินอยู่ในอกเสื้อ ส่วนกล่องยาสูบก็ไม่เคยมีอย่างคนอื่นเขา จำไม่ได้ด้วยว่าใส่อะไรเอาไว้ถุงใต้แขนเสื้อกิโมโนข้างนั้น
เจ้าหนุ่มนักดาบขมวดคิ้วขณะค่อย ๆ ล้วงมือลงไปในแขนเสื้อก็พบเชือกสีม่วงรมควันมาเป็นอย่างดี สำหรับผูกรั้งแขนเสื้อขึ้นไว้ไม่ให้เกะกะเวลาที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องตัว ผูกเป็นหูกระต่ายไว้ให้คลายออกได้ง่าย
โอ๊ะ แม่ชีชราเมียวชูต้องเป็นคนใส่ไว้ให้แน่
มูซาชิกำเชือกหนังเส้นนั้นไว้แล้วหันไปยิ้มกับคนที่เดินตามมาข้างหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ
เจ้าหนุ่มรู้สึกตัวมาตั้งแต่ออกมาจากตรอกฮนอามิแล้วว่า นักดาบทั้งสามเดินสะกดรอยตามมาช้า ๆ โดยทิ้งระยะห่างพอควรอย่างสม่ำเสมอมาตลอด
และพอมูซาชิหันมายิ้มให้ทั้งสามก็สะดุ้ง หยุดเดินพร้อมกัน มองหน้ากันล่อแล่ก กระซิบอะไรกันซักอย่างก่อนขยับตัวตั้งท่าขึงขังและเดินอาด ๆ เข้ามาใกล้
โคเอ็ตสึเดินไปถึงหน้าซุ้มประตูบ้านไฮยะ เขย่าเกราะแจ้งสัญญาณการมาถึงแล้วเดินตามคนรับใช้ที่ถือไม้กวาดออกมาเปิดประตูรับเข้าไปในบริเวณบ้าน แต่พอหันมาไม่เห็นมูซาชิ ช่างลับดาบก็เดินกลับมาเรียก
“ท่านมูซาชิเข้ามาเถิด บ้านนี้ไม่มีอะไรที่ต้องเกรงใจ”
3
โคเอ็ตสึก้าวออกมาเรียกนอกซุ้มประตู จึงเห็นนักดาบทั้งสามย่างสามขุมมือกุมด้ามดาบเตรียมชักเข้ามาล้อมมูซาชิเอาไว้ คนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาพูดอะไรสักอย่างแต่ดังไม่พอที่จะจับความได้
โคเอ็ตสึรู้ทันทีว่าเป็นนักดาบที่คนรับใช้บอกว่ามาด้อม ๆ มอง ๆ และถามหามูซาชิที่บ้านเขานั่นเอง
ช่างลับดาบเห็นมูซาชิพูดอะไรเบา ๆ กับคนพวกนั้น ก่อนหันมาร้องบอกโคเอ็ตสึว่า
“ท่านเข้าไปก่อนเถิด ข้าจะตามเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ”
โคเอ็ตสึส่งสายตาอ่อนโยนไปยังอีกฝ่ายคล้ายกับว่าอ่านความรู้สึกออกจากสายตาของอีกฝ่าย
“งั้นข้าเข้าไปรอข้างในนะ เสร็จธุระแล้วรีบตามมาก็แล้วกัน”
พอเห็นโคเอ็ตสึหายเข้าไปในซุ้มประตู หนึ่งในสามนักดาบก็โพล่งขึ้นคล้ายรอจังหวะมานาน
“ท่านจะหนีไปซุกซ่อนอยู่ที่ไหนไม่ใช่ธุระของเรา ข้าคือโอตางูโระ เฮียวซูเกะ หนึ่งในสืบศิษย์เอกของสำนัก โยชิโอกะ”
นักดาบผู้นั้นว่าพลางซุกมือทั้งสองเข้าไปในอกเสื้อ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมายื่นให้ตรงหน้ามูซาชิ
“นี่คือจดหมายยจากเด็นชิจิโรน้องชายของเซจูโรเจ้าสำนักของเรา ขอให้ท่านรับไปอ่านและกรุณาตอบเราทันที”
“อ้อ”
มูซาชิรับจดหมายฉบับนั้นออกมาเปิดอ่านจนจบอย่างไม่มีพิธีรีตอง แล้วตอบคำเดียวในทันทีนั้นว่า
“ตกลง”
โอตางูโระ เฮียวซูเกะตาตื่นด้วยความฉงน สำรวจสีหน้าของมูซาชิแล้วถามว่า
“ท่านแน่ใจแล้วรึ”
มูซาชิพยักหน้าและตอบสั้น ๆ ว่า
“แน่ใจ”
เมื่อยืนยันจนแน่ใจแล้วหนึ่งในนักดาบทั้งสามก็สำทับว่า
“ถ้าไม่ทำตามสัญญา ท่านก็จะไม่อาจมองหน้าใคร ๆ ที่เกียวโตได้อีก ทุกคนจะต้องหัวเราะเยาะไม่ไว้หน้าเป็นแน่”
“... ... ...”
