xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิภาค 4 ลม ตอน มุซาชิท่องราตรี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา


ก่อนออกไปทำงานโคเอ็ตสึช่างลับดาบยังหันมาสั่งอีกว่า
“บ้านเราไม่มีอะไรจะรับรองเลี้ยงดูแขกและข้าก็โอภาปราศรัยถ้อยคำหวานหูอย่างใคร ๆ เขาไม่เป็น แต่ก็เราสองคนแม่ลูกเต็มใจต้อนรับท่าน ขอให้คิดว่าเป็นคนกันเองเถิด จะอยู่นานเท่าไรก็ได้จนกว่าจะเบื่อหรือมีธุระด่วนต้องรีบไปจัดการ”
มูซาชิซึ้งในวาจาช่างลับดาบยิ่งนัก
เจ้าหนุ่มนักดาบไม่เคยรู้สึกเบื่อ ห้องเขียนหนังสือบ้านช่างลับดาบนั้นเรียกว่าเป็นกรุสะสมหนังสือและศิลปะได้เต็มปาก มีทั้งม้วนภาพวาดสมัยคามากูระ หนังสือญี่ปุ่นและตำรับตำราภาษาจีน เอกสารเก่าแก่ที่ติดมากับเรือเดินสมุทร น่าสนใจไปทั้งนั้น และเมื่อหยิบมาเปิดอ่านเล่มหนึ่งพอรู้สึกตัวขึ้นมาอีกทีก็ค่ำเสียแล้ว
สิ่งที่ต้องตาเจ้าหนุ่มนักดาบผู้นี้เป็นอย่างยิ่งก็คือภาพวาดพู่กันหมึกจีนของจิตรกรเอกแห่งราชวงศ์ซ่งใต้ที่ชื่อว่าต้นเกาลัดที่แขวนไว้ที่โทโกโนมะซึ่งเป็นยกพื้นวางเครื่องประดับห้อง รูปเกือบสี่เหลี่ยมจัตุรัส สูงราวหนึ่งศอกและกว้างศอกเศษ ๆ กระดาษเก่าจนคะเนคุณภาพกระดาษไม่ถูก มูซาชินั่งมองอยู่ครึ่งค่อนวันด้วยจิตใจที่สงบอย่างอย่างน่าประหลาด
“ข้าเห็นรูปที่ท่านวาดตอนเจอกันที่ท้องทุ่งแล้วรู้สึกทึ่งมากในฝีมือท่าน คิดว่าไม่มีนักวาดสมัครเล่นคนใดจะวาดได้ทัดเทียม แต่พอมาเห็นรูปนี้แล้วคิดว่าคนสมัครเล่นอย่างข้าน่าจะวาดได้ไม่ยากนัก”
มูซาชิเผยความในใจเมื่ออยู่กับโคเอ็ตสึสองต่อสอง
“ข้าว่าท่านควรคิดแล้วพูดใหม่ดีกว่า”
โคเอ็ตสึทำหน้าเคร่งขรึม
“ภาพวาดฝีมือประมาณข้าอยู่ในขอบเขตที่ใคร ๆ อาจเข้าถึงได้ง่าย แต่ภาพฝีมือปรมาจารย์ที่ท่านนั่งชมอยู่ครึ่งค่อนวันภาพนี้มีวิถีแห่งภาพในมิติที่สูงและล้ำลึก เหนือความปกติธรรมดาเหลือประมาณ ไม่ใช่แค่เรียนรู้แล้วจะเข้าถึงได้”
“อย่างนั้นเชียวรึ”
มูซาชินั่งชมภาพด้วยความถูกใจในเนื้อหา แต่พอโคเอ็ตสึบอกเช่นนั้นก็เลยปรับมุมมองใหม่จากที่เคยมองผาด ๆ เป็นแค่ภาพวาดด้วยพู่กันจุ้มหมึกดำตวัดเป็นเส้นหยาบ ๆ ดวงตาของเจ้าหนุ่มจึงค่อย ๆ กว้างขึ้นทีละน้อยจนเห็นความซับซ้อนของธรรมชาติที่แฝงอยู่ในนั้น
---เนื้อหาของรูปมีเพียง เกาลัดสองลูก ลูกหนึ่งเปลือกแตกออกส่วนอีกลูกหนึ่งยังอยู่ในเปลือกหนามมีกระรอกตัวหนึ่งกระโจนเข้าใส่
ท่วงท่าของกระรอกตัวเล็ก ๆ นั้นดูปราดเปรียวเป็นอิสระ เป็นสัญลักษณ์ของพลังและแรงปรารถนาของคนวัยหนุ่ม หากกระรอกน้อยปล่อยให้แรงปรารถนานำหน้ามันก็จะถูกหนามแหลมทิ่มตำจมูกก่อนได้กินเกาลัด แต่ถ้ามันกลัวหนามมันก็จะไม่มีวันได้กินเนื้อเกาลัดในเปลือกหนาม