มูซาชิยิ้มแทนคำตอบ และนิ่งมองร่างกำยำของศิษย์สำนักดาบทั้งสามอยู่เงียบ ๆ
ท่าทีของเจ้าหนุ่มนักดาบยั่วให้โอตางูโระ เฮียวซูเกะแคลงใจขึ้นมาอีก
“มูซาชิ ท่านเข้าใจเงื่อนไขดีแล้วนะ”
ศิษย์เอกสำนักดาบถามย้ำเสียงเครียด
“รู้ใช่ไหมว่ามีเวลาอีกไม่เท่าไรเลย รู้แล้วนะว่านัดกันที่ไหน เตรียมตัวได้ทันนะ”
“ได้”
มูซาชิตอบสั้นตามเคย ไม่แสดงว่ารำคาญที่ถูกตอแย
“งั้นก็เจอกัน”
และพอจะก้าวเข้าซุ้มประตูบ้านไฮยะ เฮียวซูเกะก็ตามมามาถามอีก
“มูซาชิ ท่านจะอยู่ที่บ้านของตระกูลไฮยะจนถึงเวลานัดรึ”
“ไม่หรอก แค่แวะมา คืนนี้ท่านที่นี่จะพาเราไปเที่ยวสำนักนางโลมที่รคคุโจ”
“รคคุโจรึ ดี...เป็นอันว่าคืนนี้ถ้าท่านไม่อยู่ที่รคคุโจก็อยู่ที่นี่ ถ้าท่านช้าข้าก็จะได้ส่งคนมาตามถูก หวังว่าท่านคงไม่ทำอะไรตุกติกอย่างคนขี้ขลาดหรอกนะ”
มูซาชิฟังเสียงพูดที่ไล่หลังมาพลางก้าวเข้าไปในบริเวณบ้านแล้วหันมาปิดประตูใหญ่ทันที แค่ย่างเท้าเพียงก้าวเดียวเข้ามาอยู่ภายในอาณาบริเวณที่ล้อมรั้ว เจ้าหนุ่มก็รู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่งที่ห่างออกไปไกลแสนไกลจากเสียงอึกทึกของชุมชนรอบด้าน
ไผ่พุ่มเตี้ยและดงไผ่ลำต้นเรียวราวก้านพู่กันทำความชื้นให้กับแผ่นหินที่ปูเป็นทางเดินที่ดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติ เมื่อเดินลึกเข้าไปก็เห็นเรือนใหญ่ ทางเข้าเรือนด้านหน้า เรือนเล็ก เรือนนั่งเล่น ซึ่งเป็นองค์ประกอบของบ้านแบบเก่าที่ยังคงบรรยากาศดั้งเดิมเอาไว้ ต้นสนแต่ละต้นสูงใหญ่สะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งยั่งยืนมาหลายชั่วอายุคน แม้จะชูยอดสูงสง่าวามแต่ก็คงไว้ซึ่งความอ่อนโยนไม่หยิ่งผยองกับผู้คนที่เดินผ่านไปมาเบื้องล่าง
4
เสียงคนเล่นเตะลูกกระดาษพองลมอย่างสนุกดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ถ้าได้ยินเมื่อเดินผ่านคฤหาสน์ของคนชั้นสูงที่ในราชวงศ์ก็ไม่แปลกอะไร แต่นี่มันย่านที่อยู่ของชาวเมือง มูซาชิจึงอดขมวดคิ้วด้วยความฉงนไม่ได้
“กรุณาคอยอยู่ที่นี่สักครู่ ท่านกำลังแต่งตัวอยู่เดี๋ยวก็คงออกมาเจ้าค่ะ”
สาวใช้มารยาทเรียบร้อยแสดงให้เห็นว่าผ่านการอบรมตามแบบแผนของคนมีตระกูลมาเป็นอย่างดี ออกมาเชิญโคเอ็ตสึกับมูซาชิเข้าไปนั่งในห้องที่มองออกไปเห็นสวนสวยงาม พร้อมกับนำขนมและน้ำชาออกมาต้อนรับ
“พอแดดร่มก็เริ่มหนาวขึ้นมาทีเดียว”
โคเอ็ตสึบ่นพึมพำ และทำท่าจะขอให้สาวใช้ช่วยปิดประตูเลื่อนที่เปิดอยู่แต่ก็ยั้งไว้ เพราะเห็นมูซาชิกำลังเพลินกับเสียงใครเล่นเตะลูกกระดาษพองลมพลางชมดอกบ๊วยในป่าที่อยู่ต่ำลงไปจากระดับสวน และมองตาม
“บนยอดเขาฮิเออิเมฆครึ้มเชียว เมฆลักษณะนี้เป็นเมฆที่เคลื่อนตัวมาจากทางเหนือ ท่านไม่หนาวรึ”
“ไม่นะ”
มูซาชิบอกตามที่รู้สึก ไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าโคเอ็ตสึพูดเป็นนัยว่าอยากปิดประตูเลื่อนบานนั้นเต็มที
การเดินทางรอนแรมผ่านร้อนผ่านหนาวมานานในป่าเขาทำให้ผิวของมูซาชิทนอากาศได้ทุกฤดูกาลไม่ผิดอะไรหับหนังสัตว์ป่า แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนผิวบางอย่างโคเอ็ตสึ ความแตกต่างของคนทั้งสองไม่ได้มีแค่อากาศเท่านั้น แต่ความรู้สึกสัมผัสที่มีแต่ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจนความงามยังต่างกันอย่างสุดขั้วด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นความแตกต่างระหว่างชาวป่าชาวดอยกับชาวกรุง
สาวใช้มารยาทงามนำตะเกียงเข้ามาให้ โคเอ็ตสึจึงถือโอกาสให้ช่วยปิดประตูเลื่อน
“คุณอามาเหรอขอรับ ข้าไม่เห็นรู้เลย”
หนุ่มน้อยวัยสิบห้าสิบหกสองสามคนโยนของเลนในมือไปทางหนึ่งแล้วชะโงกหน้าเข้ามามอง แต่พอเห็นมูซาชิก็สงบปากสงบคำทันที
“เดี๋ยวข้าไปเรียกคุณปู่ให้นะ”
โคเอ็ตสึบอกว่าไม่ต้อง แต่หนุ่มน้อยไม่ฟัง พากันวิ่งแข่งกันเข้าไปข้างใน
บ้านอบอุ่นสบายขึ้นเมื่อปิดประตูเลื่อนและมีแสงสว่างจากไฟตะเกียง เสียงหัวเราะของคนในครอบครัวดังแว่วมาไกล ๆ ห้องที่ตกแต่งเรียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับส่วนเกินที่แสดงถึงความร่ำรวยของเจ้าของบ้าทำให้รู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านใหญ่ ๆ สักหลังในชนบท
“ขอโทษทุกท่านที่ทำให้รอเสียตั้งนาน”
ไฮยะ โชยูปรากฏตัวพร้อมกับทักทายเสียงดัง แม้ร่างจะผอมเหมือนนกกระเรียนแต่เสียงของเขาแจ่มใส ก้องกังวาน ต่างกับโคเอ็ตสึที่พูดเสียงเบาอยู่ในลำคอ อายุอาจแก่กว่าโคเอ็ตสึราวรอบหนึ่งแต่ความที่กระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวาทำให้ดูหนุ่มกว่า
นิสัยใจคอก็ดูเป็นคนง่าย ๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไร พอโคเอ็ตสึแนะนำให้รู้จักกับมูซาชิ ก็ตบเข่าตัวเองดังฉาดและบอกว่า
“ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย หลานของท่านมัตสึโอะ คานาเมะที่ทำงานอยู่กับตระกูลโคโนเอะนั่นเอง ข้ารู้จักดี”
การที่ชื่อของลุงถูกเอ่ยขึ้นเช่นนี้ทำให้มูซาชิเริ่มรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดระหว่างพ่อค้าผู้ร่ำรวยกับคนในราชสำนักอย่างเช่นตะกูลโคโนเอะ
“ไปกันดีกว่า แต่แรกข้าคิดจะออกแต่หัววันจะได้เดินคุยกันไปเรื่อย ๆ แต่ก็โอ้เอ้จนมืด เรียกกระเช้าคานหามมาดีกว่า ท่านมูซาชิก็ไปด้วยกันใช่ไหม”