ผู้วาดอาจไม่ได้ตั้งใจสื่อความหมายเช่นนั้นก็ได้แต่มูซาชิมองด้วยแนวคิดเช่นนั้น เวลาชมภาพวาดการมองหา สัญลักษณ์หรือแนวคิดที่ผู้สร้างสรรค์ภาพนั้นแฝงเอาไว้หรือต้องการบอกอะไรกับผู้ชมนอกเหนือจากเนื้อหาของภาพนั้นอาจไม่มีความหมายอะไรนัก แต่ก็ช่วยไม่ได้เพราะภาพที่มูซาชิชมอยู่ไม่วางตาภาพนี้ มีอะไรที่นอกเหนือไปจากความงามของลายเส้นสีดำและขนาดของภาพที่ได้สัดส่วน จูงใจให้จินตนาการกว้างไกลออกไปโดยไม่รู้ตัว
“ท่านมูซาชิยังชมภาพเขียนของเหลียงข่ายอยู่รึ ถ้าจะชอบมากเห็นชมมาตั้งแต่เช้าแล้ว ถ้าชอบตอนกลับข้าจะม้วนให้ไปเป็นที่ระลึก”
โคเอ็ตสึเหลือบมองเจ้าหนุ่มแล้วทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ คล้ายมีธุระอะไรจะพูดด้วย
2
มูซาชิทำหน้าแปลกใจ
“อะไรนะ ท่านจะให้ภาพของเหลี่ยงข่ายแก่ข้าอย่างนั้นรึ ข้ามารบกวนท่านอยู่หลายวันแล้วยังจะรับของที่เป็นสมบัติล้ำค่าของของตระกูลไปได้อย่างไร
เจ้าหนุ่มปฏิเสธเป็นพัลวัน
“แต่ท่านชอบภาพนี้มากมิใช่รึ”
โคเอ็ตสึหัวเราะเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตาตื่นคล้ายไม่เชื่อหู
“ถ้าท่านชอบก็ปลดลงมาแล้วเอาไปได้เลย ภาพวาดจะมีความสุขเมื่อได้อยู่กับคนที่มอบความรักให้ด้วยใจจริง เข้าใจความหมายอันแท้จริงที่แฝงอยู่ภายใน และปรมาจารย์ผู้ล่วงลับก็จะพึงพอใจไปด้วย ดังนั้นถ้าท่านรักจริงก็เชิญรับไปเถิด”
“ยิ่งท่านพูดเช่นนี้ยิ่งรับไม่ได้ เพราะสถานภาพของข้าไม่คู่ควรที่จะเป็นเจ้าของภาพนี้ ข้าบอกท่านตรง ๆ เลยว่าพอเห็นภาพนี้ข้าอยากได้ขึ้นมาทันที และยิ่งนั่งจ้องมองอยู่นานก็ยิ่งอยากได้ แต่ก็ได้ไตร่ตรองและถามตัวเองหลายครั้งว่าได้ไปแล้วจะทำอย่างไร ในเมื่อตนเป็นนักดาบพเนจรไม่มีบ้าน ไม่มีแม่แต่ที่พักเป็นหลักแหล่ง อยู่ที่ไหนได้ไม่นานก็ต้องจากจร มีแต่ป่าเขาแมกไม้และท้องฟ้าเท่านั้นที่เป็นเพื่อน”
“จริงด้วย ท่านต้องเดินทางอยู่ตลอดเอาภาพเขียนติดตัวไปก็จะเป็นภาระเสียเปล่า ท่านยังหนุ่มเป็นธรรมดาที่ยังไม่คิดที่จะมีบ้านมีเรือน แต่ข้าคิดว่าคนเราควรมีบ้านเป็นที่พักพิงแม้จะเล็กสักเพียงใดแค่ให้เรียกได้ว่าเป็นบ้านก็พอ ไม่เช่นนั้นแล้วชีวิตจะอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวหาความสุขมิได้ ท่านไม่คิดหาไม้มาสร้างบ้านเล็ก ๆ อยู่สักหลังใกล้ ๆ แถวนี้บ้างรึ”
“ข้ายังไม่คิดอยากมีบ้าน ใจมันยังโลดแล่นไปไกลใต้สุดถึงเกาะกิวชู ขอได้ชมอารยธรรมเมืองนอกที่เข้ามาเผยแพร่ที่นางาซากิเป็นขวัญตา ตะวันออกสุดก็จะไปชมความรุ่งเรืองของเมืองใหม่ทันสมัยถึงเอโดะ ทางเหนือก็ขึ้นไปชมธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ของขุนเขาและลำน้ำ ข้าอาจเกิดมาเป็นคนพเนจรในสายเลือดโดยแท้”