โชยูกระตือรือร้นที่จะได้ไปเที่ยวจนลืมวัย กับโคเอ็ตสึที่สงบนิ่งราวกับลืมแล้วว่าจะไปเที่ยวผู้หญิงกันนั้น ดูต่างกันอย่างประหลาด
โชยูกับโคเอ็ตสึนั่งกระเช้าคันหน้าส่วนมูซาชินั่งคันหลังไปคนเดียว และนั่นเป็นครั้งแรกที่มูซาชิได้นั่งกระเช้าที่มีคนหาม
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
1
“ท่านโคเอ็ตสึกับท่านแม่ไม่ต้องวิตกกังวลว่าจะถูกคนเหล่านั้นทำร้าย เพราะข้ารู้ดีว่าคนพวกนั้นมุ่งมาหาเรื่องกับข้า”
“คงจะอย่างนั้นละมังเพราะเมื่อวานซืนช่างของเราก็มาบอกว่ามีนักดาบคนหนึ่ง หน้าเหี้ยมตาเข้มคมราวกับนกเหยี่ยวมาด้อม ๆ มอง ๆ อยู่แถวซุ้มประตูรั้ว บางเวลาก็มองเข้ามาข้างใน บางเวลาก็เข้าไปทางซอยข้างบ้านแล้วลอบมองผ่านเรือนชงชาไปทางห้องที่ท่านมูซาชิพักอยู่”
“คงเป็นพวกโยชิโอกะ”
“ข้าก็คิดอย่างนั้น”
โคเอ็ตสึพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนหันไปถามคนรับใช้
“วันนี้ คนพวกนั้นมาเจรจาว่ากระไร”
คนรับใช้ตอบปากคอสั่นว่า
“คืออย่างนี้ขอรับ พอพวกช่างกลับออกไปหมดแล้วข้าก็ออกมาจะปิดประตู จู่ ๆ นักดาบหน้าตาท่าทางน่ากลัวสามคนนั่นก็เข้ามาล้อมข้าเอาไว้ คนหนึ่งหยิบจดหมายออกมายื่นให้ บอกว่าเอาไปให้แขกที่มาพักที่บ้านนี้”
“บอกแต่ว่าแขก ไม่ได้เอ่ยชื่อท่านมูซาชิอย่างนั้นรึ”
“เอ่ยทีหลังขอรับว่า ชายชื่อมินาโมโตะ มูซาชิต้องมาพักอยู่ที่ที่หลายวันแล้วแน่นอน”
“แล้วเจ้าตอบไปว่ายังไง”
“ข้าจำได้ว่านายกำชับให้ปิดปากเรื่องนี้ให้สนิท ข้าจึงสั่นหัวแล้วยืนกรานว่าไม่มีคนชื่อนี้ที่นี่ เท่านั้นแหละขอรับ คนทั้งสามก็บันดาลโทสะจนหน้าเขียว คนหนึ่งตวาดข้าเสียงดังลั่นว่าอย่าบังอาจโกหก แต่คนหนึ่งที่ดูมีอายุหน่อยปรามเอาไว้ หัวเราะเหมือนเย้นหยัน บอกว่าไม่เป็นไร ตนจะหาทางพบกับเจ้าตัวแล้วยื่นจดหมายให้เอง แล้วก็พากันเดินดุ่มไปทางตรอกด้านโน้นขอรับ”
มูซาชิยืนอยู่ข้าง ๆ ได้ยินดังนั้นจึงบอกว่า
“ท่านโคเอ็ตสึ ข้าว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ท่านล่วงหน้าไปคนเดียวก่อน ขืนไปด้วยกันกับข้า หากเกิดอะไรขึ้นมาจะพลอยบาดเจ็บ หรือเข้าไปพัวพันกับเรื่องไม่เป็นเรื่องเพราะมีข้าเป็นเหตุ”
“พูดอะไรอย่างนั้นท่านมูซาชิ”
โคเอ็ตสึหัวเราะและบอกว่า
“ไม่ต้องเป็นห่วงข้าถึงขนาดนั้นหรอก ยิ่งรู้ว่าเป็นพวกโยชิโอกะก็ยิ่งไม่มีอะไรที่ข้าต้องกลัว ไปเถอะ ไปด้วยกัน”
ช่างลับดาบก้าวออกไปจากซุ้มประตูรั้ว หันมาพยักหน้าให้หนุ่มนักดาบเดินตามไป แต่แล้วก็ทำหน้าคล้ายไม่มั่นใจ
“แม่ แม่”
“ลืมอะไรรึ”
“ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ทำให้ข้านึกเป็นห่วงแม่ขึ้นมา ถ้าแม่กลัวข้าจะส่งเด็กไปบอกเลิกนัดท่านไฮยะคืนนี้ก็ได้นะ”
“อะไรกัน แม่ต่างหากที่เป็นห่วงท่านมูซาชิมากกว่าว่าอาจเป็นอันตราย แต่เห็นเดินดุ่มออกไปอย่างนี้แล้วก็คงยื้อยุดกลับมาไม่ได้ เอาเถอะไปเที่ยวกันให้สนุก และระวังตัวให้ดีด้วยนะทั้งสองคน”
โคเอ็ตสึคอยจนแม่ชีชราปิดประตูรั้วแน่นหนาแล้วจึงหายห่วง ก้าวยาว ๆ ไปหามูซาชิที่ยืนคอยอยู่และออกเดินเคียงกันไปบนคันตลิ่งเลียบลำน้ำ
“บ้านท่านไฮยะอยู่ที่อิจิโจโฮริกาวะทางโน้น ครึ่งทางที่เราจะไปเที่ยวกัน ท่านอุตส่าห์บอกว่าจะเตรียมอะไรไว้ให้รองท้องกันก่อน เราแวะไปสนองศรัทธากันหน่อยดีกว่านะ”
2
ท้องฟ้ายามเย็นยังสว่างอยู่ ทั้งสองเดินเลียบแม่น้ำไปด้วยอารมณ์เบิกบาน ใบหน้าแช่มชื้นเพราะไม่มีธุระอะไรต้องทำเหมือนคนอื่น ๆ ที่ดูเร่งร้อนไปหมดเมื่อใกล้ค่ำ
“ชื่อของท่านไฮยะ โชยู คุ้นหูข้ามาก”
มูซาชิเอ่ยขึ้น โคเอ็ตสึที่เดินเอื่อย ๆ ไปด้วยกันบอกว่า
“ก็น่าจะเคยได้ยินหรอก ในเมื่อท่านผู้นี้มีชื่อเสียงด้านเพลงยาวแนวกวีโจวะถึงขนาดเป็นเจ้าสำนักได้เลยทีเดียว”
“ถึงว่าซี ก็เป็นกวีนี่เองจึงคุ้นหู”
“แต่ท่านไม่ได้หาเลี้ยงชีพด้วยการแต่งเพลงยาวอย่างกวีโจวะหรือกวีเทโทกุหรอกนะ แต่เป็นชาวเมืองในตระกูลเก่าแก่ของเกียวโตเช่นเดียวกับข้า”
“แล้วชื่อไฮยะล่ะมาจากไหน”
“อ๋อ เป็นชื่อที่มาจากอาชีพของตระกูล”
“ขายอะไรรึ”
“ไฮคือขี้เถ้า ไฮยะก็คือร้านขายขี้เถ้าน่ะซี”
“ขี้เถ้าหรือ ขี้เถ้าของอะไร”
“ขี้เถ้าที่เรียกว่าคงไบที่ร้านย้อมผ้าใช้ย้อมผ้าให้เป็นสีน้ำเงิน ธุรกิจของท่านไฮยะใหญ่โตไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว เพราะขายส่งขี้เถ้าที่ว่านี้ไปให้ร้านย้อมผ้าทั่วไปในแว่นแคว้นต่าง ๆ”
“เข้าใจละ เป็นขี้เถ้าที่เป็นวัตถุดิบสำหรับทำน้ำยาย้อมผ้านั่นเอง”
“สินค้านี้ทำเงินมหาศาลมาตั้งแต่สมัยมูโรมาจิตอนต้น ช่วงแรกการค้าขายตกอยู่ในมือตัวกลางที่เป็นหน่วยงานสังกัดกับท่านโชกุนผู้เป็นจอมทัพ และได้เปลี่ยนมาเป็นอาชีพของชาวเมืองมาตั้งแต่ตอนกลางสมัย โดยทางกองทัพอนุญาตให้มีร้านขายส่งขี้เถ้าที่เป็นวัตถุดิบสำหรับย้อมสีที่ว่านี้แค่สามร้าน และหนึ่งในจำนวนนั้นคือบรรพบุรุษของท่านไฮยะ โชยู แต่ตั้งแต่ร้านชี้เถ้าตกทอดมาถึงรุ่นของท่านโชยู ท่านก็เลิกทำกิจการและใช้ชีวิตอยู่อย่างสุขสบายที่บ้านริมแม่น้ำโฮริกาวะนี้เอง”
โคเอ็ตสึชี้ไปทางแม่น้ำ
“เห็นไหม ตรงที่มีซุ้มประตูโอ่อ่าที่เห็นนั่นแหละคือบ้านของท่านไฮยะ”
“... ... ...