“ไม่หรอก คงไม่ใช่ท่านคนเดียว เป็นธรรมดาที่คนวัยหนุ่มจะชอบความกว้างของขอบฟ้ามากกว่าห้องชงชาแคบ ๆ แค่สี่เสื่อครึ่ง แต่ในเวลาเดียวกันคนหนุ่มมักคิดว่าความปรารถนาของตนจะบรรลุความเป็นจริงได้ก็ต่อเมื่อเดินทางออกไปไกล ๆ เพื่อแสวงหาหนทางเพื่อบรรลุ โดยมองข้ามความเป็นไปได้ที่ว่าคนจะบรรลุซึ่งความปรารถนานั้นได้ที่ใกล้ ๆ ตัวนี้เอง คนหนุ่มส่วนใหญ่จะฝันไกลและหงุดหงิดกับชีวิตที่เป็นอยู่กันทั้งนั้น”
โคเอ็ตสึว่าแล้วก็หัวเราะเสียงดัง
“จะว่าไปมันก็น่าขันที่คนแก่เกียจคร้านอย่างข้ามีหน้ามานั่งสอนคนหนุ่มอย่างท่าน ใช่ ๆ ข้าไม่ได้มาหาท่านเพื่อพูดเรื่องนี้ แต่คืนนี้อยากชวนท่านออกไปไปเที่ยวด้วยกันต่างหาก ท่านมูซาชิท่านเคยไปเที่ยวสำนักนางโลมหรือเปล่า สำนักที่เขาให้จดทะเบียนตามกฎหมายน่ะท่าน”
“สำนักนางโลม หมายถึงเที่ยวผู้หญิงน่ะรึ”
“ใช่ ข้ามีเพื่อนชื่อไฮยะ โชยู นักเที่ยวชั้นบรมครู เพื่อนส่งจดหมายมาชวนข้าไปเที่ยวแถวรคคุโจ ก็เลยมาชวนเผื่อท่านจะอยากไปเที่ยวกลางคืนบ้าง”
“ไม่เอาดีกว่า”
โคเอ็ตสึไม่เซ้าซี้
“งั้นรึ ไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร แต่ข้าว่าออกไปดูแสงสีในโลกยามราตรีบ้าง สนุกดีนา”
แม่ชีชราเมียวชูเดินเข้ามาเงียบ ๆ ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร สำทับขึ้นว่า
“ท่านมูซาชิ โอกาสดีออกอย่างนี้ไปเปิดหูเปิดตาบ้างไม่ดีรึ ท่านไฮยะเป็นคนมีอัธยาศัยไม่ต้องเกรงใจอะไรเลยดูท่าว่าลูกชายคงอยากพาท่านไปด้วย ไปเถอะ ไปเที่ยวกันให้สนุก”
แม่ชีชราไม่รอฟังเจ้าหนุ่มนักดาบปฏิเสธ รีบกุลีกุจอหากิโมโนมาให้เปลี่ยน สนับสนุนให้ออกไปเที่ยวกันเต็มที่
3
คนที่ได้ชื่อว่าพ่อแม่ตามปกติพอได้ยินว่าลูกจะไปเที่ยวผู้หญิง ก็จะแสดงความไม่พอใจพูดจาเหยียดหยามพวกผู้หญิงในสำนักนางโลมกันอย่างโจ่งแจ้ง ไม่ว่าจะต่อหน้าลูกค้าหรือว่าเพื่อน ๆ แต่ไม่ใช่แม่ลูกคู่นี้
แม่ชีชราเมียวชูเปิดลิ้นชักพลิกหากิโมโนและผ้าคาดพลางบ่นพึมพำ
“โอบิผืนนี้ไม่เค้ากัน เอ เอากิโมโนตัวไหนดีล่ะ”
นางเลือกกิโมโนให้ลูกชายอย่างจริงจังราวกับว่าเป็นคนไปเที่ยวผู้หญิงเสียเอง
นอกจากเสื้อผ้าแล้วยังต้องเตรียมเครื่องประดับกายให้ดูหรูสมชายยามราตรี ไม่ลืมดาบสั้นคู่ใจและซองเงิน แม่ชีชราแอบหยิบเหรียญทองจากลิ้นชักใส่เงิน เติมลงไปในซองไปโดยไม่ให้มีเสียงให้ลูกชายได้ยิน เพื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจะได้ไม่ขายหน้าแม่พวกนางโลม
“ไปไป้ ไปเที่ยวกันให้สนุก พลบค่ำเป็นเวลาดีที่สุด สำนักนางโลมเค้าคงเริ่มจุดโคมแดงกันแล้ว ไปด้วยกันเถิดนะท่านมูซาชิ”