มูซาชิพยักหน้า แล้วก็รู้สึกผิดสังเกตในกายตัวขึ้นมาทันที ชายแขนเสื้อข้างขวาไหวพริ้วไปตามแรงลมที่โชยแผ่วแต่แขนเสื้อซ้ายกลับนิ่ง
เอ๊ะ
เจ้าหนุ่มนักดาบฟังโคเอ็ตสึพูดพลางนึกฉงน
นี่มันอะไรกัน มีอะไรถ่วงอยู่ในนั้นหรือแขบเสื้อจึงไม่ไหวไปตามแรงลม
ซองเงินอยู่ในอกเสื้อ ส่วนกล่องยาสูบก็ไม่เคยมีอย่างคนอื่นเขา จำไม่ได้ด้วยว่าใส่อะไรเอาไว้ถุงใต้แขนเสื้อกิโมโนข้างนั้น
เจ้าหนุ่มนักดาบขมวดคิ้วขณะค่อย ๆ ล้วงมือลงไปในแขนเสื้อก็พบเชือกสีม่วงรมควันมาเป็นอย่างดี สำหรับผูกรั้งแขนเสื้อขึ้นไว้ไม่ให้เกะกะเวลาที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายอย่างคล่องตัว ผูกเป็นหูกระต่ายไว้ให้คลายออกได้ง่าย
โอ๊ะ แม่ชีชราเมียวชูต้องเป็นคนใส่ไว้ให้แน่
มูซาชิกำเชือกหนังเส้นนั้นไว้แล้วหันไปยิ้มกับคนที่เดินตามมาข้างหลังโดยไม่ได้ตั้งใจ
เจ้าหนุ่มรู้สึกตัวมาตั้งแต่ออกมาจากตรอกฮนอามิแล้วว่า นักดาบทั้งสามเดินสะกดรอยตามมาช้า ๆ โดยทิ้งระยะห่างพอควรอย่างสม่ำเสมอมาตลอด
และพอมูซาชิหันมายิ้มให้ทั้งสามก็สะดุ้ง หยุดเดินพร้อมกัน มองหน้ากันล่อแล่ก กระซิบอะไรกันซักอย่างก่อนขยับตัวตั้งท่าขึงขังและเดินอาด ๆ เข้ามาใกล้
โคเอ็ตสึเดินไปถึงหน้าซุ้มประตูบ้านไฮยะ เขย่าเกราะแจ้งสัญญาณการมาถึงแล้วเดินตามคนรับใช้ที่ถือไม้กวาดออกมาเปิดประตูรับเข้าไปในบริเวณบ้าน แต่พอหันมาไม่เห็นมูซาชิ ช่างลับดาบก็เดินกลับมาเรียก
“ท่านมูซาชิเข้ามาเถิด บ้านนี้ไม่มีอะไรที่ต้องเกรงใจ”
3
โคเอ็ตสึก้าวออกมาเรียกนอกซุ้มประตู จึงเห็นนักดาบทั้งสามย่างสามขุมมือกุมด้ามดาบเตรียมชักเข้ามาล้อมมูซาชิเอาไว้ คนหนึ่งยื่นหน้าเข้ามาพูดอะไรสักอย่างแต่ดังไม่พอที่จะจับความได้
โคเอ็ตสึรู้ทันทีว่าเป็นนักดาบที่คนรับใช้บอกว่ามาด้อม ๆ มอง ๆ และถามหามูซาชิที่บ้านเขานั่นเอง
ช่างลับดาบเห็นมูซาชิพูดอะไรเบา ๆ กับคนพวกนั้น ก่อนหันมาร้องบอกโคเอ็ตสึว่า
“ท่านเข้าไปก่อนเถิด ข้าจะตามเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ”
โคเอ็ตสึส่งสายตาอ่อนโยนไปยังอีกฝ่ายคล้ายกับว่าอ่านความรู้สึกออกจากสายตาของอีกฝ่าย
“งั้นข้าเข้าไปรอข้างในนะ เสร็จธุระแล้วรีบตามมาก็แล้วกัน”
พอเห็นโคเอ็ตสึหายเข้าไปในซุ้มประตู หนึ่งในสามนักดาบก็โพล่งขึ้นคล้ายรอจังหวะมานาน
“ท่านจะหนีไปซุกซ่อนอยู่ที่ไหนไม่ใช่ธุระของเรา ข้าคือโอตางูโระ เฮียวซูเกะ หนึ่งในสืบศิษย์เอกของสำนัก โยชิโอกะ”
นักดาบผู้นั้นว่าพลางซุกมือทั้งสองเข้าไปในอกเสื้อ หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมายื่นให้ตรงหน้ามูซาชิ
“นี่คือจดหมายยจากเด็นชิจิโรน้องชายของเซจูโรเจ้าสำนักของเรา ขอให้ท่านรับไปอ่านและกรุณาตอบเราทันที”
“อ้อ”
มูซาชิรับจดหมายฉบับนั้นออกมาเปิดอ่านจนจบอย่างไม่มีพิธีรีตอง แล้วตอบคำเดียวในทันทีนั้นว่า
“ตกลง”
โอตางูโระ เฮียวซูเกะตาตื่นด้วยความฉงน สำรวจสีหน้าของมูซาชิแล้วถามว่า
“ท่านแน่ใจแล้วรึ”
มูซาชิพยักหน้าและตอบสั้น ๆ ว่า
“แน่ใจ”
เมื่อยืนยันจนแน่ใจแล้วหนึ่งในนักดาบทั้งสามก็สำทับว่า
“ถ้าไม่ทำตามสัญญา ท่านก็จะไม่อาจมองหน้าใคร ๆ ที่เกียวโตได้อีก ทุกคนจะต้องหัวเราะเยาะไม่ไว้หน้าเป็นแน่”
“... ... ...”
มูซาชิยิ้มแทนคำตอบ และนิ่งมองร่างกำยำของศิษย์สำนักดาบทั้งสามอยู่เงียบ ๆ
ท่าทีของเจ้าหนุ่มนักดาบยั่วให้โอตางูโระ เฮียวซูเกะแคลงใจขึ้นมาอีก
“มูซาชิ ท่านเข้าใจเงื่อนไขดีแล้วนะ”
ศิษย์เอกสำนักดาบถามย้ำเสียงเครียด
“รู้ใช่ไหมว่ามีเวลาอีกไม่เท่าไรเลย รู้แล้วนะว่านัดกันที่ไหน เตรียมตัวได้ทันนะ”
“ได้”
มูซาชิตอบสั้นตามเคย ไม่แสดงว่ารำคาญที่ถูกตอแย
“งั้นก็เจอกัน”
และพอจะก้าวเข้าซุ้มประตูบ้านไฮยะ เฮียวซูเกะก็ตามมามาถามอีก
“มูซาชิ ท่านจะอยู่ที่บ้านของตระกูลไฮยะจนถึงเวลานัดรึ”
“ไม่หรอก แค่แวะมา คืนนี้ท่านที่นี่จะพาเราไปเที่ยวสำนักนางโลมที่รคคุโจ”
“รคคุโจรึ ดี...เป็นอันว่าคืนนี้ถ้าท่านไม่อยู่ที่รคคุโจก็อยู่ที่นี่ ถ้าท่านช้าข้าก็จะได้ส่งคนมาตามถูก หวังว่าท่านคงไม่ทำอะไรตุกติกอย่างคนขี้ขลาดหรอกนะ”
มูซาชิฟังเสียงพูดที่ไล่หลังมาพลางก้าวเข้าไปในบริเวณบ้านแล้วหันมาปิดประตูใหญ่ทันที แค่ย่างเท้าเพียงก้าวเดียวเข้ามาอยู่ภายในอาณาบริเวณที่ล้อมรั้ว เจ้าหนุ่มก็รู้สึกเหมือนเข้ามาอยู่อีกโลกหนึ่งที่ห่างออกไปไกลแสนไกลจากเสียงอึกทึกของชุมชนรอบด้าน
ไผ่พุ่มเตี้ยและดงไผ่ลำต้นเรียวราวก้านพู่กันทำความชื้นให้กับแผ่นหินที่ปูเป็นทางเดินที่ดูกลมกลืนไปกับธรรมชาติ เมื่อเดินลึกเข้าไปก็เห็นเรือนใหญ่ ทางเข้าเรือนด้านหน้า เรือนเล็ก เรือนนั่งเล่น ซึ่งเป็นองค์ประกอบของบ้านแบบเก่าที่ยังคงบรรยากาศดั้งเดิมเอาไว้ ต้นสนแต่ละต้นสูงใหญ่สะท้อนให้เห็นถึงความมั่งคั่งยั่งยืนมาหลายชั่วอายุคน แม้จะชูยอดสูงสง่าวามแต่ก็คงไว้ซึ่งความอ่อนโยนไม่หยิ่งผยองกับผู้คนที่เดินผ่านไปมาเบื้องล่าง
4
เสียงคนเล่นเตะลูกกระดาษพองลมอย่างสนุกดังมาจากที่ไหนสักแห่ง ถ้าได้ยินเมื่อเดินผ่านคฤหาสน์ของคนชั้นสูงที่ในราชวงศ์ก็ไม่แปลกอะไร แต่นี่มันย่านที่อยู่ของชาวเมือง มูซาชิจึงอดขมวดคิ้วด้วยความฉงนไม่ได้
“กรุณาคอยอยู่ที่นี่สักครู่ ท่านกำลังแต่งตัวอยู่เดี๋ยวก็คงออกมาเจ้าค่ะ”
สาวใช้มารยาทเรียบร้อยแสดงให้เห็นว่าผ่านการอบรมตามแบบแผนของคนมีตระกูลมาเป็นอย่างดี ออกมาเชิญโคเอ็ตสึกับมูซาชิเข้าไปนั่งในห้องที่มองออกไปเห็นสวนสวยงาม พร้อมกับนำขนมและน้ำชาออกมาต้อนรับ
“พอแดดร่มก็เริ่มหนาวขึ้นมาทีเดียว”
โคเอ็ตสึบ่นพึมพำ และทำท่าจะขอให้สาวใช้ช่วยปิดประตูเลื่อนที่เปิดอยู่แต่ก็ยั้งไว้ เพราะเห็นมูซาชิกำลังเพลินกับเสียงใครเล่นเตะลูกกระดาษพองลมพลางชมดอกบ๊วยในป่าที่อยู่ต่ำลงไปจากระดับสวน และมองตาม
“บนยอดเขาฮิเออิเมฆครึ้มเชียว เมฆลักษณะนี้เป็นเมฆที่เคลื่อนตัวมาจากทางเหนือ ท่านไม่หนาวรึ”