แม่ชีชราเมียวชูเลื่อนกิโมโนผ้าไหมที่เตรียมมาครบชุดไปตรงหน้ามูซาชิ แต่แรกเจ้าหนุ่มก็นึกแปลก ๆ เหมือนกันที่อยู่ ๆ ก็ถูกคะยั้นคะยอให้ออกไปเที่ยวผู้หญิง แต่มาคิดดูอีกทีก็ไม่ใช่สถานที่ที่น่ารังเกียจอะไรก็เลยยอมไปด้วย
“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอไปด้วยคนนะท่านโคเอ็ตสึ”
“ต้องอย่างนี้สิ เอ้า เปลี่ยนเสื้อผ้าเสีย”
“ขอทีได้ไหม ข้าไม่เหมาะกับเสื้อผ้าสวย ๆ แบบนี้เลยจริง ๆ มันไม่เป็นตัวของตัวเองยังไงไม่รู้ ข้าไปชุดนี้แหละเวลาไปไหนมาไหนข้าใส่ชุดนี้ตลอด ไม่ว่าจะนอนตามท้องทุ่งหรือว่าเข้าเมือง”
“ไม่ได้”
แม่ชีชราเมียวชูดุเสียงเขียว
“ท่านอาจจะชอบอย่างนั้นแต่คิดถึงคนอื่นเขาบ้าง ขืนใส่ชุดนี้เข้าไปในห้องนางโลมที่สวยสดงดงาม ท่านก็จะกลายเป็นกองผ้าขี้ริ้วเท่านั้นเอง ผู้ชายไปเที่ยวสำนักนางโลมก็เพื่อเอาความทุกข์ร้อนไปทิ้ง ลืมความขุ่นข้องหมองใจ ความน่าเกลียดของสังคมภายนอกให้หมด และความสำราญอยู่กับความสวยงามแม้เพียงครึ่งคืนก็สุขพอ อย่าไปคิดว่าแต่งตัวสวยจะทำให้ตัวเองกลายเป็นคนละคน มันไม่เป็นเช่นนั้นไปได้หรอก แล้วเสื้อผ้าที่ข้าเตรียมให้ก็ไม่ได้สวยงามเหมือนหนุ่มสำอางทั้งหลายอะไรนัก แค่สะอาดสะอ้านดูเรียบร้อยเท่านั้นเอง เร็วเข้าเถอะ อย่ามัวร่ำไรอยู่เลย”
มูซาชิรับคำอย่างว่าง่ายและพอเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแม่ชีชราก็ชมว่างามสง่าสมภาคภูมิ และพิศดูชายทั้งสองที่ยืนเคียงกันอยู่ด้วยความพึงพอใจ
โคเอ็ตสึเดินเข้าไปในห้องพระและจุดโคมไปที่แท่นบูชาตามธรรมเนียมของครอบครัวผู้นับถือนิกายชิจิเร็น แล้วออกมาชวนมูซาชิที่ยืนรออยู่
“ไปกันเถอะ”
แม่ชีชราเมียวชูเดินตามมาส่งถึงประตูเรือน ที่มีรองเท้าฟางใหม่เอี่ยมสองคู่เตรียมเอาไว้พร้อม และระหว่างที่ทั้งสองกำลังใส่รองเท้า นางหันไปซุบซิบอะไรกับเด็กรับใช้ที่คอยปิดประตูบ้านอยู่
“เราไปกันละนะ”
โคเอ็ตสึบอกแม่ก่อนจะก้าวออกจากเรือน
“โคเอ็ตสึ เดี๋ยวก่อน”
แม่ชีชรากวักมือเรียกลูกชายเอาไว้อย่างร้อนรน พร้อมกับเยี่ยมหน้าออกไปจากประตูเรือนกวาดสายตาไปรอบ ๆ
“อะไรหรือแม่”
โคเอ็ตสึขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย แม่ชีชราผลุบหัวกลับเข้ามาบอกว่า
“โคเอ็ตสึ เด็กรับใช้บอกว่ามีนักดาบหน้าเหี้ยมสามคนมาเดินเตร่อยู่หน้าบ้านเรา พูดจาเกรี้ยวกราดน่ากลัว ไม่รู้มีเรื่องอะไรหรือเปล่านะ”
แม้ท้องฟ้าจะยังสว่างอยู่ แต่แม่ชีชรามองลูกชายกับแขกของนางที่กำลังจะออกไปท่องราตรีด้วยความเป็นห่วง
โคเอ็ตสึมองหน้ามูซาชิเป็นคำถาม
“?”
มูซาชิรู้ทันทีว่านักดาบพวกนั้นคือใคร


กำลังโหลดความคิดเห็น