“ไม่นะ”
มูซาชิบอกตามที่รู้สึก ไม่ได้ฉุกคิดเลยว่าโคเอ็ตสึพูดเป็นนัยว่าอยากปิดประตูเลื่อนบานนั้นเต็มที
การเดินทางรอนแรมผ่านร้อนผ่านหนาวมานานในป่าเขาทำให้ผิวของมูซาชิทนอากาศได้ทุกฤดูกาลไม่ผิดอะไรหับหนังสัตว์ป่า แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับคนผิวบางอย่างโคเอ็ตสึ ความแตกต่างของคนทั้งสองไม่ได้มีแค่อากาศเท่านั้น แต่ความรู้สึกสัมผัสที่มีแต่ทุกสิ่งทุกอย่างตลอดจนความงามยังต่างกันอย่างสุดขั้วด้วย พูดง่าย ๆ ก็คือเป็นความแตกต่างระหว่างชาวป่าชาวดอยกับชาวกรุง
สาวใช้มารยาทงามนำตะเกียงเข้ามาให้ โคเอ็ตสึจึงถือโอกาสให้ช่วยปิดประตูเลื่อน
“คุณอามาเหรอขอรับ ข้าไม่เห็นรู้เลย”
หนุ่มน้อยวัยสิบห้าสิบหกสองสามคนโยนของเลนในมือไปทางหนึ่งแล้วชะโงกหน้าเข้ามามอง แต่พอเห็นมูซาชิก็สงบปากสงบคำทันที
“เดี๋ยวข้าไปเรียกคุณปู่ให้นะ”
โคเอ็ตสึบอกว่าไม่ต้อง แต่หนุ่มน้อยไม่ฟัง พากันวิ่งแข่งกันเข้าไปข้างใน
บ้านอบอุ่นสบายขึ้นเมื่อปิดประตูเลื่อนและมีแสงสว่างจากไฟตะเกียง เสียงหัวเราะของคนในครอบครัวดังแว่วมาไกล ๆ ห้องที่ตกแต่งเรียบ ๆ ไม่มีเครื่องประดับส่วนเกินที่แสดงถึงความร่ำรวยของเจ้าของบ้าทำให้รู้สึกเหมือนนั่งอยู่ในห้องรับแขกของบ้านใหญ่ ๆ สักหลังในชนบท
“ขอโทษทุกท่านที่ทำให้รอเสียตั้งนาน”
ไฮยะ โชยูปรากฏตัวพร้อมกับทักทายเสียงดัง แม้ร่างจะผอมเหมือนนกกระเรียนแต่เสียงของเขาแจ่มใส ก้องกังวาน ต่างกับโคเอ็ตสึที่พูดเสียงเบาอยู่ในลำคอ อายุอาจแก่กว่าโคเอ็ตสึราวรอบหนึ่งแต่ความที่กระชุ่มกระชวยมีชีวิตชีวาทำให้ดูหนุ่มกว่า
นิสัยใจคอก็ดูเป็นคนง่าย ๆ ไม่มีพิธีรีตองอะไร พอโคเอ็ตสึแนะนำให้รู้จักกับมูซาชิ ก็ตบเข่าตัวเองดังฉาดและบอกว่า
“ไม่ใช่คนอื่นคนไกลเลย หลานของท่านมัตสึโอะ คานาเมะที่ทำงานอยู่กับตระกูลโคโนเอะนั่นเอง ข้ารู้จักดี”
การที่ชื่อของลุงถูกเอ่ยขึ้นเช่นนี้ทำให้มูซาชิเริ่มรู้สึกได้ถึงความใกล้ชิดระหว่างพ่อค้าผู้ร่ำรวยกับคนในราชสำนักอย่างเช่นตะกูลโคโนเอะ
“ไปกันดีกว่า แต่แรกข้าคิดจะออกแต่หัววันจะได้เดินคุยกันไปเรื่อย ๆ แต่ก็โอ้เอ้จนมืด เรียกกระเช้าคานหามมาดีกว่า ท่านมูซาชิก็ไปด้วยกันใช่ไหม”
โชยูกระตือรือร้นที่จะได้ไปเที่ยวจนลืมวัย กับโคเอ็ตสึที่สงบนิ่งราวกับลืมแล้วว่าจะไปเที่ยวผู้หญิงกันนั้น ดูต่างกันอย่างประหลาด
โชยูกับโคเอ็ตสึนั่งกระเช้าคันหน้าส่วนมูซาชินั่งคันหลังไปคนเดียว และนั่นเป็นครั้งแรกที่มูซาชิได้นั่งกระเช้าที่มีคนหาม